Title : Who Am I ?
Type : One shot
Writer : White Raven
Date : 25/03/2012
เคยมีหลายครั้ง..
ที่ผมรู้สึกอึดอัดเวลาต้องคอยตอบคำถาม
ผมเป็นใคร? เขาเป็นใคร?
แล้วเรา..เป็นอะไร?
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากตอบ ไม่ใช่ว่าผมคิดอยากปิดบัง
..ใจจริงผมอยากจะบอกทุกคนแทบตาย
เพียงแต่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่า..
คำตอบของคำถามนั้น..คืออะไร?
“..เซียน? เด็กถาปัดปีสามน่ะเหรอ?”
“ใช่.. วันก่อนเจอที่หอสมุดน่ะ
รู้สึกว่าจะดูดีขึ้นกว่าปีที่แล้วอีก”
“ได้ยินคนเค้าพูดถึงอยู่เหมือนกัน
เห็นว่าช่วงนี้ฮอตมากเลยนี่ ทำไม..แกสนใจจะลงสนามกะเค้าด้วยหรือไง?”
“โอ๊ยยย ไม่ไหวหรอก คู่แข่งเยอะเกิ๊นนน
..รู้งี้ฉันน่าจะจีบเค้าตั้งแต่ตอนไปเข้าค่ายด้วยกันตอนปีหนึ่งซะก็ดี”
“คิดช้าไปแล้วย่ะ อ๊ะ..จริงสิ! รู้สึกว่าหอในตอนปีหนึ่ง
ใหญ่จะถูกจับยัดให้ไปอยู่ห้องเดียวกับเซียนด้วยนี่ ใช่ไหม ใหญ่?”
“ฮึ..อื้อ”
ผมที่กำลังเตรียมตัวกลับหลังจบการฟังบรรยาย
หันไปพยักหน้าให้กลุ่มเพื่อนที่เม้าท์กันอยู่ทีนึง
แล้วจึงหันกลับมาเก็บของใส่กระเป๋าต่อ
“จำได้ว่าเคยบ่นเรื่องเหม็นกลิ่นสี
เพราะเซียนเค้าชอบวาดรูปในห้องด้วยนี่”
“อืม..”
ความจำดีกันเหลือเกินนะ แต่ผมก็คงเคยบ่นจริง ก็เมื่อก่อนมันยังไม่ชินน่ะ
“จริงเหรอ? ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย”
“เดี๋ยวนี้พวกมันก็ยังอยู่ด้วยกันนะ
อย่างกับคู่ผัวเมีย”
เพื่อนอีกคนพูดแทรกขึ้น ก่อนจะหัวเราะออกมา คนอื่นๆ เลยพลอยหัวเราะด้วย
แต่สาวๆ ในห้องกลับมีท่าทางตื่นเต้นกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้ ทั้งที่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
นักศึกษาส่วนใหญ่ของที่นี่ก็แชร์ห้องกันอยู่ทั้งนั้น ..รวมทั้งผมกับเขาคนนั้นด้วย
“อย่าบอกนะว่าแอบคบกันอยู่?” เพื่อนคนหนึ่งชี้นิ้วมาที่ผม
พร้อมทั้งส่งสายตากึ่งจับผิดกึ่งล้อเลียนมาให้ คนอื่นเลยพากันพูด ‘ฮั่นแน่ๆ’ ใส่ผมใหญ่
“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้นน่ะ?” ผมถามกลับไปขำๆ
“ก็มันแปลกนี่นา ตอนปีหนึ่งก็พอเข้าใจหรอก
อยู่หอในใครก็เลือกไม่ได้ พอขึ้นปีสองก็ได้ย้ายไปอยู่หอนอกตามอัธยาศัย จะติดใจตามไปอยู่ด้วยกันอีกซักเทอมก็ยังไม่เท่าไหร่
แต่นี่อยู่ปีสามแล้วนะ ผ่านมากี่เทอมแล้วเนี่ย? ยังอยู่ด้วยอีก?”
“ทีมิ้นต์กับฝ้ายก็ยังอยู่ด้วยกันเลยนี่” ผมตั้งข้อสังเกตบ้าง
“ผู้หญิงอ่ะไม่แปลกหรอก
แต่ผู้ชายที่อยู่ปีสามแล้วน่ะ ส่วนใหญ่ถ้าไม่แยกไปอยู่คนเดียว
ก็ต้องอยู่กับแฟนทั้งนั้น หรือว่าใหญ่กับเซียนจะ..”
ช่องว่างที่ถูกเว้นไว้ถูกเติมเต็มด้วยเสียงหัวเราะชอบใจของเพื่อนร่วมภาคจนดังลั่น
“แค่คิดก็ขนลุกแล้วว่ะ ฮ่าๆๆ”
“แต่มันน่าสงสัยนะจริงๆ นะเนี่ย”
“สารภาพมาซะดีๆ ไอ้ใหญ่..
มึงกับไอ้เซียนกิ๊กกันอยู่ใช่ไหม?”
“ไม่นะ ใหญ่! ใหญ่ห้ามทำร้ายเจนแบบนั้นนะ เจนแอบเล็งใหญ่มานานแล้ว
อย่าทำร้ายหัวใจของเจนอย่างนั้นเลยได้โปรด ..มามะ มาเป็นของเจนเถอะ สุดหล่อ~”
“ถุ๊ย! อิเจนจบ ถ้าจะเอามึง สู้ไอ้ใหญ่มันไปเอาไอ้เซียนไม่ดีกว่าเหรอวะ?
สภาพหนังหน้าต่างกันเห็นๆ”
“อย่าทำปากดี สัดปอย!
มาลองหลังกูซักครั้งแล้วมึงจะไม่พูดถึงเรื่องหน้าอีกเลย ..ไหมล่ะๆ?”
“ฮ่าๆๆๆ”
“..กลับก่อนนะ”
ผมเอ่ยขึ้นหลังจากยืนหัวเราะผสมโรงพวกนั้นอยู่เป็นนาที ยกกระเป๋าขึ้นสะพายบ่าเตรียมพร้อมเดินออกไป
“อ้าว ไม่ไปต่อที่ร้านนัวกับพวกเราก่อนเหรอจ๊ะ
ที่รัก?”
“จะรีบกลับไปไหนของมึงวะ? หอมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า
ไปหาไรกินกับพวกกูดีกว่า”
“นัดเซียนไว้น่ะ” ผมตอบพลางควานหากุญแจรถมอเตอร์ไซด์ในกระเป๋ากางเกง
“เซียนเหรอ?”
“ไอ้เซียนอีกแล้วว่ะ”
“อยู่หอเดียวกันยังจะมีนัดเจอกันอีกเรอะ?”
“ชักกลิ่นแหม่งๆ แล้วนะมึงเนี่ย”
“ตกลงพวกมึงสองตัวเป็นอะไรกันแน่วะ?”
..และอีกสารพัดคำถามที่ทั้งอยากรู้จริงบ้าง
อยากแซวเล่นบ้าง จากบรรดาเพื่อนฝูงพี่น้องร่วมคณะ ผมไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของใครเป็นพิเศษ
จึงทำเพียงแค่ยิ้ม แล้วเดินจากมา
ปล่อยความอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้นเอาไว้เบื้องหลัง
ถึงอยากจะตอบ.. ผมก็ไม่รู้ว่าต้องตอบยังไง?
ตอนที่ย้ายออกจากหอใน.. ทั้งที่คิดว่าจากนี้ก็คงจะทางใครทางมันแท้ๆ
เราไม่ได้อยู่คณะเดียวกัน ไม่ใช่เพื่อนกลุ่มเดียวกัน
ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมาก่อนจนกระทั่งถูกจัดให้มาเป็นรูมเมทกัน
ทั้งที่ผมคิดว่ามันคงจะจบไปแล้ว
..แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน จู่ๆ เขาก็หอบผ้าหอบผ่อนไปหาผมที่ห้อง แล้วบอกว่า ‘มาอยู่ด้วย’ เหตุผลก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ‘หอนี้คนไม่พลุกพล่านดี’ ..เขาพูดแค่นั้น ด้วยรอยยิ้มระเรื่อยอันเป็นปกติ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ปีกว่าแล้ว..
ผมจะไม่โกหกหรอกว่าพวกเราเป็นเพียงเพื่อนกันธรรมดา
แต่ว่าเป็นอะไรล่ะ..?
..ไม่รู้สิ
ผมไม่กล้าคิดหาคำตอบเอาเอง..
“..เซียน!”
ผมขี่มอ’ไซด์ไปจอดเทียบริมฟุตบาท ก่อนจะเรียกคนที่กำลังหัวเราะร่าอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนๆ
..ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็มักจะเป็นที่สนใจและดึงดูดผู้คนอยู่เสมอ..
เขาหันหน้ามายกมือให้ผมเป็นเชิงบอกให้รอก่อน แล้วหันกลับไปพูดคุยต่ออีกเกือบนาที กว่าจะหอบข้าวของพะรุงพะรังวิ่งมาหาผมที่รถ
“แหมมม.. มีการให้แฟนมารับด้วยโว้ย” แว่วเสียงใครสักคนร้องแซวตามหลังมา
เขาชะงักนิดนึงคล้ายสะดุดอะไรบางอย่างบนพื้น
ก่อนปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วหันกลับไปชูนิ้วกลางทั้งที่ยิ้มกว้างใส่กลุ่มเพื่อนที่กำลังเป่าปากล้อเลียน
“เจอกันพรุ่งนี้ว่ะ” เขาบอกพวกนั้นแล้วขึ้นมานั่งซ้อนท้ายรถผม
เสียงโห่แซวยังคงดังมาให้ได้ยิน เขาจึงเล่นตามน้ำโดยการเอาหัวมาซบที่ไหล่ของผมพร้อมทั้งทำหน้าเคลิ้มให้พวกเพื่อนได้หัวเราะโห่ฮากันอีกรอบ
แม้แต่เจ้าตัวที่เล่นเองก็ยังตลกขบขันกับท่าทางของตัวเองอยู่ไม่น้อย
“มึงขับรถก็ระวังหลังไว้บ้างนะ ไอ้ใหญ่
กูล่ะเสียวแทนจริงๆ” เสียงใครอีกคนที่ตะโกนตามหลังรถที่เพิ่งเคลื่อนตัวออกมา
ทำเอาคนที่นั่งซ้อนผมอยู่หัวเราะชอบใจใหญ่
เขาไม่เคยปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเราอย่างชัดเจน
..แต่ก็ไม่เคยยอมรับอะไรทั้งนั้น
อันที่จริง.. เขาคงไม่ได้คิดจะใส่ใจมันด้วยซ้ำ
คงมีแค่ผมคนเดียว.. ..ที่คิดมาก
“ไปร้านพี่กานดาใช่ไหม?”
ผมหันไปถามผู้โดยสารที่กำลังส่งยิ้มทักทายผู้คนรายทางที่เขารู้จัก
“อืม..” เสียงเขาตอบกลับมาสั้นๆ
จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนกระทั่งมาถึงหน้าร้านกาแฟเล็กๆ
ร้านหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆ มหาวิทยาลัย ผมรู้ว่าเขามักจะชอบมาขลุกอยู่บ่อยๆ
ที่นี่ไม่ได้ขายแต่กาแฟหรือขนมเค้กเท่านั้น แต่ยังขายภาพวาดศิลปะของศิลปินที่ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนักด้วย
ที่เห็นสวยๆ อาร์ตๆ ประดับข้างฝาร้านนี่ขายทั้งหมดแหล่ะ
“อ้าว เซียนมาพอดี พี่กำลังจะโทรไปหาเลย” ทันทีที่เขาเปิดประตูร้านเข้าไป
เจ้าของร้านหน้าหมวยก็รีบปรี่เข้ามาจับไม้จับมือกับเขาด้วยท่าทางยินดี “เมื่อกี๊มีคนสนใจภาพนั้นด้วยล่ะ พี่ว่าน่าจะขายออกเร็วๆ
นี้แหล่ะ”
“จริงเหรอ?” คนที่เพิ่งได้รับข่าวสารแสดงท่าทีดีใจไม่แพ้กัน
“ภาพอะไรครับ?”
ผมอดถามแทรกด้วยความสงสัยไม่ได้
พี่กานดาหันมามองหน้าผมเหมือนประมาณว่าเพิ่งจะสังเกตเห็นจริงๆ
“อ้าว ตัวใหญ่ก็มาด้วยเหรอ? หายไปนานเลยนะเรา
นึกว่าทิ้งน้องชายพี่แล้วหนีไปหาสาวที่ไหนแล้วซะอีก”
“พูดอะไรน่ะ พี่กาน?” คนถูกหาว่าโดนทิ้งพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่งด้วยท่าทางสบายๆ
“ช่วงนี้ผมมีงานที่คณะเยอะน่ะ” ผมตอบพี่กานดา เดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขาคนนั้น
พอดีกับเหลือบไปเห็นภาพวาดภาพหนึ่งที่ผนังห้องฝั่งตรงข้าม
ภาพของต้นเมเปิ้ลที่ยืนเรียงรายอยู่สองข้างทางให้บรรยากาศโดดเดี่ยวอ้างว้าง “นั่นมัน..”
“จำได้ใช่ไหม?”
เขาถามผมยิ้มๆ
ผมพยักหน้า ต้องจำได้อยู่แล้วสิ ‘ปลายทางสีเมเปิ้ล’
เป็นชื่อที่เขาเคยบอกกับผม ตอนที่เขาวาดมันผมก็อยู่ด้วยตลอด แต่พอวาดเสร็จแล้วผมก็ไม่ได้สังเกตเลยว่ามันไม่ได้อยู่บนชั้นเก็บรูปของเขา
แต่มาอยู่ที่ร้านแห่งนี้ ..เขาจะขายมันงั้นเหรอ?
“..ใช่”
เขาตอบพร้อมยักคิ้วเหมือนกับรู้ว่าผมอยากจะถามอะไร
“พอดีพี่กานเค้ามาเห็นรูปที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์น่ะ เลยขอเอามาวางขาย”
“สวยเนอะ ..มีคนสนใจมาถามราคาบ้างแล้วล่ะ” พี่กานดาบอก
“เท่าไหร่?”
ผมถาม
“พี่ตั้งไว้ที่หมื่นสอง”
“ทำไมแพงงั้นอ่ะ?”
ผมหันไปพูดกับเจ้าของร้านที่เพิ่งสั่งลาเต้ให้ตัวเองไป
พร้อมกับสั่งเอสเพรสโซให้ผมด้วย
“ถือว่าถูกมากเลยนะสำหรับภาพนี้ ทั้งการลงสี ทั้งองค์ประกอบภาพ
อารมณ์ของภาพมันได้หมดเลย นี่ถ้าเซียนมีชื่อเสียงขึ้นมาเมื่อไหร่ ภาพนี้คงขายได้ราคามากกว่านี้อีกเป็นสิบเท่าเลยล่ะ” พี่กานดาอธิบาย แล้วชี้ไปอีกภาพที่อยู่ข้างๆ
กัน “ดูอย่างภาพนั้นสิ
ตัวภาพโดยรวมไม่มีอะไรโดดเด่นเท่าไหร่ แต่เพราะคนวาดค่อนข้างมีชื่อเสียง ราคาก็เลยแพงกว่าภาพอื่นๆ
..เห็นไหม?”
ผมมองสองภาพอย่างเปรียบเทียบกัน
แม้ผมจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องศิลปะมากนัก แต่ผมก็รู้สึกว่าภาพ ‘ปลายทางสีเมเปิ้ล’ มันดูโดดเด่นมีอะไรให้อยากมองมากกว่าจริงๆ
หลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันอีกนิดหน่อย
ก่อนที่เจ้าของร้านจะขอตัวไปทำงานของตัวเองต่อ
“ถ้ามันจะได้ราคาดีขนาดนี้.. ทำไมไม่เอาไอ้ที่กองสุมรวมอยู่บนชั้นมาขายบ้างล่ะ
ปล่อยทิ้งให้ปลวกกินเฉยๆ ทำไม?” ผมถามว่าที่ศิลปินใหญ่แบบขำๆ
“ใช่ว่าภาพทุกภาพจะขายได้ซะเมื่อไหร่
..แล้วมันก็แค่งานอดิเรก ก็วาดเล่นๆ ไปงั้น ไม่ได้คิดจะยึดเป็นอาชีพสักหน่อย”
“แต่วาดเป็นร้อยๆ ภาพ?”
“ก็..มันเพลินดี” เขาพูดพลางใช้มือข้างหนึ่งจับผมไปทัดหูพลาง
ขณะที่อีกมือก็หมุนแก้วลาเต้ของตัวเองเล่น ..เป็นแบบนี้เสมอ
ถ้าเจ้าตัวรู้สึกเก้อเขินหรือรู้สึกว่าถูกจับทางได้ ..มันก็น่ารักดีอยู่หรอก
“ถ้าภาพแรกขายได้ เดี๋ยวก็มีคนมาถามหาภาพอื่นๆ ของคนวาดเองแหล่ะจ้ะ” พี่กานดาที่ยกชิฟฟ่อนครีมนมสดมาเสิร์ฟเอ่ยบอก
ก่อนจะเดินกลับเข้าไปหลังร้าน
“แต่ว่าสวยจริงๆ นั่นล่ะนะ”
ผมชมจากใจหลังจากนั่งพิจารณาภาพนั้นอยู่อีกครู่หนึ่ง
..หมื่นสองเลยเหรอ?
“คิดว่าใครเป็นคนวาดล่ะ” เขาพูดยิ้มๆ พลางยักคิ้ว พลางเลียครีมที่ติดช้อนเค้กไปพลาง
ทำเอาผมอดยิ้มตามกับท่าทางกวนๆ แบบเด็กๆ นั่นไม่ได้
“เสาร์นี้ก็วันเกิดแล้วใช่ไหม?” ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้
“..นึกว่าจะจำไม่ได้” เขาพูดทั้งที่คาบหลอดลาเต้ไว้ในปาก
“เกือบแล้วล่ะ”
ผมโกหก..
“นิสัย..”
แม้คำพูดจะฟังดูเหมือนตัดพ้อ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงมีรอยยิ้มละมุนแต่งแต้มอยู่ตลอด
..ผมไม่เคยนึกเบื่อที่จะมองมันเลยสักครั้ง
“เตรียมของขวัญไว้ยัง?” เขาถามผมบ้าง
ผมส่ายหัว
“อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
“จะซื้อให้เหรอ?”
ตาของเขาแวววาวเหมือนเด็กเห็นของเล่นขึ้นมาทันที
“ถ้าซื้อให้ได้” ผมบอกยิ้มๆ
เขามีท่าทีลังเลนิดหน่อย ตักเค้กใส่ปากอีกคำ
ก่อนจะเอื้อมมือไปจับผมตัวเองทัดหูอีกครั้ง
“ของฟรีน่ะ.. อะไรก็ดีทั้งนั้นแหล่ะ”
ผมนึกว่าเขาอยากจะได้อะไรจากผมเป็นพิเศษซะอีก
ถ้าเขาอยากได้จริงๆ มีหรือที่ผมจะไม่หามาให้
“..น้ำปลาซักขวดเป็นไง?”
ผมลองเสนอ
“ห๊ะ?”
เขาเลิกคิ้วทั้งสองข้างพร้อมกับยื่นหน้าออกมาเหมือนกับไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ก็เมื่อวานตอนจะกินข้าวเห็นถามหาน้ำปลาในห้องอยู่..”
“เค็ม!”
เขาว่าผมพร้อมกับตีหน้ายุ่งใส่ ..น่ารักซะ
“ก็น้ำปลานี่”
ผมตอบกลับหน้าตาย
“กูว่ามึงนั่นแหล่ะ ไอ้เค็ม!” เขาเบ้ปากใส่ผมอีก
แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาอยู่ดี
“ว่าไง เซียน? มาหาซื้ออะไรเหรอจ๊ะ?”
“แค่มาเดินดูของเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจซื้ออะไรเป็นพิเศษหรอก
ติ๊กล่ะ?” คนถูกถามตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มระเรื่อยตามประสา
ตลอดทางตั้งแต่เดินเข้าตลาดนัดมาก็มีแต่คนทักคนเรียกเขาแบบนี้มาตลอด
แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้.. เขาหน้าตาดี
ท่าทางดี ยิ้มง่าย คุยเก่ง และเป็นมิตรกับทุกคน ..ไม่แปลกเลยที่ใครๆ
ต่างก็อยากจะเข้าหา ...ราวกับเกิดมาเพื่อเป็นที่รัก
“นี่ใช่.. ตัวใหญ่
ที่อยู่คณะวิศวะหรือเปล่า?”
ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้นหันมาถามผมอย่างสนใจ
“ครับ”
ผมตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มบางๆ แอบได้ยินใครซักคนพึมพำว่า ‘หล่อนะ’ ออกมาเบาๆ
“มาด้วยกันแค่สองคนเหรอ?” ผู้หญิงอีกคนหันไปถามเอากับคนที่มากับผม
เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มๆ กลับไปเท่านั้น
“ที่ลือกันว่าสองคนนี้อยู่ด้วยกันก็จริงน่ะสิ” ใครอีกซักคนไม่รู้ก็ถามขึ้นมาอีก
สายตาอยากรู้อยากเห็นพวกนั้นทำให้ผมรู้สึกอึดอัด..
จนแทบอยากจะเดินหนีไป
ถ้าเพียงแต่ผมรู้.. ว่าตัวเองเป็นใคร? ผมก็คงจะวางตัวเองได้ถูกที่ถูกทางมากกว่านี้
ถ้าเพียงแต่เขาจะยอมบอก..
ว่าอะไรคือความสัมพันธ์ของพวกเรา?
ผมก็คงจะไม่ลำบากใจเหมือนอย่างในตอนนี้..
“แค่เรื่องที่เราแชร์ห้องกันอยู่นี่ถึงกับเป็นข่าวลือเลยเหรอ?
..เป็นซุปตาร์นี่ก็ลำบากเหมือนกันแฮะ” เขาพูดแบบนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา
คนอื่นเลยพากันหัวเราะตามไปด้วย
ใช่.. เขาก็เป็นแบบนี้ทุกทีแหล่ะ
ระหว่างที่กำลังยืนรอเขาเลือกกำไลข้อมือแฮนด์เมดอยู่
ผมก็เจอกับกลุ่มเพื่อนร่วมคณะและบรรดาแฟนๆ ที่เดินกันมาเป็นคู่ๆ
แน่นอนว่าพวกนั้นย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะได้แซวผมกับใครอีกคนที่มาด้วยกัน..
“อ้าว ไอ้ใหญ่ ไอ้เซียน พวกมึงอีกแล้วเหรอวะ?”
“ฮั่นแน่ อยู่ด้วยกันสองคนอีกแล้วนะจ๊ะ ยังไงกันเนี่ย
ยังไง?”
“เดินตามตูดกันต้อยๆ เชียวนะมึง ถามจริงเห๊อะ พวกมึงมีอะไรกันป่ะเนี่ย?”
“ไม่ต้องมาปิดๆ บอกพวกกูมาเลยดีกว่า จะได้รีบทำใจ
ฮ่าๆๆ”
“ที่บอกว่าโสดๆ นี่คือโกหกทั้งคู่เลยสินะ?”
“แล้ว.. ใครผัว ใครเมียวะ? กูงง ฮ่าๆๆ”
..ก็เหมือนทุกที พวกนั้นมักชอบที่จะหัวเราะสนุกสนานกับสถานภาพอันแสนคลุมเครือของผม
แม้แต่คนข้างๆ ตัวผมก็พลอยหัวเราะเฮฮาไปกับเขาด้วย
บางครั้ง..ผมก็รู้สึกเหนื่อยในหัวใจจริงๆ
ได้แต่เฝ้าถามตัวเอง
ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ...แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบกลับมา
เสียงริงโทนที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องหยิบรีโมทมากดลดเสียงทีวี
ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“ครับ พี่กานดา? ...ทันเหรอ? วันศุกร์?...ขอบคุณมาก..
งั้นเดี๋ยววันนั้นเลิกเรียนแล้วผมจะแวะเข้าไปนะ ..คงสักห้าโมงเย็นน่ะ...ครับ..ได้...หวัดดีครับ”
ผมกดวางสายจังหวะเดียวกับใครอีกคนเดินหัวเปียกใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียวออกมาจากห้องน้ำพอดี
เจ้าตัวชี้นิ้วไปทางทีวีเป็นสัญญาณให้ผมเร่งเสียงให้ดังขึ้นหน่อย ผมทำตาม
เขาก็เดินไปนั่งแหม่ะที่หน้าจอคอมและทำท่าว่าจะเริ่มทำงานของตัวเองต่อ
โดยไม่สนใจจะทำหัวให้แห้งแม้แต่น้อย
“ไม่เช็ดผมให้แห้ง เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” ผมขยับไปนั่งบนเตียงฝั่งที่อยู่เกือบติดกับเก้าอี้ที่เขานั่งทำงาน
แล้วหยิบผ้าขนหนูที่เขาพาดไว้ตรงคอขึ้นมาคลุมบนหัวเปียกๆ นั่น
“ก็เช็ดให้หน่อยสิ” เขาบอกง่ายๆ พลางเริ่มลงมือลากเม้าส์ไปตามส่วนต่างๆ
ของห้องจำลองที่อยู่ในจอคอม
ถึงเขาไม่พูดผมก็ตั้งใจจะทำให้อยู่แล้ว ผมเริ่มต้นใช้ผ้าซับผมให้เขาอย่างเบามือโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก
ตัวเขาเองก็ดูจะจดจ่ออยู่กับงานจนไม่ได้สนใจผมเหมือนกัน
บางครั้งเขาก็หันไปมองทีวีเมื่อได้ยินเสียงอะไรที่ฟังน่าสนใจ
แล้วก็กลับมาที่งานของตัวเองต่อ พอผมของเขาเริ่มหมาด
ผมก็ลุกไปหยิบไดร์มาเป่าให้อีกหน่อยเพื่อที่มันจะได้แห้งเร็วขึ้น ปรับปุ่มความร้อนไว้แค่ระดับปานกลางด้วยกลัวว่าเขาจะร้อนเกินไป
และต้องคอยระวังไม่ให้มันไปโดนหูของเขาโดยตรงด้วย เพราะผิวหนังบริเวณนั้นของเขาค่อนข้างบาง
โดนอะไรนิดหน่อยก็เห็นเป็นรอยแดงเถือกแล้ว
“..ผมยาวแล้วนะ ไม่คิดจะตัดมั่งเหรอ?” ผมจับปลายผมที่เริ่มจะยาวเลยหัวไหล่ของเขาขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ
..ผมของเขาเส้นเล็ก เห็นเป็นสีน้ำตาลไหม้ แล้วก็นิ่มเหมือนไหมเลยล่ะ
ต่อให้เขาไว้จนยาวกว่านี้ มันก็คงจะไม่ดูแย่อะไรหรอก ผมว่านะ..
“อือ.. รอสอบเสร็จก่อน”
เขาตอบกลับมา โดยไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าจอ
“ตัดให้เอาไหม?” ผมเสนอตัว
“ตัดเป็นด้วยเหรอ?”
“จะยากอะไร?”
ผมยักไหล่ เขาหันมามองยิ้มๆ แต่สายตาดูไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดผมนัก
ผมก็เลยถือโอกาสอธิบายวิธีการให้ฟัง พร้อมทำท่าทางประกอบเพื่อให้เขาเห็นภาพ
“ก็แค่เอาชามมาครอบไว้แบบนี้...แล้วจากนั้นก็ค่อยๆ
ตัดไปตามรูปขอบชาม...แค่เนี้ย”
“บ้าแล้ว..”
เขาหัวเราะร่วน ก่อนจะผลักไหล่ผมเบาๆ แล้วหันกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ
“เอาไว้ตัดให้ ตัวเล็ก เหอะ.. เห็นชอบทำผมทรงเห็ดนักนี่” เขาพูดถึงน้องชายคนเดียวของผม
ที่ตอนนี้กลายเป็นรุ่นน้องคณะของเขา
“แม่ก็ใช้วิธีนี้แหล่ะ เวลาตัดผมให้ตัวเล็กน่ะ”
ผมกุเรื่องเล่าหน้าตาเฉย
“จริงอ่ะ?”
“โกหกอยู่แล้ว”
“ก็ว่าอยู่..”
เขาหัวเราะแล้วกับไปทำงานอีกครั้ง
ผมทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวไปบนเตียง
สายตาจับจ้องไปยังแมลงที่แอบเล็ดลอดเข้ามาล้อเล่นกับหลอดไฟบนเพดานห้อง
..หลายตัวด้วยสิ เข้ามาทางไหนกันนะ?
“..เซียน”
ผมเรียกชื่อของอีกคนทั้งที่ตายังจดจ่ออยู่กับเหล่าสัตว์โลกตัวจิ๋ว
“หือ?”
เสียงเขาครางตอบกลับมา
“ไม่เคยนึกอึดอัดบ้างเหรอ?”
“..อะไร?”
“เวลา..ที่ใครต่อใครถามว่าเราเป็นอะไรกัน..?”
เขานิ่งไปนิดนึง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงตามปกติ “..ไม่นี่”
ผมก็คิดอยู่แล้ว.. ว่าเขาคงไม่คิดอะไรหรอก
มีจิ้งจกสีซีดตัวใหญ่ไต่ไปตามเพดาน
เป้าหมายของมันก็คือบรรดาแมลงที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ..เข้ามาจากทางไหนอีกนะ?
“แต่กูอึดอัด..”
ผมพูดสิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจ “จริงๆ
นะ กูไม่รู้ว่าจะต้องตอบยังไง? หรือทำหน้าแบบไหน?”
“ความสัมพันธ์ของพวกเรามันคืออะไรกันแน่? ..แค่เพื่อน?
..คนรู้จัก? ..คนรัก? ..หรืออะไร?”
จิ้งจกเผือกตัวนั้น ค่อยๆ
จัดการเพื่อนร่วมห้องตัวเล็กของผมทีละตัว ทีละตัวแล้ว..
“ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป.. ก็ช่วยตอบทีเถอะ”
ทีละตัว ทีละตัว.. จนแมลงเกือบหมด
เจ้าจิ้งจกก็ค่อยๆ ไต่เพดานกลับไปตามทางเดิมที่มันเข้ามา
และลับหายไปจากสายของผมในที่สุด ผมไม่รู้ว่าทั้งหมดนี่ใช้เวลานานแค่ไหน
แต่ผมก็ยังไม่ได้ยินอะไรจากปากของเขาอยู่ดี
มีแค่เพียงเสียงคลิกเม้าส์เท่านั้นที่ตอบกลับความกังวลของผม
“กูจะได้วางตัวถูก” ผมถอนหายใจ
“..เคยเป็นยังไง ก็เป็นอย่างนั้นแหล่ะ”
เขาพูดออกมาในที่สุด
“..อย่าคิดมากเลย”
“เหรอ...”
ผมครางตอบรับอย่างไร้ความหมาย
จริงๆ แล้ว มันเป็นเพราะผมคิดมากเกินไป?
หรือเป็นเพราะเขาไม่เคยคิดอะไรเลยกันแน่ล่ะ?
“แป๊บนะครับ..”
ผมยิ้มเป็นเชิงขออนุญาตคู่สนทนา ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ที่เพิ่งจะดังขึ้นมา
“ครับ?...ขายรูปได้แล้ว? ดีใจด้วยนะ...จะเลี้ยงหรือไง?...เลี้ยงวันเกิด?...ไปกับใครบ้างล่ะ?...อ้อ
งั้นไปเถอะ ไม่อยากรบกวน.. ไม่เป็นไร.. ไว้วันหลังก็ได้...ไม่ต้องห่วงน่า..
ไม่ลืมหรอก
เตรียมไว้ให้แล้ว...ไปปาร์ตี้ให้สนุกแล้วค่อยกลับมาเอาของขวัญที่ห้องก็ได้.. อือ แล้วเจอกัน...ครับๆ...เออน่า..ฮ่ะๆๆ..บายๆ”
“เซียนล่ะสิ คืนนี้ไปฉลองที่ไหนล่ะ?” พี่กานดาที่เพิ่งเดินกลับมาจากหลังร้านเอ่ยถาม
“ร้านในเมืองน่ะ เห็นว่าพวกพี่รหัสกับเพื่อนที่คณะจะจัดปาร์ตี้วันเกิดให้..” ผมนึกถึงน้ำเสียงดีใจของอีกคนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“อ้อ.. เนี่ย กว่าจะหากรอบแบบที่รีเควสได้พี่ต้องวิ่งวุ่นอยู่หลายวันเชียวนะ
คิดว่าจะต้องลงไปหาเองที่กรุงเทพซะอีก โชคดีที่รุ่นน้องคนหนึ่งของพี่มีอยู่ในสต็อกเลยส่งมาให้..
ถูกใจหรือเปล่า?” พี่กานดายื่นกรอบไม้แกะสลักที่ตอนนี้มีรูป
‘ปลายทางสีเมเปิ้ล’
อยู่ในนั้นมาให้ผม
“ครับ..
ขอบคุณมากเลยที่อุตส่าห์เป็นธุระให้”
ผมพูดจากใจจริง
“สำหรับ ตัวใหญ่ ..ด้วยความยินดีเสมอจ้ะ” พี่กานดายิ้มให้จนตาหยี
ก่อนถามถึงใครอีกคน “แล้วนี่บอกเจ้าตัวเค้าหรือยัง?”
ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ พี่กานดาเลยพูดต่อยิ้มๆ
“ตอนรู้คงเซอร์ไพรส์น่าดูเนอะ
ชักอยากจะเห็นหน้าตอนนั้นบ้างแล้วสิ ฮ่ะๆๆ
..พรุ่งนี้เช้าต้องรีบวิ่งแจ้นมาหาพี่แน่นอนเลย ไม่เชื่อคอยดูสิ”
“พี่เตรียมลาเต้กับชิฟฟ่อนครีมนมสดไว้รอท่าได้เลย
ผมก็ว่ามาแน่..” ผมหัวเราะไปกับพี่กานดา
มันเป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้วที่เขาเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังอันเป็นปกติวิสัย
ผมละสายตาจากคอมตรงหน้า แหันไปเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ ..ตอนนี้เขาควรจะอยู่ในงานปาร์ตี้วันเกิดไม่ใช่เหรอ?
แล้วทำไม...
“เพิ่งจะเสร็จจากงานที่คณะ.. เหนื่อย.. เพลีย..
อยากกลับมาอาบน้ำนอน”
เขาตอบกลับความสงสัยของผมด้วยหน้าตาสุดเซ็ง
โยนสมบัติที่หอบหิ้วมาลงบนเตียงนอน แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
“แล้วงานปาร์ตี้ทำไง?” ผมลุกไปหยิบจับข้าวของของเขาเก็บให้อยู่ถูกที่ถูกทาง
“เลื่อนไปคืนพรุ่งนี้” เสียงเขาตะโกนตอบฝ่าสายน้ำจากฝักบัวออกมา
ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังอารมณ์เสียกับอะไรสักอย่างอยู่
หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็ออกมาพร้อมกับบ็อกเซอร์และหัวเปียกๆ
เหมือนทุกที ผมกลับมานั่งเขียนโปรแกรมต่อ
ส่วนเขาก็นั่งเช็ดผมอยู่บนปลายเตียงของตัวเอง ผมนั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ
ได้ยินเสียงเขาทิ้งตัวลงไป ..พลิกไป ..พลิกมา
มีเสียงจุ๊กจิ๊กฮึดฮัดดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ
ตอนนี้ผมเริ่มแน่ใจแล้วล่ะว่าเขาคงจะมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้ขัดเคืองใจ
ผมไม่อยากจะทำให้เขาอารมณ์ขุ่นมากกว่าที่เป็นอยู่
เลยพยายามทำเป็นไม่สนใจและนั่งทำงานของตัวเองให้เงียบที่สุด
เวลาผ่านไป ผมเหลือบไปมองนาฬิกาอีกที มันบอกผมว่าอีกสิบนาทีก็จะเริ่มต้นวันใหม่แล้ว
..จะเข้าวันเกิดของเขาแล้ว ผมหันไปมองอีกคนที่บนเตียง เห็นเขานอนตะแคงแน่นิ่งอยู่
คงจะหลับไปแล้วมั้ง ผมส่ายหัวแล้วลุกขึ้นไปหวังจะหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวให้เขา
แต่พอขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าเขานอนลืมตาอยู่ ..กัดริมฝีปากล่าง ..จมูกแดงๆ
..และมีน้ำตาคลอหน่วย
น้ำตาเหรอ..?
“เซียน เป็นอะไร?” ผมจับตัวเขาให้พลิกกลับมาอย่างร้อนใจแบบที่ไม่ได้รู้สึกบ่อยนัก
แต่เขาฝืนตัวเอาไว้ แล้วยังพยายามจะดึงผ้าห่มคลุมตัวเองไว้อีก ผมต้องออกแรงยื้อยุดกับเขาอยู่พักใหญ่
จนในที่สุดผมก็สามารถดึงเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดได้สำเร็จ
“บอกมาสิ เซียน.. ใครทำอะไรมึง? เดี๋ยวกูไปจัดการให้” ผมใช้นิ้วปาดน้ำตาที่เริ่มไหลลงมาตามแก้มของเขา
เขานิ่งมองหน้าผมครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดตัวจนหลุดออกจากอ้อมแขนผม
แล้วขยับไปนั่งจ้องผมตาขวางอยู่อีกฟากเตียง
ท่าทางของเขาเหมือนกับแมวจรจัดที่ไม่ต้องการให้คนเข้าใกล้
“กูอยากจะต่อยมึงให้คว่ำจริงๆ เชี่ยใหญ่” เขาพูดเคืองๆ
ผมได้แต่เลิกคิ้วแปลกใจ
ยังมองหาเหตุผลที่ผมสมควรโดนแบบนั้นไม่เจอ ..แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน
ที่ผมอยากรู้ตอนนี้คือใครทำให้เขาร้องไห้ต่างหาก อย่าให้ผมหาตัวเจอเชียวล่ะ!
“ว่าไง เซียน? บอกมาสิ มันเป็นใคร?
กูจะไปจัดการมันให้จริงๆ นะ”
ผมพูดอย่างหมายมั่นปั้นมือ พลางขยับเข้าไปหาเขาอย่างระมัดระวัง จนสามารถรวบตัวเข้ามากอดได้ในที่สุด
“ต่อยให้คว่ำ แล้วก็จะกระทืบซ้ำอีกหลายๆ ที” เขาพูดอู้อี้อยู่กับอกของผม
“ได้ ..จะให้หักกระดูกมันสักท่อนสองท่อนเลยก็ได้” ผมพยักหน้าและบอกออกมาจากใจ
“เอาให้จมดินไปเลย อย่าให้ลุกขึ้นมาอีก” เขาบอกอีก
“ตามนั้น..”
ปากผมเออออตามเขาไป มือก็ลูบหลังลูบไหล่เขาอย่างปลอบประโลม
ใครกันที่มาทำให้เซียนของผมแค้นได้ขนาดนี้?
ถ้าผมเจอมันผมจะทำอย่างที่พูดไปทั้งหมดนั่นแหล่ะ จะไม่ให้ขาดตกบกพร่องไปเลยซักข้อเลย..
จริงๆ
“..ทำไมถึงไม่ไปปาร์ตี้วันเกิดกูล่ะ?”
“ห๊ะ?” ผมหลุดปากออกไปเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนมาพูดเรื่องนี้..
ในสถานการณ์แบบนี้..?
เขาผละออกจากอกผม กลับไปยืดตัวนั่งตามเดิม
สองตาแดงเรื่องคู่นั้นเต็มไปด้วยความน้อยใจ
“ทำไมล่ะ? ทั้งที่เป็นวันเกิดของกูแท้ๆ”
“ก็เห็นว่าไปกับพวกที่คณะ กูไม่ค่อยสนิทกับใครในนั้น
กลัวว่าไปแล้วจะทำให้มึงมัวห่วงพะวงกับกู เดี๋ยวจะสนุกได้ไม่เต็มที่..” ผมพยายามนึกหาเหตุผลที่มันฟังดูเข้าท่า
..แน่นอน ทั้งหมดนั่นเป็นความจริง
“ทั้งที่กูอยากฉลองกับมึง อยากให้มึงเป็นคนแรกที่อวยพร
อยากรับของขวัญจากมึงเป็นชิ้นแรก...”
เขาเอาแต่ก้มหน้าคุยกับเข่าตัวเองด้วยเสียงที่เบาแสนเบาจนผมต้องเอียงหูเข้าไปฟังใกล้ๆ
ผมไม่ได้หวังว่าจะเป็นคนแรกที่ได้อวยพรวันเกิดให้เขา
เป็นคนแรกที่ได้ให้ของขวัญแก่เขา
ยิ่งไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเขาจะเฝ้ารอคอยเพื่อฉลองแค่กับผม
...แค่กับผมงั้นเหรอ?
“ตอบหน่อยสิ เซียน” ผมยื่นมือไปเชยคางเขาขึ้น
เพื่อที่เราจะได้มองสบตากัน ตอนแรกเขาขืนนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมโดยดี
“บอกให้กูแน่ใจสักครั้ง แล้วจะไม่เซ้าซี้อีกเลย”
แววตาที่กำลังมองผมเต้นไหวระริกด้วยความรู้สึก
“กูเป็นใคร...สำหรับมึง?”
“จนป่านนี้ยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง?” เขาพยายามจะเบี่ยงหน้าหนีผมอีก
แต่ผมก็บังคับให้เขาหันกลับมาทางเดิม
“ไม่รู้หรอก.. ถ้าไม่พูดให้ชัดก็ไม่รู้หรอก” ผมบอกเขา
ระยะห่างระหว่างเรากำลังร่นเข้าหากันอย่างช้าๆ
“คนที่อยากอยู่ด้วยในคืนพิเศษ...ก็ต้องเป็นคนพิเศษสิ...ยังต้องให้ชัดกว่านี้อีกไหม?
..งี่เง่า!”
ผมยิ้มกว้างออกมากับคำตอบนั้น
เรื่องที่เคยรบกวนจิตใจมาตลอด
ได้ละลายหายไปกับคำพูดไม่กี่ประโยคของเขาเมื่อครู่หมดแล้ว
เพียงเท่านี้... ผมก็พร้อมจะเดินหน้าต่อไปโดยไม่คิดสับสนอีกแล้ว
“สุขสันต์วันเกิดครับ ..คนพิเศษของใหญ่”
ผมจบคำอวยพรด้วยจุมพิตที่ทาบทับลงไปบนกลีบปากของเขา
“อืมมม...อื้อ..เดี๋ยวใหญ่! เดี๋ยวก่อน!..” คนที่อยู่ใต้ร่างของผมตอนนี้เริ่มดิ้นรนและพยายามจะผลักผมออกให้พ้นตัว
“ไม่ได้เหรอ?”
ผมเงยหน้าขึ้นส่งสายตาอ้อนวอนไปที่เขา
“ไม่ได้กอดเซียนมานานแล้วนะ
..ครั้งล่าสุดก็ผ่านมาตั้งเดือนนึงแล้ว”
“ก็..ไม่เคยห้ามนี่” เขาหลบสายตา พูดได้ไม่เต็มเสียงนัก แก้มทั้งสองข้างก็ขึ้นสีเรื่อ
..ชวนให้อยากแกล้งน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ
“งั้น..”
“เดี๋ยว!”
แต่พอผมจะต่อ เขาก็ยกมือขึ้นห้ามอีก ทำเอาผมงุนงงสงสัยอีกรอบ
เขายื่นมือมาตรงหน้าผม แบออก กระดิกปลายนิ้วสองสามครั้ง พร้อมทั้งยิ้มเจ้าเล่ห์
“ของขวัญล่ะ?”
..อ๋อ เรื่องนี้น่ะเอง
ผมแกล้งตีหน้าซื่อ แล้วถามกลับไป
“น้ำปลาน่ะเหรอ? ..อยู่นั่นไง” ว่าแล้วชี้ไปที่หลังตู้เย็น
เพิ่งซื้อมาเมื่อตอนเย็น ยังไม่ได้เอาออกจากถุงร้านมินิมาร์ทเลย
“น้ำปลาจริงๆ อ่ะ?” เขาทำหน้าหงิกทันที ..ตลกดีชะมัด
“อื้อ น้ำปลาแท้เลยนะ” ผมยังตีมึนต่อ เขาอ้าปากเหมือนอยากจะด่า
อยากจะโหยหวน คร่ำครวญ แต่สุดท้ายก็หุบปากลงเหมือนไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี ..ฮะฮะ
“..ล้อเล่น”
เมื่อเห็นเขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมคีบจมูกเขาเล่นเบาๆ พร้อมเฉลย
ก่อนจะลุกไปหยิบบางอย่างที่วางพิงไว้ข้างผนังห้อง
ซึ่งตอนนี้ถูกห่อทับไว้ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์และแผ่นกันกระแทกอีกชั้น
“ของขวัญ”
ผมเอาไปยื่นให้เขาที่รับไปด้วยสีหน้ากึ่งงงกึ่งตื่นเต้น แล้วบอก “รีบแกะดูสิ”
เขาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มกว้าง
แล้วเริ่มลงมือแกะอย่างประณีต
แม้มันจะถูกห่อด้วยกระดาษที่ไม่มีราคาค่างวดและไร้ความสวยงาม
แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ใส่ใจในทุกรายละเอียด จนผมอดรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ
ไม่ได้ที่ไม่พยายามหากระดาษที่มันดูดีกว่านี้สักหน่อยมาห่อของขวัญให้เขา
“นี่มัน..!”
เขาทำตาโตตกใจ มองผมกับของในมือสลับกันไปมา “ปลายทางสีเมเปิ้ล.. คนที่ซื้อไปคือ..?!”
“เซอร์ไพรส์หรือเปล่า?” ผมถามยิ้มๆ
“มากกกก.. แต่มันตั้งหมื่นสองเชียวนะ?!
..แล้วไหนจะค่ากรอบนี่อีกล่ะ? ไม้แกะสลักลายนี้..อย่างน้อยๆ ต้องไม่ต่ำกว่าห้าพันแน่ๆ” เขาละล่ำละลักพูด เดี๋ยวก็ทำหน้าเหมือนดีใจ
แต่เดี๋ยวก็ทำหน้าเหมือนไม่เห็นด้วย ..อันที่จริงแล้วค่ากรอบมันเจ็ดพันห้าต่างหาก
“ก็เห็นว่าชอบ..
ใจจริงก็ไม่ได้อยากขายใช่ไหมล่ะ?”
ผมรู้ว่าเขาชอบภาพนี้เป็นพิเศษ รู้ตั้งแต่ตอนที่เขาวาดเสร็จใหม่ๆ
แล้วกระตือรือร้นที่จะเอามานำเสนอทั้งแนวคิด เทคนิค และฝีมือของเขาให้ผมดูนั่นล่ะ
“อือ จะเอาเงินไปซื้อเลนส์ตัวใหม่..
แต่ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย”
เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกรงใจ
“แค่อยากทำให้..” ผมตอบจากใจ เอามือไปลูบผมเขาเบาๆ
“ขอบคุณนะ”
เขายิ้มให้ และดึงมือผมไปแนบแก้มของตัวเอง “ขอบคุณจริงๆ”
“ขอบคุณเหมือนกัน..” ผมโน้มตัวลงไปหาเขา ที่เงยหน้ารอรับผมอย่างเต็มใจ
จากนี้ไป.. ผมคงไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเวลาต้องคอยตอบคำถาม
ผมเป็น ‘คนพิเศษ’
เขาก็เป็น ‘คนพิเศษ’
พวกเราต่างเป็น ‘คนพิเศษของกันและกัน’
ผมจะไม่ลังเลถ้าต้องตอบ ผมไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง
..ผมอยากจะบอกกับทุกคน
เพราะตอนนี้ผมรู้แน่แล้ว..
ว่าคำตอบของคำถามนั้น..คืออะไร?
ขอบคุณ ที่ทำให้รู้สักทีว่าผมควรจะตอบพวกเขาไปว่ายังไง
[Finish]