MADAME MAFIA
chapter 3.1
“นั่น...”
ขณะกำลังพูดคุยหยอกล้อกับซินระหว่างเดินกลับคฤหาสน์แบร์ลุสโคนี
ซินก็ใช้ศอกสะกิดผมแล้วบุ้ยใบให้มองฟ้าประทานกับมานะที่กำลังเดินมาทางนี้
“ฟ้า!”
ผมเดินยิ้มเข้าไปหาพวกเขา
ฟ้ายังอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวกางเกงสกินนี่ยีนส์ของเขาเหมือนเดิม
แต่มานะถอดสูทดำตัวนอกกับเนคไทสีดำออก กลายเป็นชุดลำลองเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นกับกางเกงขายาวสีดำ
ยิ่งดูบอบบางกว่าเดิมอีก
“รู้ได้ไงว่าอยู่ที่นี่?”
“มีคนเห็นว่าเดินมาทางนี้...
แล้วทำไมถอดเสื้อ?” เขาขมวดคิ้วมอง
“เพิ่งเล่นน้ำกันมาน่ะ?”
ผมหันไปยักคิ้วรู้กันกับซิน
เราตั้งใจว่าจะรอให้ตัวแห้งอีกหน่อยเลยยังไม่มีใครใส่เสื้อ
เดินเปือยท่อนบนตัวแดงเถือกทั้งพี่ทั้งน้องเพราะถูกแดดเผาจนเกรียม
“ถอดเสื้อผ้าเล่นเหรอ?” เขาคงสังเกตจากชุดที่แห้งสนิทของผม
“เอ๊า
มึง คนบ้าที่ไหนจะลงว่ายน้ำทั้งชุดบ้างล่ะ?”
ซินว่า
มีนะ
ผมเถียงในใจ อย่างน้อยเมื่อกี๊ผมก็เจออยู่คนนึงล่ะ
“ผิวไหม้หมดแล้ว”
ฟ้าทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงซิน เขาหยิบเสื้อบนบ่าผมไปสลัดๆ แล้วเอากลับมาสวมให้
ท่าทางดูแลใส่ใจของเขาผมไม่ชินแฮะ แถมยังดูน่าขำอีกด้วย
“มึงชอบผิวขาวๆ
มากกว่าเหรอ?” ผมแกล้งแซว
“ไร้รสนิยม” ซินว่า “ต้องผิวแทนดิ ถึงจะเซ็กซี่”
พอฟ้าหันไปมองมันก็เบ่งกล้ามโชว์ด้วยท่าทางภูมิใจ
“.......”
ผมไม่รู้จะบรรยายสีหน้าที่ฟ้าใช้ตอบกลับซินยังไงเลย
แต่มันดูไม่รับมุขแบบสุดๆ อ่ะ(ถ้าเป็นการ์ตูนเราคงได้เห็นอีกาบินผ่านพร้อมกับร้อง
ก๊า ก๊า แล้วล่ะ)
“อุ๊บ” มานะรีบยกมือปิดปาก แล้วหันไปแอบหัวเราะทางอื่น
“มึงก็...รีบใส่เสื้อเถอะ” ฟ้าบอกซินหลังไปไม่เป็นอยู่พักหนึ่ง
ผมเลิกคิ้วเล็กๆ
แอบประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นว่าฟ้าก็ห่วงซินเหมือนกัน?
“ไม่ต้องห่วงกูหรอก
กูตากแดดจนชินแล้ว แค่นี้สบายมาก” ซินบอก
“เปล่า..
มันอุบาทว์ลูกตา” ฟ้าพูดเนือยๆ
ขณะติดกระดุมเม็ดสุดท้ายให้ผม
“พรืดดดด! ฮ่าๆๆๆๆ” ในที่สุดมานะก็ขำแบบแอบๆ ต่อไปไม่ไหว
ผมเองก็พยายามที่จะไม่หัวเราะนะ
แต่มันก็ทำไม่ได้จริงๆ ฮ่าๆๆ
ตอนแรกนึกว่าซินจะโกรธที่ถูกสบประมาท
แต่มันกลับก้มมองตัวเองแทน
“หือ
ทำไมอ่ะ? หุ่นกูออกจะดี สาวเห็นงี้เป็นต้องเช็ดน้ำลายทุกรายไป”
ปัญหาคือตรงนี้มันมีแต่ตัวผู้ไง
ซินเซียร์ ต่อให้หุ่นดีหุ่นน่าขย้ำ(สำหรับสาวๆ)แค่ไหนก็ไม่มีใครเขามาตื่นเต้นกับมึงหรอก
“อ๋อ
กูรู้แล้ว มึงอิจฉาล่ะสิ ไอ้กุ้งฝอย!” ฉายาใหม่ของฟ้ามาอีกแล้ว
“กุ้งฝอย?” มานะไม่เข้าใจ(ผมก็เหมือนกัน)
“ก็หุ่นแห้งเป็นกุ้ง
หัวยุ่งเป็นฝอยขัดหม้อไง!” คนพูดชี้ตัวแล้วก็ชี้หัวฟ้าด้วย
“อ๋อ
เข้าใจล่ะ” มานะพยักหน้าไปขำไป
ครีเอทีพสุดๆ
อ่ะ หุ่นเป็นกุ้ง หัวเป็นฝอย เลยเป็น ‘กุ้งฝอย’ คิดได้ไง ฮ่าๆๆ
“กูอ่ะกุ้งล็อบเตอร์” ฟ้าดึงเสื้อออกทางหัวเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง
ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ
เขาจะเข้าโหมดจริงจังเพราะเรื่องไร้สาระพรรค์นี้?
“ล็อบเตอร์...” มานะกลั้นขำจนตัวสั่น(จะขำตรงๆ
ก็คงเกรงใจบอสตัวเอง)
ตอนนี้ทั้งซินและฟ้าเลยยืนประจันหน้ากัน..
ไม่สิ ต้องเรียกว่ายืนประจันหุ่น
กันถึงจะถูก ถ้าจะให้ผมตัดสินนะ
ผมว่าทั้งคู่ก็หุ่นพอๆ กันแหล่ะ ช่วงแขนไม่ถึงกับก้ามปู แต่ก็เห็นกล้ามเนื้อไบเซพ
ไทรเซพ ชัดเจน ช่วงอก...อืม อันนี้ผมว่าซินนมใหญ่กว่านิดนึงนะ(ฮา..)
แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก เพราะไอ้หมอนี่มันไปฟิตเนส วีคละสามวัน ก็เพื่อสิ่งนี้แหล่ะ ฮ่ะๆๆ
ช่วงหน้าท้องก็มีกันคนละหกห่อไม่แตกต่าง จะต่างก็แค่ส่วนสูงที่ซินจะช่วงสั้นกว่าหน่อย(ซินสูง
1.82)
เลยทำให้ดูตันกว่า ขณะที่ฟ้าดูโปร่งกว่า
และผิวแทนเกรียมแดดของซินก็ทำให้เจ้าตัวยิ่งดูเป็นผู้ชายเท่ๆ เข้มๆ เซ็กซี่(?)
อย่างที่ชอบชมตัวเองประจำนั่นแหล่ะ ส่วนฟ้าก็ขาวอมชมพูมาเลย
ผิวงี้ใสอย่างกับผิวเด็ก(ถึงตัวจะมีแต่รอยแผลเป็นก็เหอะ)
แต่ไรขนสีอ่อนเป็นแนวยาวลงไปใต้สะดือนั่นแลดูเซ็กซี่ 20+ อย่างไม่ต้องสงสัย...
เดี๋ยว..เดี๋ยวสิ
ตรงนี้ก็ยังมีแต่ตัวผู้เหมือนเดิม
แล้วทำไมผมถึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาวะ!?
“เงยหน้าเอาไว้สิ
เลือดกำเดาจะได้ไม่ไหลออกมา”
มานะกระซิบบอก
ผมทำตามคำแนะนำ
เงยหน้าขึ้น... ซะเมื่อไหร่เล่า!
“กำเดากูไม่ได้จะไหลสักหน่อย!”
ถึงจะพูดไปงั้น
แต่เลือดลมที่ฉีดพล่านไปทั่วหน้าตอนนี้ก็ทำให้แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
หรือมันจะไหลจริงๆ วะ? ไม่นะ อย่าสิ อดทนไว้
“ซันนี่”
“อะ..อะไร?
ไม่ใช่ว่าเลือดกำเดากูจะไหลจริงๆ หรอกนะ!” ผมรีบปฏิเสธ
“.......”
อ่ะ
ตายห่า ที่เรียกผมเมื่อกี๊ไม่ใช่มานะนี่หว่า
“อุ๊บส์”
ผมหันไปทำตาเขียวใส่คนที่หลุดหัวเราะ
ขณะที่ฟ้ากับซินมองผมงงๆ
“โอเคหรือเปล่า
ซันนี่?” ซินถาม
“จะหน้ามืดเหรอ?” ฟ้าเข้ามาดู
“ก็แดดมันร้อนนี่นะ” มานะพูดลอยๆ ปลายเสียงสั่นๆ เพราะกลั้นขำ
“จริงด้วย
นี่ก็บ่ายสองแล้ว ซันนี่ยังไม่ได้แตะมื้อเที่ยงเลย” ซินนึกได้
“งั้นรีบกลับไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ฟ้าล็อคแขนซ้ายผม
“โอ้วว!” ซินรับคำแล้วล็อคแขนขวาผม
จากนั้นผมก็ถูกลากกลับคฤหาสน์ไปทั้งแบบนั้นเลย...
ดะ..เดี๋ยวสิ
“นายดูอย่างกับเอเลี่ยนที่ถูกมนุษย์จับได้เลย
ตอนที่พี่เห็นน่ะ”
‘ซอลลี่’ ผู้ซึ่งกำลังนั่งให้นม(ขวด)หนูเดล เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมตอนที่ผมถูกฟ้ากับซินลากกลับมา
รถของซอลลี่ก็เพิ่งมาถึงที่นี่พอดี หมอนี่เลยได้เห็นฉากไม่น่าจดจำของผมเข้า แย่ชะมัด
“เงียบน่า”
“คุณก็พูดซะเห็นภาพ”
“หุบปากน่า”
ถึงงั้นยูริก็ยังจะหัวเราะ ผมเลยหันไปแยกเขี้ยวใส่ แต่ไอ้หนูชิพที่นั่งกินนม(ขวด)อยู่บนตักยูริดันขว้างของเล่นในมือใส่ผม
โทษฐานทำกิริยาบังอาจกับพ่อจ๋าของมัน เออ! เอ็งจำไว้เลยนะชิพ อาจะไม่อุ้มเอ็งไปเที่ยวที่ไหนอีกแล้ว
เราจบกัน!
“แต่พี่รู้แล้วว่าทำไมนายกับแฟนถึงคบกันได้”
“หา?”
ผมหันไปมองหน้าพี่ชายคนโตอย่างสงสัย
โอเคล่ะ ถ้าเขาไม่ใช่ ‘พี่ชาย’ ของผม
ผมอาจจะคิดว่าคนคนนี้เป็น ‘พี่สาว’ ก็ได้
ถ้าตัดสินแค่สิ่งที่ตาเห็นเพียงอย่างเดียวนะ เพราะซอลลี่เล่นถอดเค้าแม่มาทั้งดุ้น(เอ๊ะ
หรือจะเป็น ‘ถอดเค้าแม่มาแต่มีดุ้น’?)
แถมเจ้าตัวยังเติมสวยด้วยการไว้ผมยาว ยอมสีบลอนด์ เป็นสาวบลอนดี้อีก
แต่ทั้งหมดนี่ก็เพื่องานซะ 70% รสนิยมอีก 30%
นอกจากสวยที่สุด ซอลลี่ก็ยังเป็นคนที่สูงที่สุดในพวกเราสามพี่น้อง
เขาเป็นนายแบบ(ที่รับงานนางแบบเป็นส่วนใหญ่)ระดับแถวหน้า มีฉายาที่รู้จักกันในวงการว่า
‘Aurora’ เป็นเกย์แบบ ‘Born
to be.’ แต่เห็นแบบนี้เขาถนัด ‘รุก’ นะ(ถามไอ้ยูได้)
และนี่แหล่ะคือพี่ชายคนโตของผม
“ก่อนหน้านี้ก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าน้องชายโคเน่เป็นคนยังไง ครั้งก่อนเพราะมีเรื่องยุ่งเลยไม่ทันสังเกต
แต่พอวันนี้ได้เห็นชัดๆ ก็เข้าใจเลยว่า อ๋อ เพราะเพี้ยนเหมือนกันนี่เองถึงอยู่ด้วยกันได้
ตอนนี้พี่หายสงสัยแล้วล่ะ”
ผมเอาของเล่นที่ไอ้ชิพขว้างมาเมื่อกี๊ปาคืนให้ป๊ะป๋ามัน(ซอลลี่)
ตั้งใจเล็งให้ตรงหัวเลยล่ะ แต่หมอนั่นดันหลบได้ซะนี่ ชิ! พลาดไปนิดเดียวเอง
จนถึงเมื่อกี๊ฟ้าก็อยู่ที่นี่แหล่ะ เขามานั่งดูผมกินมื้อเที่ยงจนอิ่ม(เพราะเขากินมาแล้ว)
ก่อนจะมีคนมาตามตัวเขาไปอีก ท่าทางยุ่งน่าดู คงเพราะจะมีงานคืนนี้ด้วย
“งั้นพี่ก็บื้อเหมือนยูสิ ถึงอยู่ด้วยกันได้” ผมกลับมาสนใจแท็บเล็ตในมือ
“เคสของพี่เป็นอะไรที่ตรงข้ามกันต่างหาก เพราะมีคนหนึ่งบื้อ
เลยต้องมีอีกคนที่หลักแหลมกว่าคอยช่วยชี้นำให้ และคนนั้นก็คือพี่” เขาช่างพูดได้หน้าตาเฉยนัก
“นี่คุณ... ถึงผมจะรู้อยู่แล้วนะว่าคุณคิดกับผมยังไง แต่ในเวลาแบบนี้
อย่างน้อยคุณก็ควรพูดอะไรที่ปกป้องผมบ้างสิ”
ยูริพูดเนือยๆ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธอะไร
“นายเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ? ปกป้องตัวเองสิ”
“ผมก็ทำแบบนั้นมาตลอดแหล่ะ”
“งั้นทำไมยอมให้ซันนี่ว่าได้ล่ะ? เถียงกลับไปสิว่านายไม่ได้เป็นแบบนั้น
หรือถ้าเถียงไม่ออกเพราะเรื่องมันจริงยิ่งกว่าจริง
นายก็แค่หาเรื่องอื่นโต้ตอบกลับไปบ้าง อย่าปล่อยให้ถูกว่าฝ่ายเดียว
เดี๋ยวทางนั้นจะยิ่งได้ใจ”
“เอิ่ม.. ตกลงว่าคุณอยู่ข้างผม ..หรือไม่ได้อยู่กันแน่?”
“ผมต้องอยู่ข้างนายอยู่แล้วสิ คุณหัวลูกชิ้นซื้อบื้อของผม”
“แน่ะ! คุณก็ว่าผมซื้อบื้อเหมือนกัน”
“ก็มันจริง ผมไม่ชอบโกหก”
“งั้นผมก็ไม่มีอะไรจะเถียงซันชายน์”
“ต้องเถียงสิ มีแค่ผมที่ว่านายได้คนเดียวก็พอแล้ว”
“คุณ.. บ้าหรือเปล่า?”
“เขาเรียกว่าโรแมนติกต่างหาก”
“ตรงไหนมิทราบ!”
“นี่ไม่เข้าใจเหรอ? ...ซื่อบื้อจริงๆ”
“พอเลยๆ เลิกว่าผมสักที คุณนายออโรร่า”
“ทีกับผมทำไมถึงเถียงนักล่ะ...”
ผมลุกออกมาจากตรงนั้น ขี้เกียจฟังผัวเมียเขาหยอกเย้ากัน หมั่นไส้!
พวกนั้นมาใช้ระเบียงห้องผมต่างห้องกินข้าว แล้วตอนนี้ก็เปลี่ยนมันเป็นห้องนั่งเล่น
ผมเลยเดินกลับเข้ามาหาซินที่ยังนอนกรนอยู่บนเตียง
ยืนชั่งใจมองว่าจะทำยังไงกับมันดี
ที่จริงผมก็อยากจะออกไปเดินสำรวจข้างนอกอีกสักรอบก่อนค่ำ
“ซินเซียร์ ซินนน เพ่ซินนนนน” ผมปีนขึ้นเตียงไปเขย่าตัวพี่ชายฝาแฝด
“อืออ ซันนี่เหรอ?”
ก่อนจะรู้ตัว ผมก็ถูกหมอนั่นจับทำหมอนข้างซะแล้ว
ก็ได้... บางทีผมเองก็น่าจะนอนสักหน่อยก่อนถึงงานเลี้ยงคืนนี้
“My heart is
pierced by Cupid... ฮื้ม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮื้มม~”
ผมฮัมเพลงไปเรื่อยระหว่างสำรวจตรวจตราความหล่อของตัวเองในกระจก ไม่ค่อยอยากจะคุยเท่าไหร่หรอก
แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมนี่มันเพอร์เฟคจริงๆ ฮ่าๆๆ
ผมเลือกใช้สูท เชิ้ต เนคไท เป็นสีชาโคลทั้งหมด แต่ต่างเลเยอร์กัน
มันช่วยเน้นรูปร่างผมให้ดูดียิ่งขึ้น ทั้งยังตัดกับผิวและสีผมที่เป็นสีสว่าง(สีบลอนด์)
ผมรองทรงสูงเปิดข้างที่ไว้ด้านบนยาวเป็นพิเศษ ตอนนี้ถูกหวีเรียบแปล้ไปด้านหลัง
เพื่อความหล่อแบบเป็นทางการ(ฮา..) แต่ถ้าเป็นวันปกติผมจะเสยขึ้นไปลวกๆ
เพื่อความเท่ ไม่ก็ปล่อยลงมาแล้วแสกกลางเพื่อความแนว
หรือบางทีก็ทำหน้าม้ากะลาครอบเพื่อความเนิร์ด เรียกว่าเซ็ตผมตามอารมณ์ก็ได้
แต่ไม่ว่าจะทรงไหนท่านซันชายน์ผู้นี้ก็หล่อแบบฆ่าไม่ตายอยู่ดีแหล่ะ
อย่าว่างู้นงี้เลยนะ ผมก็แค่หลงตัวเองน่ะ ฮ่าๆๆๆ
“เพลงนี้ทำให้กูนึกถึงคนคนนึงขึ้นมาเลยว่ะ”
“หืม?”
ผมหันไปมองซินที่กำลังแต่งตัวอยู่ด้านหลัง
หมอนั่นเลือกใส่สูทเข้ารูปสีขาว รองเท้ากับเชิ้ตตัวในเป็นสีดำ ปลดกระดุม
ไม่ผูกไทด์ ดูกึ่งทางการกึ่งปาร์ตี้สมกับคาแรคเตอร์ขี้หลีของมันนั่นแหล่ะ สงสัยคืนนี้ผมต้องจับตาดูมันไว้สักหน่อยแล้ว
ไม่งั้นสกายคงได้มาแหกอกผมพอดี
“ก็เพลงที่มึงร้องน่ะ
รู้สึกสมัยไฮสคูลจะมีคนนึงที่ชอบร้องเพลงนี้อยู่เหมือนกัน ชื่ออะไรแล้วนะ แจ็ค..เหรอ?
ไอ้หัวแดงที่เมื่อก่อนชอบไล่ตามพวกเราน่ะ”
“น่าจะ ‘เจค’ นะ หมอนั่นเคยบอกว่ามีพ่อเป็นลูกเรืออะไรสักอย่างใช่ไหม
ก็เลยติดร้องเพลงนี้มา จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนหมอนั่นก็ไล่ตามเราอย่างเอาเป็นเอาตายเลยนะ
ทั้งที่ไปหาเพื่อนคนอื่นก็ได้แท้ๆ แต่ก็ยังดื้อด้านว่าอยากจะเป็นเพื่อนกับเรา”
สมัยเด็กๆ ผมกับซินเรียนที่ไทยมาตลอด แต่มีช่วงนึงตอน ม.ปลายที่พวกเราไปก่อเรื่องขึ้น
ป๊ะป๋าก็เลยส่งเราไปอยู่กับแม่ที่อังกฤษเพื่อรอให้เรื่องมันซา พอจบไฮสคูลที่นั่นพวกเราถึงกลับไทย
แล้วก็ได้เจอกับพวกสกาย แล้วก็ฟ้าประทาน...
แต่ก่อนหน้านั้น นอกจากกันและกันแล้วก็พวกเราไม่เคยเปิดใจยอมรับใคร
“แต่เราก็ไม่เคยมองว่าหมอนั่นเป็นเพื่อนเลย
สุดท้ายก็แยกกันทั้งแบบนั้น”
“อา.. ป่านนี้ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วนะ”
ในความทรงจำเลือนรางของผม เพื่อนร่วมโรงเรียนก็มีแค่หมอนั่นแหล่ะที่ผมพอจะจำได้
เป็นเด็กใหม่ที่ย้ายมาเวลาไล่เลี่ยกับเรา ตัวเล็กๆ ผมแดงๆ หน้าตก กละ ท่าทางคล้ายลูกหมาที่กระดิกหางดีใจทุกครั้งที่เห็นพวกเรา
เช้า สาย บ่าย เย็น ก็เอาแต่วิ่งตามเรา อยากรู้ว่าเราจะไปไหน
อยากรู้ว่าเรากำลังทำอะไร วันนี้ไล่ไป พรุ่งนี้ก็กลับมาอีก ไม่เคยลดละ..
พอถามว่าติดใจอะไรนักหนา หมอนั่นก็ตอบอะไรสักอย่างฟังดูงี่เง่าคล้ายๆ กับเพราะเป็นเด็กใหม่เหมือนกัน
เลยอยากสนิทกันไว้...อะไรทำนองนี้
ทั้งที่นิสัยร่าเริงช่างจ้อของมันจะไปตีสนิทกับใครในโรงเรียนก็ได้แท้ๆ
จนถึงวันหนึ่งผมกับซินเหนื่อยที่จะหนี เลยตัดสินใจว่าจะทำเป็นไม่เห็น
ไม่ได้ยิน ไม่ว่าหมอนั่นจะพูดจะทำอะไรพวกเราก็จะทำเหมือนว่ามันไม่มีตัวตน
ไม่ต่างกับอากาศธาตุ...
แล้วก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเราเริ่มมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงของหมอนั่นจริงๆ
สุดท้ายก็เลยเป็นแบบนั้นจนกระทั่งจบการศึกษา
พอมานึกๆ ดูแล้ว พวกเราก็ทำไม่ดีกับหมอนั่นไว้เยอะเลยสินะ
“.......”
ซินเองก็คงกำลังคิดเหมือนกัน
แววตาของหมอนั่นคล้ายเหม่อลอยไปกับความทรงจำอันแสนไกล
“แฝด พร้อมหรือยัง?”
ซอลลี่เดินอุ้มหนูเดลเข้ามาในห้องพักของพวกเรา
มียูริอุ้มเจ้าชิพตามมาด้วย
พร้อมกับพี่เลี้ยงเด็กอีกที่คนที่เจ้าของบ้านคงเตรียมไว้ให้คอยช่วยเหลือยูริ
“พี่จะไปพร้อมพวกเราเหรอ?”
ผมถาม
ซอลลี่ใส่สูทสไตล์ Feminist สีดำ ซึ่งมันดูเหมาะกับเขามาก ถึงเจ้าตัวจะไม่เคยอยากเป็นผู้หญิง
แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธความสวยของตัวเองเช่นกัน เพราะงั้นต่อให้เป็นชุดของผู้หญิง
แต่ถ้าใส่แล้วดูเหมาะดูดี เขาก็จะใส่ ก็เป็นคนแบบนั้นล่ะ
“เคยบอกว่ากับดามวาเนสซาว่าจะพาน้องชายไปแนะนำน่ะ”
ผมกับซินพยักหน้ารับรู้ แต่ผมยังลังเลนิดหน่อย
“หรือว่านายจะรอให้แฟนมารับ? งั้นซินไปกับพี่แล้วกัน”
ซอลลี่ส่งหนูเดลให้พี่เลี้ยง
เจ้าตัวเล็กเริ่มเบะปากเพราะไม่อยากจากป๊ะป๋า
“Papa..”
หนูเดลชูมืออ้อนจะให้ซอลลี่อุ้ม
เขายิ้มให้ลูกชายคนเล็กพลางลูบหัวปลอบ
“Be a good kid
and papa will be back in an hour, okay?”
“ ‘kay~” เจ้าตัวเล็กรับคำอย่างน่ารัก
ก่อนจะได้จุ๊บเป็นรางวัลทั้งเดลทั้งชิพ
“Chip! Good!” เจ้าชิพยืดอกบอกป๊ะป๋ามัน
ไอ้เด็กนี่มันชอบชมตัวเองเหมือนใครไม่รู้แฮะ ผมเห็นแล้วอดใจไม่ได้
ต้องเข้าไปขยำขยี้แก้มมันด้วยความหมั่นเขี้ยว ที่ผมชอบแกล้ง ชอบเล่นแรงๆ กับเจ้าชิพ
ก็เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีทางกลัวผม แต่ถ้าผมไปทำแบบนี้กับเจ้าหนูเดลบ้าง
มันจะร้อง จะกลัว แล้วครั้งต่อไปมันก็จะไม่กล้าเข้าใกล้ผมล่ะ
เรื่องนี้ซินพิสูจน์มาแล้ว
“ย้า~!” เห็นมะ เนี่ย ไอ้ชิพมันเริ่มสู้ผมละ ฮ่ะๆๆ
“ซันไปด้วยดีกว่า” ผมตัดสินใจ
ยังไงคืนนี้ฟ้าคงยุ่งๆ ผมอยู่กับซอลลี่น่าจะดีกว่า
งานเลี้ยงจัดขึ้นที่ห้องโถงชั้นหนึ่งบนตึกใหญ่ ธีมงานเป็นงานเต้นรำ รูปแบบดูหรูหราอลังการสมฐานะเจ้าของงานที่เป็นถึงมาดามใหญ่แห่งคฤหาสน์แบร์ลุสโคนี
มีวงดนตรีกับฟลอร์เต้นรำอยู่ตรงกลาง
มีนักเต้นรำอาชีพคู่หนึ่งกำลังโชว์วาดลวดลายในเพลงจังหวะมีเดียม แขกส่วนหนึ่งยืนดูนักเต้นด้วยความชื่นชม
บางส่วนก็จับกลุ่มคุยกันเบาๆ ตามแบบฉบับผู้ดี หรือไม่ก็อยู่ตามไลน์อาหารเครื่องดื่ม
ผมสังเกตว่าดนตรีส่วนใหญ่ที่นักดนตรีบรรเลงนั้นมีกลิ่นอายดนตรีลาตินแทนที่จะเป็นเพียงดนตรีคลาสสิกที่ผมคุ้นเคย
“เพราะมาดามเป็นลูกครึ่งอิตาเลียน-สแปนีชน่ะ
ตอนเด็กๆ เธอเคยอยู่กับแม่ชาวสเปนที่บาเซโลนา เลยค่อนข้างจะรักความเป็นลาติน..
นั่นไง เธอล่ะ”
ซอลลี่พยักพเยิดไปทางผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังถูกผู้คนรุมล้อมอยู่
เธอดูมีอายุระหว่าง 40-50 ปี รูปหน้าคม
แม้จะเข้าวัยกลางคนแต่ก็ยังดูสวยอยู่มาก อีกทั้งยังสง่าสมเป็นคนชั้นสูง
ผมของเธอเป็นสีทองอร่าม เมื่อได้เข้ามาใกล้จึงเห็นว่าตาของเธอก็เป็นสีทองเช่นเดียวกัน
จริงสิ พอดูดีๆ แล้วเธอคล้ายกับไซเรนเมื่อตอนบ่ายมากเลยไม่ใช่เหรอ?
“เฮ้ พี่รู้ว่าเธอยังสวยอยู่มากเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้ รักษามารยาทหน่อย” ซอลลี่ใช้ศอกกระทุ้งผม
“ชอบคนสูงวัยเหรอ ซันนี่?”
ซินล้อเลียน
“ไม่ใช่สักหน่อย...”
ผมปฏิเสธอุบอิบ
“โอ้ สวีทซอล มาทางนี้สิ”
มาดามแบร์ลุสโคนีกวักมือเรียกเมื่อเธอสังเกตเห็นซอลลี่ หลังจากทักทายและส่งของขวัญให้กันเรียบร้อยแล้ว ซอลลี่ก็หันมาแนะนำผมกับซินบ้าง
“นี่น้องชายฝาแฝดของผม กานต์ระพีกับตะวันฉาย”
ซอลลี่พูดภาษาอิตาเลียนคล่องกว่าผมเยอะเลย
“ดีใจที่ได้พบคุณ มาดาม”
ซินใช้ประโยคอิตาเลียนง่ายๆ ที่เรียนรู้ไปจากผม
หมอนั่นจุมพิตหลังมือที่มาดามยื่นมาให้ เป็นการทักทายแบบที่ผู้น้อยทำต่อผู้อาวุโส ผมก็ทำแบบเดียวกัน
“ยินดีที่ได้พบคุณครับ”
“ฉันได้ยินเรื่องของคุณจากบอสฟามาบ้าง” เธอพูดกับผมที่ทำเพียงยิ้มรับ
ผมไม่รู้ว่าถูกพูดถึงอย่างไรบ้าง แถมยังไม่สามารถอ่านอะไรได้จากดวงตาสีทองคู่นั้นด้วย
หากทราบถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างผมกับลูกเลี้ยงของเธอ
สายตาที่มองมาจะเปลี่ยนไปจากตอนนี้หรือเปล่า.. ผมก็ไม่กล้าคาดเดา
อันที่จริงลึกๆ แล้วผมก็แอบกังวลเรื่องนี้เหมือนกันนะ
ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจและยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ได้เหมือนกับคนในครอบครัวผม
เรื่องของซินเป็นตัวอย่างที่ดีเลย
พ่อแม่ของสกายเคยรักและชื่นชมซินมากตอนที่ทั้งคู่ยังเป็นเพียงเพื่อนกัน
แต่พอความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาข้ามเส้นไป พวกเขาก็แสดงออกว่ารับไม่ได้และพยายามต่อต้าน
ถึงทุกวันนี้จะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นบ้างแล้วก็เถอะ
“ขาดเหลืออะไรระหว่างอยู่ที่นี่ขอให้บอกฉันเลยนะคะ
อย่าได้เกรงใจ ฉันหวังว่าพวกคุณจะชอบที่นี่และสนุกกับการมาเยือนนาโปลีครั้งนี้”
“ขอบคุณมากครับ” พวกเราขอบคุณเจ้าบ้านที่แสนใจดี
ซอลลี่อยู่คุยกับมาดามและคนที่เข้ามาทักทายเขา(ก็เขาเป็นเซเลบฯที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่บ้างนี่นะ)
ส่วนผมกับซินขอแยกตัวมาหาอะไรกินที่ไลน์อาหาร
เข้างานมาได้สักพักแล้ว แต่จนป่านนี้แล้วผมก็ยังไม่เห็นฟ้าประทานเลย
“คอยืดคอยาวหมดแล้ว”
ผมอดหันไปค้อนซินที่ส่งเสียงแซวไม่ได้ หมอนั่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
จิ้มนั่นจิ้มนี่ใส่ปากราวกับไปตายอดตายอยากมาจากไหน แต่พอได้หยุดมองหาฟ้าแล้ว
ผมถึงเริ่มรู้สึกตัวว่าพวกเราค่อนข้างจะตกเป็นเป้าสายตามากทีเดียว
โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่พยายามส่งสายตาแฝงความนัยมาให้
ผู้ชายบางคนก็มองมาด้วยท่าทางสนใจเช่นกัน พอสายตาผมกลับมาหยุดที่ซินอีกที หมอนั่นก็ใช้ทิชชู่เช็ดปาก
เป็นสัญญาณว่าท้องเต็มแล้ว ได้เวลาออกรบ มันหยิบแก้วไวน์จากถาดที่บริกรเดินเสิร์ฟ
จิบพลางเอียงหัวมากระซิบพูดทางผม
“ดูสิๆ ชุดดำหน้าแจกันใบใหญ่นั่นแจ่มสุดๆ คัพเอฟเลยมั้งน่ะ”
ผู้หญิงที่ตกเป็นเป้าสายตา(หื่นๆ)ของซินก็เหมือนจะรู้ตัว
เธอชูแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นเป็นเชิงทักทายมาทางนี้
ซินก็ตอบน้ำใจเธอกลับไปแบบเดียวกัน
“กูว่าเขาอยากให้กูไปหาว่ะ”
“หยุดเลย ไม่งั้นกูฟ้องไอ้กายนะ”
ผมเบรกมันไว้ก่อนจะก่อเรื่องอีก
“แค่ไปทักทายนิดหน่อยจะเป็นไร”
“แน่ใจว่าแค่นั้น?”
“ก๊อ.. แลก..นามบัตร?”
ผมเค้นมันทางสายตา ก็ท่าทางมันไม่ค่อยน่าเชื่อใจเท่าไหร่เลย
“โธ่.. ซันนี่ เราอาจจะมีธุรกิจให้ต้องติดต่อกันในอนาคตก็ได้นะ
ลองคิดดูสิ
คนที่ถูกเชิญมางานนี้ก็น่าจะมีแต่พวกที่เกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?
แล้วในฐานะ CEO ของ WindFlower กูก็ควรจะใช้โอกาสดีๆ แบบนี้แนะนำบริษัทให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางสิ
ใช่ไหมล่ะ?”
ฟังมันพูดก็มีเหตุผลนะ แต่ผมยังใช้สายตาเชือดเฉือนมองมัน
“กูไม่มีปัญหาหรอก ถ้ามึงคิดแค่เรื่องงานจริงๆ”
ซินถอนหายใจ ก่อนนจะยกมือขึ้นอย่างถอดใจ
“ก็ได้ พี่ยอมแพ้...”
“Buonasera.”
แต่ถึงซินจะไม่มูฟไปหาสาวชุดดำ ก็มีสาวชุดแดงกับชุดโอลด์โรสมูฟเข้ามาหาพวกเราอยู่ดี
คู่นี้ก็แจ่มอยู่เหมือนกัน ผมสีดำ ตาสีเขียว สวยคมสมเป็นสาวชาวใต้ พวกเธอมากับเพื่อนชายหุ่นผอมบางท่าทางอ้อนแอ้นอีกคน
“Hello.”
ซินตอบด้วยภาอังกฤษ เป็นการบอกอีกฝ่ายกลายๆ ว่ามันไม่พูดภาษา อิตาเลียนนะ(คือพูดไม่ได้นั่นแหล่ะ)
ขณะที่ผมส่งยิ้มเป็นมิตรตอบไป
“ฉัน..แองจี้ เครสเซนตินี ส่วนนี่
เซเรน่า..น้องสาวฉัน และนั่น ลูวิค เขาเป็นเพื่อนของเรา” เธอเข้าใจสัญญาณของซิน จึงเริ่มพูดเป็นภาษาอังกฤษกับเรา
“ลุค” ลูวิคบอกอย่างสนิทสนมขณะจับมือทักทาย
“กานต์ระพี เฮย์เดน”
“ตะวันฉาย เฮย์เดน” พวกผมแนะนำตัว
“พวกคุณมาจากอังกฤษเหรอ?”
เซเรน่าถาม
“ใช่
พวกเรามาจากลอนดอน” ซินตอบ
“ฉันชอบลอนดอน! ที่นั่นอากาศดี”
แองจี้พูดอย่างกระตือรือร้น
พูดก็พูดเถอะ
ผมเกลียดฝนที่ลอนดอนจะตายไป มันทำให้ผมไม่มีอารมณ์จะออกไปไหน เทียบกับที่นี่แล้ว
ถึงจะร้อนไปนิด แต่ผมว่าอากาศดีกว่าลอนดอนนะ
“พวกคุณนามสกุลเหมือนกับออโรร่าเลย
ผมเห็นพวกคุณเดินเข้ามาในงานพร้อมกับเขาด้วย เป็นญาติกันเหรอ?” ลุคท่าทางตื่นเต้น สงสัยจะเป็นแฟนคลับซอลลี่ล่ะมั้ง ภาษาอังกฤษของเขายังไม่ดีเท่าแองจี้
แต่ก็พอฟังรู้เรื่อง
“ใช่ นั่นพี่ชายคนโตของเราเอง” ผมตอบ
“นั่นเจ๋งไปเลย! คุณรู้ไหม
ออโรร่าน่ะเป็นไอดอลของผมเลย เขาดูเริ่ดสุดๆ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่บนรันเวย์
ผมเองก็เป็นนายแบบเหมือนกัน เพิ่งจะเริ่มต้นน่ะ แต่ผมหวังว่าในอนาคตผมจะได้เดินบนรันเวย์เดียวกันกลับเขา
ผม...”
“พวกคุณก็เป็นนายแบบเหรอ? พวกคุณดูโดดเด่นมากเลย” เซเรนากระทุ้งเพื่อนที่ทำท่าจะฝอยแตกไม่หยุดให้หลบไป
แล้วก้าวขึ้นมาแทน
“ขอบคุณ แต่ไม่ใช่หรอก ..นี่นามบัตรผม” ซินหยิบซองนามบัตรออกมา แล้วยื่นให้แองจี้หนึ่งใบ ทั้งเซเรน่าและลุคชะโงกไปดูด้วยอยากรู้อยากเห็น
“ว้าววว คุณเป็น CEO ?”
“ไม่น่าเชื่อเหรอ?” ซินแสร้งเลิกคิ้วนิดๆ
“แต่คุณยังดูอายุน้อยๆ อยู่เลย”
“แล้วลุคของคุณก็ค่อนข้างจะ
เอ่อ.. มีสไตล์”
“ใครๆ ก็พูดแบบนั้นแหล่ะ แต่ผมเก่งนะ” ซินยกยอตัวเอง
แต่ความมั่นใจนี่ล่ะที่เป็นสเน่ห์ของมัน สาวๆ ก็รับมุขด้วยการหัวเราะคิกคัก
“แล้วคุณล่ะ ตะวัน..เอ่อ..” เซเรน่าไม่แน่ใจว่าควรออกเสียงชื่อผมยังไง
“เรียก ซันชายน์ เถอะ ผมเป็นโปรแกรมเมอร์น่ะ”
“โปรแกรมเมอร์? ว้าววว ฟังดูเท่จังเลย” เซเรนาขยับเข้ามาแซะผม ขณะที่แองจี้ไปทางซิน
ดูเหมือนพวกเธอจะจับคู่เราเรียบร้อยแล้ว
จากที่ได้คุยกัน สองสาวเครสเซนตินีมาจากตระกูลเศรษฐีใหม่
พ่อของพวกเธอเริ่มติดต่อธุรกิจกับแบร์ลุสโคนีได้เพียงไม่กี่ปี
และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเธอได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยงของคนในตระกูลนี้
เลยทำให้รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ยิ่งพอรู้ว่าพวกผมก็เพิ่งเคยมาเหมือนกัน
พวกเธอเลยเกาะติดเราแบบไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน
แต่เรื่องที่พวกเธอชวนคุยก็ไม่ได้ฟังน่าเบื่ออย่างที่คิด ..ไม่สิ
เรียกว่ามีแต่ข้อมูลที่น่าสนใจจะดีกว่า ถึงส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องซุบซิบก็เถอะ
“ที่นี่เป็นที่เดียวเลยล่ะที่คุณจะได้เห็นทั้งคนใหญ่คนโตจากฝั่งรัฐบาล
และคนของฝั่งมาเฟียเดินอยู่ในงานเลี้ยงเดียวกัน พวกเขามาก็เพราะว่าเป็นงานของแบร์-ลุสโคนี! เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ?
นอกจากนี้ก็ยังมีเซเลบริตี้ชื่อดังกับพวกนักการเมืองอีก แบร์ลุสโคนีถือเป็นจุดเชื่อมต่อของแม่น้ำทุกสายในอิตาลีเลยก็ว่าได้”
นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมได้ยินมา
“พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่า บรรพบุรุษของพวกเขาเคยรับใช้ใกล้ชิดกับราชวงศ์บูร์บงมาก่อน
ปัจจุบันพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งรัฐบาลอิตาลีและสเปน รวมถึงวาติกันด้วย
พระคาร์ดินัลเองก็มักจะเป็นคนที่ถูกเลือกมาจากหนึ่งในตระกูลสาขาของพวกเขา” นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมเพิ่งรู้
“มาเฟียเหรอ? ฉันก็ไม่รู้เหรอกว่าทำไมพวกเขาถึงติดต่อกับมาเฟีย
ฉันไม่ได้มีข้อมูลเชิงลึกขนาดนั้น แต่เพราะเรื่องนี้เลยทำให้บางครั้งพวกเขาก็ถูกคนข้างนอกเรียกว่า
‘มาเฟีย’ ไปด้วย
แต่พ่อของฉันทำธุรกิจถูกกฎหมายกับพวกเขานะ”
“ท่าทางงานนี้จะไม่ใช่แค่งานเลี้ยงวันเกิดธรรมดาซะล่ะมั้ง” ซินเปรยกับผม
หลังปะติดปะต่อข้อมูลที่ได้ยินมาเข้าด้วยกัน ผมก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ว้าววว นั่นเขาล่ะ ‘บอสฟา’ แห่งแบร์ลุสโคนี!”
เสียงพูดคุยในงานเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบทันทีที่มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงบริเวณบันไดชั้นสอง
หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ผมคอยมองหามาตลอด
ฟ้าประทาน
“ฮ้ายย... เขาดูหล่ออย่างกับเจ้าชายแน่ะ”
“ฉันอยากให้เขามองมาทางนี้บ้างจัง”
สาวๆ ในงานเริ่มตกอยู่ในมนต์สะกดเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของเขา
“มันหล่อขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
ซินหันมาถามผมด้วยสีหน้าไม่เก็ทสุดๆ
“มันหล่อนะ” ผมตอบจากใจ
จะหาว่าเข้าข้างหรือลำเอียงก็ได้ ก็ผมมองว่าหล่อของผมอ่ะ!
คืนนี้ฟ้าใส่สูทสีขาวล้วน(สีโปรดของเขา) แต่เพิ่มลูกเล่นด้วยผ้าพันคอสีน้ำตาลพิมพ์ลายคล้องไว้ข้างในก่อนติดกระดุมเสื้อทับ
ผมสีน้ำตาลเทาที่เคยยุ่งเหยิงก็ถูกจัดแต่งทรงอย่างดี ที่จริงเขาดูเป็นคนที่ไม่น่าจะสนใจเรื่องแฟชั่นเท่าไหร่
แต่ผมต้องยอมรับเลยว่าคืนนี้เขาสไตล์ดีจริงๆ หรือเขาจะมีสไตล์ลิสต์ส่วนตัวคอยแนะนำ?
“แต่ฉันว่าเขาดูน่ากลัวนิดๆ นะ”
เซเรน่ามีความเห็นที่ต่างออกไป
“ฉันเคยเห็นเขาสองสามครั้ง
แต่ไม่เคยเห็นเขายิ้มเลย และเท่าที่รู้ก็แทบจะไม่มีใครเคยเห็นเขายิ้มเหมือนกัน
นั่นออกจะแปลกไปหน่อยนะ” แองจี้ให้ความเห็น
“ใช่ เขาเหมือนคนไม่มีความรู้สึก มันทำให้เขาดูน่ากลัว”
พี่น้องเครสเซนตินีมีความเห็นตรงกัน ..แต่นั่นไม่จริงสักน่อย
ผมเถียงในใจ
ถึงตอนที่ผมเจอเขาครังแรกก็คิดแบบนั้นเหมือนกันก็เถอะ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เขายิ้มให้ผม เขามีความรู้สึกให้ผม
เขาไม่ได้ไร้ความรู้สึกสักหน่อย
“แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยัง
So hot อยู่ดี~”
ลูวิคเพ้อไปแล้ว
เมื่อฟ้าเดินลงมาถึงชั้นล่าง หลายคนก็เริ่มทยอยเข้าไปทักทายเขา ดูจากลักษณะท่าทางแล้วก็น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตแทบทั้งสิ้น
เขาอาจจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในบรรดากลุ่มคนที่รายล้อมเขา(ถ้าไม่นับมานะที่อยู่ข้างเขาตลอดราวกับเงาล่ะนะ)
แต่เขาก็ไม่ได้ดูด้อยกว่าใครเลย กลับกัน เขาดูโดดเด่นที่สุดด้วยซ้ำ ทั้งสง่า
ทั้งดูมีอำนาจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งเป็นมุมที่ผมไม่เคยคิดเกี่ยวกับตัวเขามาก่อน
ราวกับเขาเป็นใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก...
นั่นทำให้ผมตระหนักถึงช่วงเวลาสี่ปีที่เราไม่ได้เจอกัน สี่ปีที่ผมไม่ได้เห็นเขา
ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไร ผ่านชีวิตแบบไหนมา อะไรที่ทำให้เขาดูห่างไกลกับผมถึงเพียงนี้
อะไรที่ทำให้เราเหมือนอยู่กันคนละโลก? อะไรที่ผมรู้.. แต่จงใจมองข้ามมันไป
ฟ้าประทาน แบร์ลุสโคนี ไม่ใช่ ฟ้าประทาน ทามิยะ
ผมเพิ่งรู้สึกว่ามันเป็นความจริงก็วันนี้เอง...
“ซันนี่...”
ซินคงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของผม
มันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมชิงตัดบทก่อน
“ไปเข้าห้องน้ำนะ”
ผมพูดแค่นั้นแล้วขอแยกตัวออกมา
ซินจะอธิบายกับคนอื่นว่าไงผมไม่รู้ล่ะ
ผมรู้แค่ว่าต้องหาที่สงบใจสักหน่อย
“อ๊ะ เขามองมาทางนี้ด้วย!”
เสียงเซเรน่ากับลุคฟังดูตื่นเต้น แต่ผมไม่ได้หันกลับไปมอง...
ผมเดินหลบออกมายืนรับลมเย็นๆ ตรงสุดระเบียงทางเดินของห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง
เสียงดนตรีเคล้าเสียงหัวเราะเบิกบานของผู้ร่วมงานคนอื่นยังคงดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ
แต่จิตใจของผมกลับอยู่ในภาวะตรงกันข้าม... มันช่างหนักอึ้ง
ผมอยากจะหยุดคิดติดลบ แต่ทำไมมันถึงยากนักนะ
โปรดติดตามตอนอต่อไป.......