วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[นิยาย] MADAME MAFIA chapter 3.2







MADAME   MAFIA





chapter 3.2






“Buonasera.”

ผมหันไปมองผู้มาใหม่ที่ทักทายด้วยเสียงทุ้มนุ้ม เขาเป็นหนุ่มสีทองคนเดียวกับที่ผมเจอที่ชายฝั่งเมื่อตอนบ่าย ...ไซเรน!

“ขออนุญาตยืนตรงนี้ด้วยคนได้หรือเปล่าครับ?”  เขาพูดด้วยท่าทางสุภาพ

พอมายืนเทียบกันแล้วเขาดูสูงกว่าผมเล็กน้อย อายุราว 30-40 ปี เขาใส่สูทสีเทาเมทัลลิก สวมเสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ้ต ใช้ผ้าพันคอแทนเนคไท ผมยาวประบ่าของเขาถูกหวีจนเรียบแปล้ ตาสีทองยังเปล่งประกายแม้อยู่ในที่แสงน้อย ด้วยรูปลักษณ์และท่าทางถือตัวนิดๆ ของเขา ทำให้ผมนึกถึงพวกแวมไพร์ชนชั้นสูงที่เคยดูในหนังเลยล่ะ

“เชิญ.. ครับ”  ผมตอบเก้อๆ ก่อนเสตามองสนามเบื้องล่าง

ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมทำอะไรไว้ตอนบ่ายบ้าง ทั้งที่แอบหวังว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ผมก็น่าจะคิดได้ว่าหาดแห่งนั้นอยู่ในพื้นที่ของแบร์ลุสโคนี แล้วคนที่ไปอยู่ตรงนั้นได้ก็น่าจะมีแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแบร์ลุสโคนีสิ!

โธ่เอ๊ย ไอ้ซันหนอไอ้ซัน ขายขี้หน้าเขาไหมล่ะทีนี้

“ผมไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่อีก”

ส่วนผมหวังว่าจะไม่ได้เจอคุณอีก ...แต่มันก็ไม่เป็นจริง


“คุณทำให้ผมตกใจจริงๆ เมื่อตอนบ่าย”

อา.. ใช่ หน้าคุณมันก็ฟ้องแบบนั้น ดูตลกจนผมเกือบหลุดหัวเราะเลยล่ะ

“เรื่องนั้นต้องขอโทษด้วย...”  สิ่งที่คิดในใจกับที่พูดออกมาช่างไปคนละทาง

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก คือผม.. เผลอคิดไปว่าคุณเป็นเงือกจริงๆ ตอนที่เห็นครั้งแรกน่ะ ..ก็เลยค่อนข้างตกใจ ไม่ทันได้พูดทักทายคุณด้วยซ้ำ”  เขาหัวเราะแก้เก้อ

เขาดูถือตัว.. เหรอ? ไม่มั้ง ผมคงคิดไปเอง เขาก็ดูธรรมดานี่นา

ออกจะแอบเปิ่นเล็กๆ ด้วยซ้ำ

“คุณเชื่อเรื่องปรัมปราแบบนั้นด้วยเหรอ?”


“ก็เพราะไม่เชื่อน่ะสิ เลยต้องดูให้แน่ใจ แล้วตอนที่คุณว่ายน้ำกลับผมก็เห็นขาของคุณ แล้วแก้มก้นของคุณก็แยกออก...”

“แค่ก แค่ก!!”  ผมสำลักน้ำลายตัวเอง

“ไม่ๆๆ คือผมหมายถึงขากับก้นของคุณมันไม่ได้ติดรวมกันเป็นหางเหมือนนางเงือกน่ะ คือ.. ผมขอโทษที่พูดถึงก้นคุณแบบนั้น ผมเลือกใช้คำได้ไม่เก่ง...”

“ผมเข้าใจๆ” 

ผมยกมือห้ามเขาไม่ต้องอธิบายแล้ว เลิกพูดเรื่องก้นผมสักที!!

เขายิ่งพูด ผมก็ยิ่งอาย ฮือออ... วันนี้มันวันน่าอายแห่งชาติของผมหรือไง? ทั้งกับคนในบ้าน ทั้งกับคนแปลกหน้า ผมก็หาเรื่องให้ตัวเองต้องอายได้อีก

จบสิ้นแล้ว ตะวันฉาย...

“เอ้อ คุณอยากดื่มอะไรไหม? เดี๋ยวผมไปยกเครื่องดื่มมาให้นะ”  คนถามไม่ได้รอคำตอบ เขารีบเดินออกไปหาบริกรที่เห็นอยู่ลิบๆ ทันที  

พอได้อยู่คนเดียวผมค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย ลองจับแก้มตัวเองก็รู้สึกว่าร้อนผ่าวไปหมด ยังดีที่แสงตรงนี้มีไม่เยอะ ไม่งั้นผมคงมีเรื่องให้อายได้อีก

ฟู่~ ใจเย็นไว้ ยังไงก็คนแปลกหน้า จบงานนี้แล้วคงไม่ได้เจอกันอีกหรอก

“ผมไม่รู้ว่าคุณชอบดื่มอะไร ผมเลยเอาไวน์แดงมาให้” 

เขากลับมาพร้อมไวน์แดงในมือสองแก้ว ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ขณะยื่นมือไปรับแก้วหนึ่งจากเขาพร้อมรอยยิ้มขอบคุณตามมารยาท

“ขอบ...”

“ซันนี่”

! ”  ผมเกือบทำแก้วหลุดมือตอนที่ได้ยินชื่อของตัวเอง

ฟ้าเดินออกมาที่ระเบียง ผมมองหาที่มักจะอยู่ข้างหลังเขาแต่ก็ไม่มี ไซเรน(ซึ่งผมไม่รู้ชื่อจริงเขา)พงกหัวเป็นเชิงทักทายฟ้า คล้ายว่าทั้งคู่จะคุ้ยเคยกันดีเลยล่ะ

โอ.. ไม่นะ เขาคงไม่ใช่หนึ่งในญาติของฟ้าหรอกใช่ไหม?

“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?”  ผมถาม

“นั่นน่าจะเป็นคำถามกูมากกว่านะ”  ฟ้าเลิกคิ้วนิดๆ

เขาเหลือบมองไปทางไซเรนเป็นเชิงถามว่าทำไมถึงอยู่ด้วยกัน...ล่ะมั้ง

“กูแค่ออกมาสูดอากาศหน่อย แล้วก็...”  ผมมองไซเรนเช่นกัน

คราวนี้เขายิ้มตอบมาทั้งที่ไม่เข้าใจว่าเรากำลังพูดอะไรกัน

“รู้จักกันแล้วเหรอ?”  คราวนี้ฟ้าถามด้วยภาษาอิตาเลียน

“เอ้อ.. มิเลส์ เวนโดลา ยินดีที่ได้พบคุณ”  ไซเรนรีบแนะนำตัวพร้อมกับยืนมือออกมาจับทักทายอย่างเป็นมิตร

“ตะวันฉาย”  ผมบอก

เดี๋ยวนะ เขาว่าเขานามสกุล เวนโดลา เหรอ?

ผมหันกลับไปมองฟ้า เขาพยักหน้าเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร

“มิเลส์เป็นน้องชายของคุณแม่”

“ผมก็คิดอยู่ว่าทำไมพวกคุณสองคนถึงดูคล้ายกันจัง”  ผมพูดกับมิเลส์

“ใครๆ ก็พูดแบบนั้นแหล่ะครับ”  เขาว่ายิ้มๆ

ผมก็ยิ้มไปกับเขา... แต่เดี๋ยวสิ! งั้นเขาก็เป็นน้องชายของคนที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งสไนเปอร์ไปลอบยิงฟ้าเมื่อสี่ปีก่อนด้วยน่ะสิ! ซิลวิโอ เวนโดลา คนนั้นเป็นพี่ชายของเขา! ถึงผมจะยังไม่เคยเจอซิลวิโอ แต่ผมเกลียดเขา! นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แม้แต่มาดามวาเนสซา ลึกๆ แล้วผมก็ไม่ชอบเธอเหมือนกัน ถึงฟ้าจะเคยบอกว่าเธอต่างจากพี่ชายของเธอก็เถอะ แล้วนี่ มิเลส์ เวนโดลา เขาเป็นคนยังไง? อยู่ข้างไหน? ผมไม่มีทางรู้เลย บางทีที่เขาเข้ามาตีสนิทกับผมอาจเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างก็ได้ ต่อไปนี้ผมคงต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้วล่ะ

จู่ๆ ความระแวงสงสัย(และไม่ชอบใจ)ในตัวไซเรนก็ก่อตัวขึ้นมาในใจผม

ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องคนเพิ่งรู้จักกันอยู่

“อ่า..”  เสียงของฟ้าทำให้ผมรู้สึกตัว

“เมื่อกี๊เห็นริเน่ถามหาอยู่”  ฟ้าบอกมิเลส์

อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้ แล้วหันมาบอกผม  “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

เขาจากไปพร้อมกับแววตาแสดงความไม่สบายใจตอนที่เขามองผม บางทีคงเป็นเพราะผมไปมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรก่อนล่ะมั้ง

“เฮ...”  จู่ๆ ฟ้าก็จิ้มนิ้วลงมาตรงหว่างคิ้วผม

“อะไรเล่า!?”  ผมยกมือบังไว้ ก็เขาจิ้มเบาที่ไหนกันล่ะ ..เจ็บนะ

“ไปจ้องหน้าคนอื่นแบบนั้นไม่มีมารยาท”

“ไหนบ้านมึงไม่เคร่งเรื่องมารยาทไง?”  ผมย้อนคำที่เขาเคยบอกซิน

ไม่อยากถูกคนอย่างเขามาว่าเรื่องมารยาทเลยจริงๆ

“เขาไม่เหมือนกับคุณลุงหรอก”  ฟ้าพูดขณะมองกลับเข้าไปในงาน

เขาพูดอย่างกับรู้ว่าผมกำลังคิดยังไงกับ มิเลส์ เวนโดลา งั้นล่ะ

“แปลว่าเขาไว้ใจได้เหรอ?”  ผมวางแก้วไวน์ไว้บนขอบราวระเบียง

“ไม่ได้”  ฟ้าหันมาตอบแทบจะทันที

เขาขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหนีไปติดระเบียง หลังผมไปโดนแก้วไวน์ที่เพิ่งวางไว้หล่นลงไปข้างล่าง ผมชะโงกตามไปดู แต่พอหันกลับมาอีกทีฟ้าก็คร่อมแขนไว้ไม่ให้ผมมีโอกาสหนีแล้ว ผมเลยเอามือข้างหนึ่งยันอกเขา รักษาระยะห่าง(ที่แทบไม่มี)ไว้ ใจก็นึกหวั่นว่าอาจจะมีใครจะผ่านมาเห็นฉากหวาดเสียวแบบนี้เข้าก็ได้

“นี่.. เดี๋ยวใครก็มาเห็น...”

“ห้ามซันนี่ไว้ใจผู้ชายคนอื่นนอกจากฟ้าเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

“หา?”  ผมลืมความตั้งใจที่จะดันเขาออกไปเพราะประโยคที่เพิ่งได้ยิน

“เข้าใจหรือเปล่า?”  เขาถามย้ำ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ไม่อ่ะ กูไว้ใจซินด้วย”  ผมตอบทื่อๆ

ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นนะ แต่คือแบบ.. เออ ผมหักมุขมันนั่นแหล่ะ ก็ผมไม่ใช่สาวน้อยอ่อนต่อโลกอะไรสักหน่อย ผมก็ผู้ชายเหมือนกัน แล้วจู่ๆ มาถูกบอกว่าห้ามไว้ใจผู้ชายคนอื่นแบบเนี้ยนะ? ตลกแล้ว พูดมาได้ไง

แล้วยังมาแทนตัวเองว่า ฟ้า อีก น่ารักไป๊! ฮ่าๆๆ

ไหน ใครหาว่าเขาไร้ความรู้สึก ลองมาเห็นเขาอย่างที่ผมกำลังเห็นตอนนี้สิ แล้วถ้ายังมองว่าเขาน่ากลัวอยู่อีก พวกเธอก็คงจะมีปัญหากับสายตาแล้วล่ะ!

“ไม่น่ารักเลย”  ฟ้าถอนหายใจ

อ้าว ไอ้นี่.. ทั้งที่กูเพิ่งคิดว่ามึงน่ารักอยู่แท้ๆ ฮ่ะๆๆ

“ไอ้คนกลับกลอก เมื่อตอนกลางวันยังบอกว่ากูน่ารักอยู่เลย”  ผมแกล้งว่า

“อุ๊บ! อื้อออ อื้อ!”  แล้วเขาก็จู่โจมจูบผมเฉยเลย

ผมพยายามดันตัวเขาออก แล้วโวย(ไม่ดัง) พร้อมกับทุบอกเขาไปอีกที

“ทำบ้าอะไรเนี่ย!?” 

ตาผมเหลือบมองข้ามไหล่ฟ้าไปดูว่ามีใครสังเกตเห็นพวกเราหรือเปล่า

“ก็ยังน่ารักอยู่นี่นา”  เขาพูดยิ้มๆ พลางจับแก้มที่ร้อนผ่าวของผม

ผมนึกไม่ออกว่าจะด่าอะไรเลยทุบเขาไปอีกทีแบบเขินๆ เขาจับข้อมือข้างนั้นของผมไว้ แล้วจ้องตา พอผมยกมืออีกข้าง เขาก็จับเอาไว้อีก โดยไม่ละสายตาไปจากผม วิธีการจ้องมองของเขามันได้ผลกว่าคำหวานที่เขาพยายามใช้ซะอีก

“.......” 

ผมเห็นใบหน้าของเขาเลื่อนเข้ามาใกล้ แต่ร่างกายผมมันไม่มีส่วนไหนที่ อยากจะขยับหนีเลย คนที่เป็นสาเหตุให้ใจผมหนักอึ้งจนถึงเมื่อครู่ กำลังทำให้ใจของผมรู้สึกเบาหวิวจนเหมือนจะปลิวไปได้ทุกเมื่อ เพียงแค่เขาเป่ามันเบาๆ ...

“อะแฮ่ม”

เสียงกระแอมไอของบุคคลที่สามทำให้ผมเผลอผลักฟ้าออกไปสุดแรง

เขาเซไปหลายก้าว แต่โชคดีที่ไม่ล้ม ผมนึกว่าหัวใจตัวเองจะหยุดเต้นซะแล้ว แต่พอเห็นว่าผู้มาใหม่ไม่ใช่ใครนอกจากมานะ ซึ่งรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราดีอยู่แล้ว ผมค่อยหายใจหายคอโล่งขึ้นมาหน่อย ...แต่ให้ตายสิ เกือบหัวใจวายแนะ

“ไม่อยากจะขัดจังหวะเลย แต่ซินญอร์ซานโซเน่ จากซิซิลี มาถึงแล้ว บอส”

มานะรายงานฟ้าที่กำลังทำหน้าเหมือนอยากจะหักคอเขา(..หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คือผมคนนึงแหล่ะที่นึกอยากจะทำแบบนั้น ก็ดูมันอมยิ้มเข้าสิ!)

ฟ้ามองมาทางผม ผมไม่รู้ว่าคนที่มานะพูดถึงเป็นใคร แต่รู้สึกได้ว่าคงจะมีความสำคัญ(ไม่มากก็น้อย) ผมจึกพยักหน้าให้เขาไป ฟ้ารับรู้แล้วหันหลังเดินออกไปโดยมีมานะนำ แต่ก่อนจะพ้นประตูผมเห็นเขาเตะก้นมานะไปทีนึง หมอนั่นถึงกับสะดุ้งตัวลอย เดินคลำก้นตัวเองป้อยๆ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้

สมน้ำหน้ามัน ฮ่ะๆๆ

ว่าแต่สองคนนี้ดูสนิทกันจนผมชักจะฉิจฉาขึ้นมาแล้วแฮะ

ผมกลับเข้ามาในงานอีกครั้ง งานเต้นรำค่อยดูสมเป็นงานเต้นรำหน่อยเมื่อแขกเขรื่อเริ่มจับคู่ออกไปเต้นบนฟลอร์กันแล้ว ผมไม่เห็นซอลลี่อยู่ในงาน(บางทีหมอนั่นคงกลับไปหาลูกเมียแล้ว) และซินก็ไม่ได้อยู่ตรงที่ที่เคยอยู่ แต่ย้ายไปฝอยอยู่ตรงกลุ่มผู้ชายกลางคนกลุ่มหนึ่ง โดยมีแองจี้คอยยืนอยู่ข้างๆ ดูจากรูปการณ์แล้วเธอคงจะพาซินไปแนะนำให้คนพวกนั้นรู้จักล่ะมั้ง รวมถึงฟ้าเองก็ไม่ได้อยู่ในงานด้วย

บางทีเขาคงจะไปคุยธุระที่ไหนสักแห่ง...

“ซันชายน์! คุณหายไปไหนมาตั้งนาน?” 

เซเรน่าโผเข้ามาเกาะแขนผมทันทีที่เห็น เธอกับลูวิคยังยืนอยู่ด้วยกันที่เดิม

“พอดี.. หลงทางนิดหน่อยน่ะ”  ผมให้เหตุผลส่งเดชไป

“ก็ไม่แปลกนะ บ้านนี้มันใหญ่ซะจนน่ากลัวเลย”  ลุคว่า

ผมมองไปทางที่มาดามวาเนสซาอยู่ ผมเห็นมิเลส์ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย โดยมี
สาวสวยคนหนึ่งยืนกอดแขนเขาเอาไว้แน่น เธอมีผมหยักศกสีน้ำตาลเทายาวถึงกลางหลัง สวมชุดค็อกเทลเดรสน่ารักๆ ดูจากรูปร่างหน้าตาของเธอ กับท่าทางสนิทสนม
ของพวกเขา บางทีนั่นอาจจะเป็น ริเน่ น้องสาวของฟ้าประทานก็ได้

ผมไม่เคยเจอเธอมาก่อน แต่เคยได้ยิน(จากฟ้า)ว่าเธออายุน้อยกว่าเขา 4 ปี แต่เป็นเด็กพิเศษที่มีพัฒนาการทางสมองช้ากว่าเด็กปกติ(มาก) แต่พอได้มาเห็นแบบนี้แล้วเธอก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากคนทั่วไปเลยนะ บางทีถ้าไม่ได้คุยด้วยก็คงดูไม่ออก 

ผมสังเกตเห็นผู้หญิงชุดดำคัพเอฟที่ซินเคยเล็งไว้ตอนแรกก็ไปยืนรวมกลุ่มอยู่ตรงนั้นด้วย เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร

“คุณรู้จักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า?”  ผมถามเซเรน่า 

“คนไหน?”  เธอมองตามทางที่ผมยื่นแก้วเครื่องดื่มออกไป

“ชุดดำน่ะ”

“นั่น ชีร่า สฟอร์ซา  ลุคเป็นคนบอก

“อ๋อ แม่นั่นเอง”  เซเรน่าเบ้ปากเมื่อรู้ว่าเรากำลังพูดถึงใคร

“ชีร่า สฟอร์ซ่า...”  ผมทวน

“ใช่ เป็นคนดังเลยแหล่ะ สองศรีพี่น้องสฟอร์ซาน่ะเคยมีข่าวลือว่าจะได้หมั้นกับหนุ่มๆ ตระกูลแบร์ลุสโคนี ชีร่าจะได้หมั้นกับบอสฟา ส่วนชินเซียพี่สาวจะได้หมั้นกับโคเนโร แบร์ลุสโคนี ซึ่งตอนนั้นใครๆ ก็คิดว่าเขาต้องได้เป็นบอสคนต่อไปแน่ๆ แต่พอเขาหายตัวไปแล้วบอสฟาขึ้นมาแทน แผนทั้งหมดก็เลยถูกยกเลิกไป แต่ตอนนี้มีข่าวลือใหม่ว่า พวกเขาจะให้ชินเซียหมั้นกับบอสฟาแทนล่ะ”  ลุคเม้าท์มอย 

“ไหงงั้น? แล้วยัยชีร่าล่ะ?”  เซเรน่าถามอยากอย่างรู้อยากเห็น

แม้แต่ตัวผมเอง โน้มลงไปสุมหัวกับพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย

“ก็ชวดน่ะสิ เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ายัยชินเซียเป็นคนยังไง? แม่นั่นคงจะยอมได้หรอกถ้าน้องสาวจะได้ชูคอเป็นมาดามแบร์ลุสโคนี โดยที่พี่สาวอย่างเธอปิ๋วน่ะ”

“คือฉันเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกับเธอตอนไฮสคูลน่ะ”  เซเรน่าหันมาบอกผม

“เธอเป็นประเภทยอมใครไม่เป็น แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของตัวเองก็เถอะ แต่ฉันบอกได้เลยนะว่ายัยน้องสาวนั่นก็ไม่ได้นิสัยดีไปกว่ากันนักหรอก ฉันก็แค่ไม่ชอบพวกเธอ แต่พวกเธอสองคนคงจะเกลียดกันเลยล่ะ”

“นั่น ชินเซีย สฟอร์ซา

ลุคชี้ให้ดูผู้หญิงชุดเดรสสีขาว เธอก็ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แต่คนละมุมกับน้องสาวของเธอเลย เธอดูสวยเรียบๆ แต่สง่างามทั้งท่าทางการพูด การยืน บ่งบอกได้
ว่าถูกอบรมมาอย่างดี ขณะที่น้องสาวของเธอดูสวยแบบเย้ายวนใจชายหนุ่มมากกว่า

“ซินเซียร์...”  ผมไม่แน่ใจว่าได้ยินถูก

“ไม่ใช่ๆ ชินเซีย Cynzia ที่แปลว่า พระจันทร์ ส่วน ชีร่า Cira แปลว่าพระอาทิตย์ แค่ชื่อของพวกเธอก็อยู่คนละฟากกันแล้ว เห็นไหม?”  เซเรน่าหัวเราะคิกคัก

แต่ผมไม่ขำไปกับเธอ ความจริงที่ว่าคนรักของผมอาจกลายเป็นคู่หมั้นของผู้หญิงคนอื่นผมคงจะขำได้หรอก ถึงจะยังเป็นแค่ข่าวลือก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น

ก็ในเมื่อผมเป็นผู้ชายแบบนี้...

“แต่ก็มีข่าวลือว่า บอสฟามีคนรักอยู่แล้วที่ประเทศแม่ของเขา บางทีเธอคนนั้นอาจจะเป็นม้ามืดในการชิงตำแหน่งมาดามฯครั้งนี้ได้นะ”

หือ.. ผมหันไปมองบุคคลที่สี่ที่มาพร้อมกับข้อมูลใหม่เอี่ยม

“อ๊า! คุณก็ได้ยินข่าวลือนั่นมาเหมือนกันเหรอ?” 

ลุคร้องออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วมองผู้มาใหม่กับฮาเร็มขนาดย่อมข้างหลังเขาอย่างแปลกใจ  “เอ๊ะ ว่าแต่คุณเป็นใครกัน?”

“เคอิ ทานิซาวะ ยินดีที่ได้พบพวกคุณครับ”

เขาแนะนำตัวเองพร้อมยื่นมืออกมาจับทักทาย กับลุคและเซเรน่าก็พอ
เข้าใจได้ แต่ทำไมต้องมาจับผมด้วยล่ะ? ทำอย่างกับไม่รู้จักกัน อ่า แต่ก็ช่างเหอะ มันก็ยังดีกว่าให้เขามาเรียกผมว่า ฮิเดโกะ ต่อหน้าคนอื่นล่ะนะ

ว่าแต่หมอนี่มันคาสโนว่าระดับมงกุฎเพชรเลยนี่หว่า(ก็ดูฮาเร็มที่เขาพามาด้วยนั่นสิ ซินเทียบไม่ติดเลยนะเนี่ย) เมื่อก่อนเห็นชอบหยอกมานะก็นึกว่าจะชอบอะไรแบบนั้นซะอีก แต่ดูท่าแล้วคงแกล้งเล่นไปงั้นล่ะมั้ง(มานะก็ไม่เล่นด้วยด้วย)

“นี่เคย์~ คุณพูดจริงเหรอ เรื่องคนรักของบอสฟาน่ะ?” 

สาวคนหนึ่งออดอ้อนถามเขา สาวคนอื่นๆ ก็ดูอยากรู้อยากเห็นด้วย

“ก็บอกว่าข่าวลือไง ข่าวลือ~  เขาเหลือบมองมาทางผมยิ้มๆ

“เอ๋ แต่คุณบอกว่าคุณเป็นหมอประจำตัวเขานี่นา ถ้าคุณทำงานใกล้ชิดเขาขนาดนั้นก็น่าจะรู้สิว่าเรื่องจริงหรือเปล่า? น่านะ บอกพวกเราหน่อย~

“หมอ?”  ลุคหันมากระซิบกระซาบกับเซเรน่าอย่างประหลาดใจ

น่า ผมเข้าใจพวกเขานะ ก็ตาคนนั้นเขาดูเหมือนคนเป็นหมอซะที่ไหนล่ะ

“แต่หมอก็มีหน้าที่รักษาความลับของคนไข้นะ ผมคงพูดไปไม่ได้หรอก”

ยังพอจะเหลือจรรยาบรรอยู่บ้างสินะ...

แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าไอ้คุณหมอนั่นมันดูน่าหมั่นไส้ชะมัดแฮะ

“เอ๋~! อะไรล่ะนั่น?  พวกสาวๆ ร้องระงม

“แต่ถ้าบอสฟาเลือกคนรักของเขาจริง งานนี้ยัยชินเซียก็มีสิทธิ์ปิ๋วตามน้องสาวไปอีกคนน่ะสิ? แหม อยากเห็นหน้าหล่อนตอนนั้นชะมัดเลย” 

เซเรน่ากับลุคคุยกันแล้วหัวเราะคิกคักชอบใจ...




“ขออนุญาตครับ คุณซันนี่”

ผมหันไปมองเจ้าของประโยคภาษาไทยสำเนียงแปร่ง แล้วก็เห็นว่าเขาคือ เมรันดรี มอนติ พ่อบ้านคนสนิทของฟ้าที่ผมเคยเจอหลายครั้งตอนอยู่เมืองไทย อีกทั้งเขายังเป็นพ่อบุญธรรมของมานะด้วย

“เมรันดรี?”

“คุณหนูต้องการให้คุณไปพบที่ห้องทำงานครับ”

คุณหนู.. หมายถึงฟ้าประทานน่ะเหรอ? ผมพยักหน้าว่าเข้าใจ

“พวกเขาพูดภาษาอะไรกันน่ะ?”  ใครบางคนกระซิบกระซาบสงสัย

“คืนนี้ผมคงต้องขอตัวก่อนนะ สวัสดี” 

ผมหันไปลาลุคกับเซเรน่าที่ดูผิดหวังไม่น้อยที่ผมขอตัวกลับดื้อๆ รวมถึงกลุ่มของหมอเคอิที่กำลังเม้าท์แตกด้วย ก่อนจะหันหลังเดินตามเมรันดรีออกมา

เมรันดรีพาผมมาที่ห้องทำงานของฟ้าซึ่งอยู่บนชั้นสอง ระหว่างทางผมก็ได้พูดคุยเรื่องสารทุกข์สุกดิบกับเขาตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน เขาว่าตอนนี้เขากึ่งๆ จะปลดเกษียรแล้ว ที่เขาคอยรับใช้ในบ้านหลังนี้ก็มีแค่ฟ้าคนเดียวเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ในบ้านก็มีหัวหน้าพ่อบ้านอีกคนคอยดูแลจัดการอยู่แล้ว งานเขาเลยไม่ยุ่งนัก

ผมบอกเขาว่าเขายังไม่ดูแก่พอจะเกษียรสักหน่อย(เขาน่าจะรุ่นเดียวกับแม่ผมนะ ถ้าให้เดา) แล้วก็ไม่ลืมบอกเขาด้วยว่าที่จริงแล้วผมชื่อ ซันชายน์

หน้าห้องของฟ้ามีบอดีการ์ดหน้านิ่งอย่างกับหุ่นยนต์ยืนเฝ้าอยู่คนนึง ผมจำได้ว่าเคยเจอหมอนี่มาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกคือหลายเดือนก่อนตอนที่ฟ้าไปหาผมที่ลอนดอน ส่วนครั้งที่สองคือเมื่อเช้าตอนที่ฟ้าไปรับผมที่สนามบิน ..อืม มันนิ่งจริงๆนะ

“ขออนุญาตครับ”

เมรันดรีเคาะก่อนเปิดประตูเข้าไปหลังได้ยินเสียงตอบรับจากข้างในแว่วๆ

“คุณซันนี่มาแล้วครับ”

“ซันชายน์”  ผมกระซิบบอกอีกหน

จะต้องให้ผมบอกอีกสักกี่หนถึงจะจำล่ะเนี่ย!? หรือลุงจะแก่แล้วจริงๆ!?

“เชิญครับ”  เมรันดรีหันมาบอกผม เขาหลีกทางให้ผมก้าวเข้ามา ส่วนตัวเองก็ถอยกลับออกไป แล้วปิดประตูไว้เหมือนเดิม

ห้องทำงานของฟ้าผิดจากที่ผมคิดไปเยอะ เป็นห้องสไตล์วินเทจที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นส่วนใหญ่ ดูไม่ค่อยสมกับเป็นตัวเขาเลย แต่ถ้าตกแต่งสไตล์ โมเดิล แถมยังเป็นสีขาวแบบที่เขาชอบก็คงจะดูไม่เข้ากับคฤหาสน์โบราณหลังนี้สินะ

“ไง”  เจ้าของห้องหันมาทัก

เขาถอดสูทตัวนอก ถอดผ้าพันคอออก ตอนนี้เลยเหลือแค่เชิ้ตตัวในที่พับแขนขึ้น เขากึ่งนั่งกึ่งยืนพิงโต๊ะทำงานของตัวเอง ดูท่าว่าก่อนผมเข้ามาเขาคงจะกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแสงไฟสลัวอยู่กระมัง

“ดูเหนื่อยๆ นะ”  ผมเดินเข้าไปหา

เสียงเพลงบรรเลงทำนองเชื่องช้าที่ดังแว่วมาจากห้องจัดเลี้ยงข้างล่าง ผ่าน
ทางต่างซึ่งถูกเปิดรับลมเอาไว้ ส่งผลให้บรรยากาศในห้องนี้ยิ่งดูเหงาเป็นพิเศษ

“นึกว่ามานะจะอยู่ด้วยซะอีก” 

ผมแปลกใจที่ไม่เห็นอีกคนที่แทบจะกลายเป็นเงาที่สองของเขาแล้ว เมื่อกี๊ก็ยังให้เมรันดรีเป็นคนไปตามผมอีก แล้วหมอนั่นไปไหนซะล่ะ?

“อยากให้เรียกไหมล่ะ?”  เขาพูดหน้านิ่ง

แต่ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปรกติแฝงอยู่ในความนิ่งนั้นนะ

“ประชดเหรอ?

“เปล่า ก็เห็นสนใจเหลือเกิน”  เขาเสตากลับไปมองหน้าต่าง

“ห๊ะ?”

“ก็เห็นแอบมองแต่มานะอยู่บ่อยๆ”  เขาหันกลับมามองหน้าผม

“กูเนี่ยนะ? 

ผมทำแบบนั้นเหรอวะ?

“กูหึงนะ”

“หา?

“กูหึง”  เขาย้ำ

เริ่มมีอาการหงุดหงิดออกมาให้เห็นแบบนี้ ผมก็ปรี๊ดแตกสิครับพี่น้อง

กูสิต้องหึง! พวกมึงตัวติดกันแทบจะ 24 ชั่วโมงขนาดนั้น ขนาดกูเป็นแฟนยังไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับมึงนานเท่ามันเลย กูต่างหากที่หึง!

อุ๊บส์... แย่ล่ะ

“อ๋อ งี้เอง”  เขาทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือ ตางี้ใสปิ๊งเลย

ตะวันฉาย มึงพลาดอีกแล้ว!

ทำไมถึงได้เป็นคนปากไวแบบนี้ว้า!? อยากตบปากตัวเองนัก!

“โอ๋ๆ”  เขาเอามือมาลูบหัวผมพลางส่งเสียงแบบนั้น

ผมเงยหน้ามองอย่างคาใจ ...ทำอะไรของมัน?

“โอ๋ๆ”  เขายังไม่เลิก

“กูไม่ใช่เด็ก!”  ผมปัดมือเขาทิ้ง

จากเขินๆ ตอนนี้ผมเริ่มเคืองละ หมอนี่มันเปลี่ยนอารมณ์ผมได้ไวจริงๆ

“อย่างอนดิ”

“กูไม่ได้งอน”

“ง้อนะ”  เขาชูนิ้วก้อยขึ้นมา

หน้าตาเฉยๆ ของเขากวนประสาทผมชะมัดยาดเลย

“กูบอกว่าไม่ได้งอน มึงกวนกูเหรอ?”  ผมปัดนิ้วเขาทิ้งอีก

“ก็ซันนี่น่ารัก”  เขายืนขึ้นแล้วโอบหัวผมไปซบบ่าเขาไว้

“กูไม่น่ารักสักหน่อย”  ผมบ่นกับบ่ากว้างโดยไม่มีการขัดขืน

“น่ารัก”  เขากดจูบลงมาตรงขมับ

ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาชมอย่างอื่นบ้างไม่เป็นแล้วหรือไง? เอาแต่พูดว่า น่ารักๆ อยู่นั่นแหล่ะ ชมว่าผมหล่อผมเท่บ้างสิ เผื่อผมจะดีใจ(?) ฮึ่ยย

“เต้นรำกันไหม?” 

จู่ๆ เขาก็ชวน ลดมือมาเกาะตรงสะโพกผมไว้ เกยคางเอาไว้ที่ไหล่ แล้วโยก
ตัวเบาๆ ตามจังหวะดนตรีที่แว่วมาให้ได้ยิน ไม่รู้นึกครึ้มอะไรของเขานะ ฮ่ะๆๆ

“มีงานเต้นรำทั้งที ก็ต้องเต้นรำสิ”  เขาว่า

“แล้วใครเขาเต้นกันท่านี้เนี่ย”  ผมว่ากลั้วหัวเราะ

“แล้วซันนี่เต้นเป็นเหรอ?”  เขาเงยหน้าขึ้นถาม

“แบบนี้..”  ผมก็สอนซะเลย

จับมือข้างหนึ่งของเขาให้โอบหลังผม ดันคางเขาให้เชิดหน้าขึ้น อีกมือก็ให้จับกับมือผมไว้ จากนั้นก็เริ่มก้าวเท้าโดยใช้ปลายเท้าตัวเองดันเท้าของเขาให้ขยับไปตามจังหวะแบบวอลซ์ ...เอ่อ แต่เพลงมันไม่ใช่วอลซ์นี่นา

“นั่นมันเต้นแบบอังกฤษแล้ว”  ฟ้าปล่อยมือผม

แล้วกลับมาเกาะสะโพกผมไว้เหมือนเดิม  “นี่มันเพลงลาตินต่างหาก...”

“เหรอ...”  ผมซบหน้าเอาไว้กับไหล่ของเขา

ไม่กล้าเถียงแล้ว ก็ผมไม่ใช่กูรูด้านการเต้นเพลงลาตินนี่หว่า ว่าแต่ตัวเขาหอมจัง ผมคิดตั้งแต่ตอนอยู่ด้วยกันที่ระเบียงแล้ว (สูด)ห๊อมหอม...

“วันนี้มึงหล่อมากเลย รู้ตัวเปล่า?” 

ผมคงเริ่มเมากลิ่นของเขาแล้วล่ะ(ฮา..)

“รู้”  เขาตอบเรียบๆ

ผมเงยหน้ามอง  “โห.. ไม่คิดจะถล่มตัวสักหน่อยรึพ่อ?”

“ก็เรื่องมันจริง”  เขาพูดหน้าตาย ขณะที่ร่างกายยังขยับไปตามเสียงเพลง

“หลงตัวเอง”  ผมเบ้ปาก แต่ก็อมยิ้มเอ็นดูเขาด้วย

“แล้วซันนี่หลงด้วยเปล่า?”  เขาเอาปลายจมูกมาเขี่ยจมูกผม

ผมยังอมยิ้มไม่ตอบ เขาเลยเริ่มท่องคาถาแปลกๆ ใส่

“รักกู หลงกู รักกู หลงกู รักกู หลงกู เพี้ยงง!!”  เขาเป่ากระหม่อมผมอีกที

“ฮ่าๆๆๆๆๆ”  ผมหัวเราะน้ำตาเล็ด

ไม่รู้เขาไปเอาอย่างใครมาสิน่า ฮ่าๆๆๆ แต่รู้สึกว่าคาถานี้จะใช้ได้กับผมนะ เพราะรู้สึกเหมือนจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วตอนนี้ ฮ่าๆๆๆๆ

“ใครสอนเนี่ย?”  ผมถามทั้งที่ยังไม่หยุดขำ 

ผมไม่คิดว่าอย่างฟ้าจะคิดเรื่องบ้าๆ บ๊องๆ แบบนี้ได้เองหรอก

“เคอิจัง”

นั่นไง เรื่องเพี้ยนๆ ก็ต้องมาจากคนเพี้ยนๆ แหล่ะ ค่อยสมเหตุสมผลหน่อย

“แล้วได้ผลเปล่า?”  เขายังมีหน้ามาติดตามผลอีกนะ ฮ่ะๆๆ

“สุดๆ!”  ผมยิ้มกว้าง

แล้วเป็นฝ่ายจู่โจมจูบเขาก่อนบ้าง

“อื้ออออ...”



ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

“ขออนุญาตครับ!” 

มานะโผล่พรวดพราดเข้ามาแทบจะทันทีที่เสียงประตูสิ้นสุดลง

หมอนี่รู้จักมารยาทบ้างหรือเปล่านะ! อย่างน้อยก็รอให้เจ้าของห้องเขาตอบรับก่อนสิเฮ้ย! ผมใช้หลังมือปาดคราบน้ำลายด้วยใจที่หงุดหงิดไม่น้อย

แต่ฟ้ากลับรีบผละไปหาหมอนั่นจนผมอดรู้สึกเฟลไม่ได้

มานะ... นี่มึงคิดจะเป็นศัตรูหัวใจกูจริงๆ เรอะ? คิดดีแล้วเรอะ??

“เป็นไง?”  ฟ้าถามมานะ

“รั้วทางทิศตะวันตก ช่องที่สี่เป็นมุมอัพของวงจรปิด ตอนสี่ทุ่มครึ่งจะมีการเปลี่ยนเวรยามกะสอง ถ้าออกไปตอนนั้นก็น่าจะไม่มีใครทันเห็น”

หือ? ใคร?? จะไปไหน???

“สี่ทุ่มครึ่ง”  ฟ้าทวนพลางก้มดูนาฬิกาข้อมือ 

“อีกยี่สิบเจ็ดนาที... แล้วรถล่ะ?”

“คันที่จะใช้ให้มาร์กี้เอาออกไปขับเล่นตั้งแต่เย็นแล้ว พวกผมจะออกไปทางอุโมงค์ใต้ดิน หลังเปลี่ยนรถกับมาร์กี้เสร็จก็จะไปเจอบอสตรงจุดนัดพบ...”

“ตามนั้นเลย เดี๋ยวซันนี่ไปกับมานะนะ”  ฟ้าสรุปแล้วหันมาบอกผม

“ห๊ะ?” 

กูเรอะ? กูจะต้องไปเรอะ? ที่ไหน? แล้วทำไม??

“รีบไปเหอะ มีเวลาไม่มากแล้ว”  เขายื่นเงินจำนวนหนึ่งให้มานะ  

“ไปร้านแคนดี้นานี่ ซื้อสายไหมมาให้ริเน่ด้วย”

“อ้า... ครับ!  มานะท่าทางเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างที่มากกว่าคำสั่งซื้อขนมให้น้องสาวบอส เขารับเงินไปก่อนจะเดินนำผมออกจากห้อง

“ไปสิ”  ฟ้าเร่งเพราะเห็นผมยังลังเล

“จะไม่บอกกูหน่อยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“เดี๋ยวก็รู้เอง”  เขาพูดยิ้มๆ

“แล้วซิน...”  นี่ล่ะที่ทำให้ผมลังเล

จะให้ผมทิ้งซินไว้คนเดียวได้ไง ถึงยังไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนก็เถอะ

“ไม่ได้จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหรอก เพราะงั้นให้หมอนั่นอยู่ที่นี่แหล่ะ”

“กูเชื่อใจมึงนะ”  ผมมองตาเขา

“รับรองด้วยชีวิต” 

เขาพูดเนิบๆ แต่กลับให้ความรู้สึกหนักแน่น ทำให้ผมยิ้มได้อย่างโล่งใจ

“งั้นเจอกันนะ”  ผมตัดสินใจจะตามมานะไป

“เจอกัน”  เขายิ้มให้


ให้ตาย... อย่าไปยิ้มแบบนี้ให้สาวๆ ข้างล่างนั่นเห็นเด็ดขาดนะ 

ห้ามเลย!






โปรดติดตามตอนต่อไป.......