hi AURORA
Chapter 11
“อืมๆ แล้วไงต่อ?”
ซินเซียร์แฝดพี่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิจิ้มโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตาย(ไม่แน่ใจว่าแชทหรือเล่นเกมส์)อยู่บนเตียงนอนของผมพยักหน้า
พลางพึมพำถามต่อโดยไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าจอในมือ
ขณะที่ซันชายน์แฝดน้องซึ่งนั่งอ่านนิยาย(หรืออะไรสักอย่าง)อยู่ข้างหน้าต่างเพียงปรายตามองมาทางเราทั้งคู่ครั้งหนึ่ง
ก่อนกลับไปสนใจตัวอักษรในหน้าหนังสือต่อ
แล้วทำไมแฝดคู่นี้ถึงเข้ามาสิงสถิตอยู่ในห้องของผมได้งั้นเหรอ?
คงต้องขอเล่าย้อนไปตั้งแต่เมื่อตอนเช้าราวๆ เจ็ดโมงกว่า
ผมถูกคุณซอล ปลุกให้ตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยอาการปวดเศียรเวียนหน้าล้าสะโพก
แถมอุณหภูมิร่างกายยังพุ่งแตะ 37.9 องศาอีกต่างหาก
ป่วยสนิทในรอบหลายปี เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะแปลกใหม่สำหรับผมอยู่บ้างเหมือนกัน
คือปกติผมไม่ค่อยเจ็บค่อยป่วยอย่างใครเขาเท่าไหร่น่ะ สุขภาพร่างกายแข็งแรงตลอด ..อย่างน้อยก็ก่อนหน้านี้
หรือนี่จะเป็นผลกรรมของการริอยากลองเป็นเกย์?
เอิ่ม ผมคงไม่ได้ตัดสินใจอะไรพลาดไปใช่ไหม?
หลังจากวัดไข้กันเสร็จ
คุณซอลก็ไปยกหูโทรศัพท์(ตอนนั้นเขาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงานเรียบร้อยแล้ว) ไม่เกินสองนาทีลุงพ่อบ้านก็ขึ้นมาพร้อมผ้าขนหนูและกะละมังน้ำอุ่นใบจ้อย
ลุงแกจัดการเช็ดตัว(ทั้งที่ผมยืนยันว่าทำเองได้ แต่ก็ไม่มีใครยอมฟัง)
เปลี่ยนเสื้อผ้า(จากชุดนอนเป็นชุดนอนตัวใหม่)
ปิดท้ายด้วยการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่เรียบร้อย ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนผมไม่มีเวลาให้มัวอับอายกับรอยแดงจ้ำตามร่างกายและสภาพยับเยินพร้อมคราบไคลต่างๆ
บนผ้าปูที่นอน(ผืนเก่า) เวลาถัดจากนั้นไม่กี่นาที
นางสาวเอลลี่ก็ปรากฏตัวพร้อมกับโจ๊กหอมๆ และยาขมๆ อีกหนึ่งชุด
เมื่อทุกพิธีการเสร็จสิ้น..
ผมก็หลับเป็นตายจนถึงยามบ่ายของวันเดียวกัน ตื่นมาอีกทีเพราะจีนกับเอลลี่มาปลุกเรียก
สองคนนั้นเตรียมอาหารและยาสำหรับมื้อเที่ยง(ที่เลยมาแล้วเล็กน้อย)ขึ้นมาให้
เอลลี่รับหน้าที่ป้อนข้าวให้ผมเหมือนเคย
ทั้งที่ผมนั่งยันนอนยัน(จนแทบจะตีลังกายัน)แล้วว่าไม่ต้อง แต่เธอก็จะทำให้ได้
อ้างว่าเป็นคำสั่งคุณพ่อบ้านซึ่งรับคำสั่งมาจากคุณซอลอีกที(ฟังดูซับซ้อนยังไงพิกล?)
ส่วนจีนรับหน้าที่รายงานความเป็นไปของคนในบ้านว่ามีใครไปทำอะไรที่ไหนบ้าง
แน่นอนก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าคุณซอลต้องไปทำงาน ลุงพ่อบ้านไปบริษัท
มาดามโทรมาถามความเป็นอยู่ของคนในบ้าน ส่วนแฝดอยู่บ้าน..
ซึ่งข้อมูลหลังสุดนี่ทำผมแปลกใจอยู่ไม่น้อย
เพราะปกติไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นคู่นี้อยู่ติดบ้านสักเท่าไหร่
และขณะที่กำลังพูดถึงแฝด แฝดก็โผล่มา..
เริ่มจากเสียงเคาะประตูก๊อกๆ ตามมาด้วยประตูแง้มเปิด หน้ากวนๆ ของซินเซียร์ยิ้มเผล่โผล่เข้ามาก่อน
ตามด้วยน้องชายฝาแฝด พวกนั้นเข้ามาถามไถ่อาการผมด้วยท่าทางเป็นมิตรกว่าทุกครั้ง
บอกว่าได้ยินจากพวกเมดสาวว่าผมไม่สบาย
ตอนแรกผมก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่มีหลายคนมาห่วงใยทั้งที่อยู่ไกลบ้านหลายพันไมล์แบบนี้
แต่หลังจากจีนและเอลลี่ผละออกไป
พวกแฝดก็เริ่มพูดเข้าประเด็น ปรากฏว่าที่พวกนั้นอยากรู้อยากเห็นจริงๆ
ไม่ใช่อาการของผม แต่เป็นเรื่องที่จู่ๆ
เมื่อวานคุณซอลก็กลับมาจับเจ้าดูคาติทั้งที่ปล่อยทิ้งร้างไปตั้งสามปีต่างหาก
เฮ้อ ดีใจเก้อเลยเรา
ก็นั่นแหล่ะ
ผมก็เลยต้องเล่าให้พวกแฝดฟังตั้งแต่คุณซอลพาผมไปที่สุสาน เล่าเรื่องของทิมมี่
พอกลับบ้านมาผมก็เลยลองชวนคุณซอลไปขี่รถเล่น ประมาณนี้ เอาแค่ที่สำคัญๆ พอ ส่วนเรื่องความรู้สึกของพวกเรา(หมายถึงผมกับคุณซอลน่ะ)
คงไม่จำเป็นต้องเล่าหรอกมั้ง
จะว่าไปแล้วพวกนี้ก็แปลกดี
ทั้งที่ปกติเวลาอยู่ต่อหน้าคุณซอล ก็ไม่เห็นว่าแฝดจะมีท่าทีใส่ใจเขาแม้แต่น้อยนิด
แต่พอแบบนี้ล่ะก็มาแอบถามถึงความเป็นไป ท่าทางว่าใจจริงแล้วก็คงจะเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ถึงยังไงก็พี่น้องนี่นะ
“ก็ไม่แล้วไง เราก็แค่ไปขี่รถเล่นกัน” ผมตอบง่ายๆ
ก่อนเอื้อมมือไปหยิบแก้มน้ำอุ่นมาจิบให้ชุ่มคอที่เริ่มแห้งผากอีกรอบ
“เหรอ...” ซินลากเสียงแบบไม่มีความหมายอะไร
“พวกนายจูบกันด้วยนี่” ประโยคเรียบๆ
ของซันทำเอาผมถึงกับสำลักน้ำ รีบไขว่คว้าหากระดาษทิชชู่แทบไม่ทัน
“จริงดิ?!” ซินรีบละสายตาจากหน้าจอมือถือไปมองน้องชายตัวเองด้วยตาโตๆ
“อืม พอดีตอนนั้นเดินอยู่แถวระเบียง
ก็เลยทันเห็นพวกนั้นจูบกันหน้าโรงรถ ก่อนจะขี่รถออกไป ..กอดเอวกันด้วยนะ”
คนเล่าก็เล่าได้หน้าตาเฉย
ส่วนคนฟังก็ฟังอย่างตื่นเต้นตกใจ ไม่มีใครเลยสักคนที่จะสนใจผมซึ่งไอหน้าดำหน้าแดงอยู่
“โห.. นี่นายก็เป็นเกย์กับเขาเหมือนกันเหรอเนี่ย?
ดูไม่ออกเลย” เมื่อได้ข้อมูลจนกระจ่างใจ ซินก็หันมาพินิจพิจารณาสารรูปของผมด้วยท่าทางแปลกๆ
จะว่ารังเกียจก็ไม่ใช่ แต่จะว่าชอบใจก็ไม่เชิง
คือ..ไม่รู้สิ
“อย่าบอกว่าเป็นตามเทรนด์?” ซันพูดยิ้มๆ
“ประมาณนั้น” ผมที่ไม่รู้จะอธิบายวิวัฒนาการของตัวเองยังไงก็เออออรับมุขหมอนั่นไปซะงั้นเลย
ไม่ต้องคิดเองดี ฮ่ะๆๆ
“บ้าไปแล้ว..” แต่ซินดูจะไม่ค่อยเก็ทมุขนี้สักเท่าไหร่
หมอนี่ถ้าไม่เส้นลึกเกินไป
ก็คงจะไม่ค่อยปลื้มเกย์แฮะ
“ตกลงว่าพวกนายคบกันแล้วงั้นเหรอ?”
ซันปิดหนังสือ
ขยับเปลี่ยนเป็นนั่งหันหลังให้หน้าต่าง หันหน้ามาทางผม ซินเองก็เก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋าแล้วเหมือนกัน
ลักษณะจะพุ่งความสนใจมาที่ผมกันเต็มที่เลยตอนนี้
“งั้นแหล่ะ” ผมดึงทิชชู่อีกหลายแผ่นมาซับน้ำที่หกรดเสื้อผ้า
ก่อนขว้างลงตะกร้าข้างเตียง
“เอาจริงดิ?” ซินทำหน้าแหยไม่แน่ใจ
“จริงไม่จริงก็คง ‘เอา’ ไปแล้วแหล่ะ
ดูรอยที่คอนั่นดิ” ซันชี้มาที่คอผมแล้วหัวเราะชอบใจ
เล่นเอารู้สึกอายไปเหมือนกัน
“นี่คือเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้ลุกไม่ขึ้นใช่มะ?
ฮ่าๆๆ”
เกลียดจริงคนรู้ทัน..
ผมได้แต่บ่นอะไรงึมงำไปตามเรื่อง
แต่ซินยังไม่ยอมคล้อยตามน้องชาย ยังคงนั่งกอดอกขัดสมาธิทำหน้าตาไม่รับมุขอยู่ อืม ขนาดผมเองยังไม่คิดมากเลย แต่หมอนี่...วาย
โซ ซีเรียส?
“เออ.. มีเรื่องอยากถามหน่อย” ผมที่เพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้
เลยลองคิดจะถามดู “ปกติ..เวลาพวกนายไปเดท ..เอ่อ..พวกนายมักไปเดทที่ไหนกันเหรอ?”
ถามออกไปแล้วก็รู้สึกเก้อกระดากยังไงชอบกล
แต่ถ้าไม่ถามใครเลยก็ไม่รู้จะเอาคำตอบที่ไหนไปให้คุณซอล ..ก็เมื่อคืนก่อนนอน
คุณซอลบอกว่าวันมะรืนเขาจะได้หยุดหนึ่งวัน ก่อนต้องบินไปทำงานที่นิวยอร์คสามวันเต็ม
เขาเลยอยากใช้วันหยุดนั้นกับผม บอกว่าจะพาผมไปเดท(ไม่รู้ว่าคนพูดพูดด้วยอารมณ์ไหน
แต่ผมก็เออออรับคำเขามาแบบมึนๆ แล้วล่ะ)
ระหว่างนี้เลยให้ผมคิดหาที่ที่อยากจะไปไปพลางๆ แต่ผมคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
แลนด์มาร์คในลอนดอนผมก็ไปดูมาหมดแล้ว แถบชนบทที่นึกอยากไปก็ติดตรงเวลา
เรามีเวลาแค่วันเดียว ถ้าจะเที่ยวไม่ให้เหนื่อย(เพราะคุณซอลต้องเดินทางต่อ
ผมเกรงใจเขา)ก็คงจะเที่ยวได้แค่ในลอนดอนนี่ล่ะมั้ง? หรือมีสถานที่อื่นที่น่าสนใจและอยู่ใกล้ๆ
อีก?
ก็เพราะผมไม่รู้ไง เลยต้องบากหน้าลองถามแฝดดู
“เดท??” พวกนั้นทวนคำพร้อมกัน
แต่ต่างอารมณ์กันโดยสิ้นเชิง
ซันพูดแล้วหัวเราะลงคอแบบชอบใจ
ขณะที่คนเป็นพี่ชายทำหน้าแบบกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเต็มที
“อันนี้ต้องถามผู้เชี่ยวชาญ” ซันผายมือไปทางซิน “เราไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก
เพราะส่วนใหญ่ก็เจอกันตามผับ จบตามโรงแรม แล้วก็แยกย้าย.. แค่นั้นเอง”
โห.. ไอ้หมอนี่ ท่าทางประสบการณ์จมหู
อายุเท่ากันแท้ๆ ไหงผมไม่มีอะไรแบบนั้นกับเขาบ้างวะ? ตกลงว่าผมโตช้าหรือเด็กฝรั่งมันโตเร็วกันแน่?
“อืม..” ซินขมวดคิ้ว เกาคาง ยืดตัวตรง ท่าทางดูเป็นผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาทันที
“ถ้าสุดท้ายก็ต้องจบลงที่เตียง ก็รีบหาทางไปให้ถึงเตียงให้เร็วที่สุดก็พอแล้วมั้ง จะคิดให้มันเยอะไปทำไม?”
“ถ้างั้นนายก็ไม่ต้องลุกไปไหนแล้วล่ะ
รอซอลลี่อยู่ตรงนี้เลย” ซันหันมาพูดกลั้วหัวเราะกับผม
นี่ผมคิดถูกหรือเปล่าที่ไปปรึกษาแฝดคู่นี้?
“แล้ว..ที่นี่มีสวนสนุกอะไรที่น่าสนใจบ้างหรือเปล่า?”
เมื่อพึ่งคนอื่นไม่ได้ ก็พึ่งตัวเองไปก่อนแล้วกัน..
อันที่จริงผมก็เล็งๆ สวนสนุกไว้บ้างแล้วล่ะ
เพราะตั้งแต่มาถึงลอนดอนยังไม่เคยไปดูสวนสนุกของเขาเลย
แล้วมันก็คงจะสนุกดีถ้าไม่ต้องไปคนเดียวเหมือนทุกที่ที่ผ่านมา
“สวนสนุกเหรอ?” ซันทำหน้าครุ่นคิด “ถ้าเอาใกล้ๆ
นี่ก็ต้อง ธอร์ป...”
ทั้งที่เกือบจะพูดออกมาอยู่แล้ว แต่จู่ๆ
หมอนั่นก็กลืนคำพูดกลับลงคอไป แล้วหันไปสบตากับพี่ชายฝาแฝด
..ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมว่าผมเห็นประกายวาบในแววตาของทั้งคู่นะ
ก่อนที่แฝดจะโพล่งออกมาพร้อมกัน “อัลตัน ทาวเวอร์ส!!”
“อัลตัน ทาวเวอร์ส?” ผมทวนคำ
“ใช่ๆๆๆ” แฝดรีบพยักหน้าแข็งขัน...ชอบกล?
“อยู่ใกล้เหรอ?” ผมถาม
“แค่นี้เอง สแตฟฟอร์ดเชียร์” ซันตอบ
“ขับรถขึ้นไปทางเหนือของลอนดอนราวสองชั่วโมง” ซินเสริม
“หรืออาจเร็วกว่านั้นถ้าให้ซินเป็นคนขับ” ซันแนะ
“เดี๋ยวเราอาสาขับพาไปส่งเอง” ซินเสนอ
“นายจะไปวันไหนนะ?” ซันถาม
“วันมะรืน” ผมตอบไปแบบงงๆ
การต่อบทของพวกนั้นลื่นไหลเกินกว่าผมจะคิดอะไรทัน
“โอเค งั้นวันมะรืนเราจะไปที่นั่นกัน” ซันสรุป
“ไปอัลตัน ทาวเวอร์ส!” ซินผุดลุกพร้อมชูกำปั้นขึ้น
“แต่ตอนนี้เรามีธุระ” ซันดูนาฬิกาแล้วลุกขึ้นบ้าง
“ต้องขอตัวก่อน” ซินเดินนำไปยังประตู
“ไว้เจอกันใหม่” ซันทิ้งท้าย ก่อนปิดประตู
“.........” ส่วนผมยังงงอยู่
“อีกอย่าง!” แล้วจู่ๆ แฝดก็โผล่หน้ากลับเข้ามาพร้อมกัน
“อย่าลืมบอกซอลลี่นะ”
“ว่านายอยากไป อัลตัน ทาวเวอร์ส”
“ม๊ากมาก!!” พวกนั้นประสานเสียงกันในตอนท้าย ก่อนลับหายไปพร้อมเสียงหัวเราะในที่สุด
“.........” ซึ่งผมก็ยังงงไม่หาย
ตกลงว่าผมอยากไปไอ้ อัลตัน ทาวเวอร์ส อะไรนี่
ม๊ากมาก...
ขนาดนั้นเลยเหรอครับ???
“อัลตัน ทาวเวอร์ส?” คุณซอลพูดทวนเสียงสูง
หลังฟังผมแจ้งจุดหมายปลายทางของวันมะรืนให้ทราบ
ผมพยักหน้าหงึกหงักพลางตักเห็ดหอมผัดน้ำมันหอยใส่ปากอีกชิ้น
ตอนนี้พวกเราสี่คน มีผม คุณซอลฟา
และฝาแฝดซินเซียร์กับซันชายน์ กำลังนั่งทานมื้อค่ำพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้
พอดีว่าช่วงบ่ายแก่ๆ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้วก็เลยลุกออกจากเตียงมาเตรียมอาหารเย็นสำหรับทุกคน
แม้ลุงพ่อบ้านและสาวเมดจะพยายามห้าม แต่คราวนี้ผมตีมึนดื้อแพ่งบ้าง ทุกคนก็เลยต้องยอมลงให้(ก็พวกเขาเล่นเอาแต่ใจกับผมมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่นะ)
“ทำไมถึงอยากไปที่นั่น?” คุณซอลถามอีก เขานั่งอยู่หัวโต๊ะ
มีผมนั่งทางขวามือ และพวกแฝดนั่งทางซ้ายมือ
“ก็ผมอยากลองไปสวนสนุกของที่นี่ดูบ้าง
ตั้งแต่มาผมยังไม่เคยไปเที่ยวสวนสนุกเลย” ..ต้องพูดว่า ‘อยากไป ม๊ากมาก’ ด้วยหรือเปล่านะ?
ผมมองไปทางแฝดอย่างไม่แน่ใจ
“ถ้างั้นไป ธอร์ป ปาร์ค ก็ได้มั้ง ใกล้ดี” คุณซอลเสนอ
“ธอร์ป ปาร์ค..เหรอ?” ผมเริ่มลังเล
แต่ถ้ามันอยู่ใกล้กว่า อัลตัน ทาวเวอร์ส
ก็น่าสนใจนะ
“ไม่ได้ๆ!” ซินที่นั่งสังเกตการณ์เงียบๆ มาพักหนึ่งรีบโพล่งขึ้น
ผมกับคุณซอลหันไปสนใจทันที
ขณะที่ซันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ง่วนอยู่กับจานของตัวเอง
ซินยิ้มแหยๆ ให้คุณซอล
ก่อนพูดพร้อมออกท่าทางใหญ่โต
“ไหนๆ จะไปสวนสนุกทั้งที
ก็ต้องไปที่ที่มันเป็นที่สุดของโลกไปเลยสิ จริงไหม ซันนี่?”
“ช่ายยยยย” ซันเงยหน้าจากจานมารับลูกพี่ชายแข็งขัน
“ที่สุดของโลก?”
“ใช่! ตอนนี้นายอยู่อังกฤษนะ อย่าลืมสิ
เรามีสวนสนุกที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นที่หนึ่งของโลกอยู่แค่เอื้อม จะมัวไปเสียเวลากับสวนสนุกกิ๊กก๊อกทำไม
จริงไหม ซันนี่?”
“ช้ายยยยย”
“เครื่องเล่น 29 ชนิด รถไฟเหาะ 8 สาย สวนน้ำอีก
5 แห่ง แล้วแบบนี้นายจะพลาดได้ยังไง จริงไหม หัวลูกชิ้น?”
“เราชื่อ ยู.. แต่มันก็จริงนะ” ผมชักจะคล้อยตามแฝดอีกรอบ
“ใช่ไหมล่ะ? ใช่ไหมล่า?” แฝดประสานเสียงพร้อมเพรียง
“ทำไมพวกนายถึงดูกระตือรือร้นจัง?” คุณซอลรวบช้อนส้อม
วางศอกบนโต๊ะ ประสานมือไว้ตรงหน้า แล้ววางคางทับลงไปอีกที เขาหรี่ตามองคู่หูคู่แฝดสลับกันไปมาอย่างจับผิด
“มีแผนอะไร? รีบคายออกมาซะ”
“แผนอะไร? ไม่มี้~!!” ซินรีบปฏิเสธเสียงสูงเชียว แถมยังหลบตาอีกต่างหาก
..หมอนี่โกหกได้ไม่เนียนเลยจริงๆ
“เราแค่อยากนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็กของพี่ก็แค่นั้นเอง
เราหวังดีนะ” เห็นชัดๆ ว่าทักษะการโกหกของซันนั้นเหนือชั้นกว่า
พูดซะดูดีเชียว ไอ้หมอนี่.. ตกลงว่ามีแผนอะไรกันแน่นะ?
“ใช่ๆ เพราะเราหวังดีหรอก” ซินรีบพยักหน้าหงึกๆ “เราจะขับรถไปให้ดะ..อุ๊บส์!” แต่ยังพูดไม่ทันจบดีก็ถูกมือมืดของน้องชายตะปบปากไว้ก่อน
“แหะๆๆ” ซันยิ้มกลบเกลื่อน
แต่ดูเหมือนคุณซอลจะเข้าใจเจตนาของพวกนั้นแล้ว
เขาพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ “เข้าใจล่ะ”
“เข้าใจ..อะไรเหรอ?” ซันทำตาบ้องแบ๊วใส่พี่ชายคนโต
ขณะที่พี่ชายคนรองกำลังจะขาดใจตายคามืออยู่รอมร่อ
“คนที่อยากไปจริงๆ น่ะเป็นพวกนายต่างหาก
ไม่ใช่ยูสักหน่อย ..ใช่ไหม?”
“แฮ่..” ซันยกมือข้างที่ใช้ปิดปากซินขึ้นเกาหัวพลางยิ้มแหยเหมือนเด็กซนๆ
ที่เพิ่งถูกจับได้ ส่วนคนที่เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระรีบสูดหายใจเข้าปอดเฮือกๆ
ราวกับกลัวว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
“แต่เสียใจด้วย เพราะเราจะไปกันแค่สองคนเท่านั้น
พวกนายไม่เกี่ยว” เขาพูดแล้วชี้มือมาทางผม “แล้วทีหลังก็อย่าเอาอะไรแปลกๆ
มาใส่สมองนิ่มๆ ของหมอนี่อีก ..เข้าใจนะ?”
สมองนิ่ม... นี่เขาหลอกด่าผมหรือเปล่า?
ผมเอียงคอสงสัย แต่พอหันไปมองอย่างข้องใจ
เขาก็รีบโบกมือคล้ายกับปัดเรื่องรำคาญใจทิ้ง
“สมองทุกคนก็นิ่มเหมือนกันทั้งนั้นแหล่ะ มันเป็นแค่ก้อนไขมัน..”
เขาบอกแบบนั้น
อ่อ.. ผมพยักหน้า สรุปว่าเขาไม่ได้หลอกด่าผมสินะ
...เรอะ?
แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขาแค่พูดกลบเกลื่อนล่ะ?
..ฮืม ช่างเหอะ
“ไม่เอาน่าซอลลี่ พี่อย่างกกับน้องกับนุ่งสิ” ซันเริ่มอ้อนพี่ชาย
“ถ้าพวกนายอยากไป ทำไมไม่ไปกันเองล่ะ?
จะมายุ่งกับพี่ทำไม?” แต่คุณซอลไม่ใส่ใจ
“พวกเรา..ไม่มีเงิน..” ซินสารภาพทั้งที่ลมหายใจยังไม่กลับเป็นปกติดี
“แค่ค่าเข้าก็ปาไปเกือบสามสิบปอนด์แล้ว
เรามีสองคนก็เกือบหกสิบปอนด์ ไหนจะค่าเครื่องเล่น ค่าน้ำ ค่าอาหาร.. ช่วงนี้เราบ่จี๊อ่ะ
ซอลลี่ พี่ให้เราไปด้วยเถอะนะ ..น้า~”
“ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ต้องไปสิ” คุณซอลยังคงใจแข็ง “ปีที่แล้วก็เพิ่งไปมาไม่ใช่หรือไง?
จะไปทำไมบ่อยๆ?”
“ปีก่อนโน้นต่างหาก เราไม่ได้ไปมาสองปีแล้วนะ” ซันแย้ง
“เห็นว่ามีเครื่องเล่นใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีก”
ซินว่า “ให้เราไปด้วยเหอะนะ ซอลลี่ พี่ไม่ใช่คนงกนี่นา”
“พี่ไม่ใช่คนงก..” คุณซอลพยักหน้า แต่สายตายังมองน้องแฝดอย่างไม่ไว้ใจ
“แต่พี่ไม่เชื่อว่าพวกนายจะไม่มีเงิน..
ฮัดสันบอกพี่ว่าพวกนายไปเล่นดนตรีที่บาร์ฟลายทุกวีค
แถมตอนกลางวันก็ไปรับจ๊อบขนดอกไม้ที่โกดังของมาร์ตินอีก แล้วพวกนายจะไม่มีเงินได้ยังไง?
บอกมาสิว่าพวกนายมีแผนอื่นมากกว่า ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงินใช่ไหม?”
“อย่ามองพวกเราในแง่ร้ายน่า” ซินทำปากยื่น
“ก็พวกนายมัน ‘แฝดนรก’ อยู่แล้วนี่”
“ไม่เห็นต้องสรรเสริญกันขนาดนั้นเลย” ซินเริ่มหน้าง้ำงอ
“เราอยู่ในช่วงเก็บหอมรอมริบน่ะ
เลยเอาเงินพวกนั้นมาใช้ไม่ได้” ซันยักไหล่
“เก็บหอมรอมริบ?” คุณซอลทวนคำ
“วีคสุดท้ายของวันหยุดซัมเมอร์
เราตั้งใจจะไปบาหลีกัน” ซินเฉลย สีหน้ากลับมาแจ่มใสอีกครั้ง
“บาหลี? ปีที่แล้วพวกนายก็เพิ่งไปมานี่?”
“ช่ายยย ยังติดใจไม่หาย” ซินว่าพลางกวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก
ก่อนรวบช้อนส้อม
“ปีนี้เลยว่าจะไปอีก” ซันก็รวบช้อนส้อมบ้าง
“ตกลงว่าพี่จะให้เราไปด้วยใช่ไหม?” ซินสรุป(เอาเอง)หลังจากกระดกน้ำส้มครั้นจนหมดแก้ว
“แหงดิ ซอลลี่ของเราป๋าอยู่แล้ว” ซันก็ช่วยสรุป(เอาเอง)อีกคน
“เรารู้ว่าพี่ไม่ชอบขับรถทางไกล
เดี๋ยวเราจะช่วยขับไปให้เอง” ซินบอกพร้อมทั้งฉีกยิ้มเอาใจ
“พี่ไม่ต้องลำบากอะไร แค่นั่งสวยๆ อยู่เบาะหลังก็พอ
..โอเคตามนี้นะ” ซันปิดท้าย ก่อนที่ทั้งคู่จะลุกจากโต๊ะอาหาร
“ยังไงพี่ก็ไม่ให้พวกนายไป” เสียงเรียบๆ
ทว่าเฉียบขาดของคุณซอลทำเอาแฝดที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องอาหารถึงกับชะงักกึก
เขาปรายตามาทางผมก่อนพูดต่อ “ยูไม่ได้บอกพวกนายหรือไงว่าเราจะไปเดทกัน?”
“เดท? เหมือนจะเคยได้ยินหรือเปล่านะ?” ซันหันไปถามซิน
“ก็คุ้นๆ หูอยู่” ซินพยักหน้ากับซิน
ก่อนหันมาถามคุณซอล “เดทแล้วไง?”
“เดท.. มันก็หมายความว่าเราจะไปกันตามลำพัง แค่สองคน
..ไม่มีส่วนเกิน”
“ไม่เอาน่าซอลลี่
พี่จะหวังอะไรกับเดทในสวนสนุกงั้นเหรอ? จะเล่นวิตถารกันบนรถไฟเหาะหรือไง?
หรือจะไล่ปล้ำกันในบ้านผีสิง? ยังมีคนอีกกี่หมื่นคนที่วิ่งพล่านอยู่ในสวนสนุกนั่น?
เพิ่มเราเข้าไปอีกสองคนก็ไม่เห็นจะเสียหาย
หรือต่อให้พี่คิดจะทำมิดีมิร้ายหมอนี่กลางสวนสนุกจริง เราจะทำปิดหูปิดตาให้ก็ได้”
“ใช่ เราจะปิดหูปิดตา” ซินรีบพยักหน้ารับคำน้องชายหงึกหงัก
คุณซอลถอนหายใจยืดยาวราวกับเหนื่อยหน่ายที่จะถกเถียงกับฝาแฝดเต็มที
“พี่ไม่อยากจะเถียงกับพวกนายแล้ว”
“แปลว่าพี่อนุญาต?” ซินร้องถามพร้อมประกายตาวิบวับเปี่ยมไปด้วยความหวัง
แต่พลันต้องซีดเผือดกับประโยคถัดมาของพี่ชาย
“ใช่ ถ้านายยอมจูบพี่ล่ะก็นะ ซิน” คุณซอลกระตุกยิ้มมุมปาก
ท่าทางเขามั่นใจกับชัยชนะครั้งนี้เต็มที่
“.........” ผมไม่แน่ใจว่านี่มันเรื่องล้อเล่นแบบไหน?
หรือกำลังเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาสามพี่น้อง?
แต่มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าคุณซอลจะชนะศึกในครั้งนี้จริงๆ
เพราะแฝดต่างนิ่งงัน
ไม่มีท่าทีว่าจะทำอะไรตอบโต้คำท้าทายของคนเป็นพี่แม้แต่น้อยนิด
!!
แต่ขณะที่ผมกำลังคิดว่าพวกนั้นคงถอดใจยอมแพ้ จู่ๆ
ซันชายน์ก็ก้าวเข้ามาหาคุณซอลที่ยังนั่งอยู่ หมอนั่นดันคางคนเป็นพี่ขึ้น
แล้วโน้มลงมาประกบปากด้วยหน้าตาเฉย แต่แทนที่คุณซอลจะตกใจอย่างที่ผมคาด
เขากลับตอบรับด้วยลิ้นช่ำชองของตัวเองแบบไม่ยอมแพ้..
เป็นครู่ทีเดียวก่อนที่ทั้งสองจะผละออกจากกันโดยที่ซันแลบลิ้นเลียริมฝีปากคุณซอลทิ้งท้าย
“เงื่อนไขคือจูบของซิน ไม่ใช่ของนาย ซันนี่” คุณซอลว่าพลางปาดนิ้วเช็ดน้ำลายตรงมุมปากตัวเอง
“ใครว่า..” เสียงซินดังขึ้น
ก่อนหมอนั่นจะคว้าเอวซันเข้าไปประชิดตัว
จากนั้นฝาแฝดก็โชว์แลกจูบกันดูดดื่มเสียยิ่งกว่าจูบคุณซอลเมื่อครู่อีก
“แบบนี้คงพอได้นะ” ซินยกยิ้มอย่างคนเหนือกว่าข้ามไหล่น้องชายมา
“พี่ไม่ได้บอกนี่นาว่าห้ามใช้ตัวกลาง”
“จูบของพี่ถึงซินแล้ว อย่าลืมรักษาสัญญาด้วยล่ะ” ซันหันมาพูดยิ้มๆ
“กู๊ดไนท์ มาย โบร.” แล้วทั้งคู่ก็เดินกอดคอกันออกจากห้องอาหารไป
พร้อมกับเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจของผู้แพ้
“.........”
“ยิ้มอะไร?” คุณซอลเอ่ยถามผม
หลังจากทั้งห้องเหลือเพียงเราสองคน
“คุณแพ้..”
ผมเพิ่งจะเคยเห็นเวลาเขาเถียงแพ้นี่แหล่ะ
บ่ายวันต่อมา..
มิคุนิก็แวะมาจิบชากับคุณซอลอีก
แต่แน่นอนว่าคุณซอลไม่อยู่ เขาจึงต้องมานั่งจิบชากับผมแทนเหมือนครั้งก่อน
“อัลตัน ทาวเวอร์ส..นี่เป็นที่แบบไหนเหรอ?” มิคุนิเอียงคออย่างใช้ความคิด เพราะเขาถามว่าพรุ่งนี้มีโปรแกรมไปไหนหรือเปล่า
ผมก็เลยบอกว่าจะไป อัลตัน ทาวเวอร์ส์ กับคุณซอลและฝาแฝด
“เป็นสวนสนุกน่ะ
แต่ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอก”
“สวนสนุกงั้นเหรอ?” มิคุพึมพำคล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่า “ผมไปด้วยดีไหมนะ?”
“ไปสิ หลายๆ คนคงสนุกดี” เพราะความตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวทำให้ผมโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิด
อ่า.. แย่ล่ะสิ
แค่แฝดไปด้วยก็ทำให้คุณซอลไม่ค่อยสบอารมณ์แล้ว
ถ้าเพิ่มมิกุมิกุไปอีกคน...เขาจะโกรธผมไหมล่ะเนี่ย?
“ผมไปด้วยได้จริงๆ เหรอ?” แต่ท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่ายก็ทำเอาผมกลับคำไม่ลง
เอาวะ.. คุณซอลคงไม่ว่าอะไรหรอก
ยังไงเขาก็สนิทกับมิกุมิกุนี่นา มีเพื่อนไปด้วยเขาน่าจะดีใจมากกว่า...มั้ง
“อ่า..อืม..ไปสิ” สุดท้ายผมก็ได้แต่พยักหน้าอือออไป
“มิ..คุ?” คุณซอลที่กำลังพอกหน้าอยู่แทบจะยิงแสงเลเซอร์ออกจากตา
ทะลุมาสก์มาเจาะหน้าผากผม หลังจากฟังรายงานเรื่องมิคุนิจบ
“คือ..ผมเผลอหลุดปากไปน่ะ
แล้วมันก็คงดูไม่ค่อยดีใช่ไหม..ถ้าเราจะกลับคำทั้งที่ชวนไปแล้ว..ใช่ไหม?” ผมที่นั่งอยู่ปลายเตียงนอนของเขาพยายามทำหน้าตาให้ดูสำนึกผิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าในหัวลูกชิ้นของนายนี่มีอะไรอาศัยอยู่บ้าง?
หือ สมอง? หรืออะมีบา?” ท่าทางคุณซอลอยากบ่นมากกว่าอยากได้คำตอบ
ผมก็เลยสงบปากสงบคำเอาไว้ก่อน “แล้ววันนี้หมอนั่นก็มาดื่มชากับนายอีกแล้วเรอะ?”
“เขาก็มาหาคุณนั่นแหล่ะ
แต่คุณดันไม่อยู่เองนี่นา”
“เฮ้อ.. ผมจะทำยังไงกับนายดีนะ คุณหัวลูกชิ้น?” เขากลอกตาไปมาพลางลอกแผ่นมาสก์ออกอย่างหมดอารมณ์
“ผมชื่อยู.. เอ้อ ผมว่าผมไปนอนก่อนดีกว่า
ผมแค่มาบอกให้คุณรู้แค่นี้ แหล่ะ
ฝันดีนะครับ” ผมลุกขึ้น หยิบตะกร้าเปล่าแล้วเดินไปทางประตู
ที่จริงก่อนผมจะขึ้นมาชั้นบน
ก็บังเอิญเจอกับจีนตรงบันได เธอกำลังหอบหิ้วตะกร้าผ้าที่ซักรีดแล้วของคุณซอลมาเพื่อจะเก็บเข้าตู้
ผมเลยอาสาเอามาเก็บให้เอง เพราะถึงยังไงก็ต้องเข้ามาบอกเขาเรื่องมิคุนิอยู่แล้ว
“เดี๋ยวสิ..” คุณซอลเคลื่อนไหวได้เงียบเชียบไม่ต่างจากแมวหน้าไหม้ของเขา
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขามายืนซ้อนข้างหลังในจังหวะที่ผมกำลังจับลูกบิดประตูนั่นล่ะ
“วันนี้อาการเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีขึ้นมากแล้ว..” ผมถึงกับต้องหดคอหนีลมหายใจอุ่นๆ
ที่เข้ามาใกล้เสียจนชวนสยิวของเขา
ตอนนี้อาการป่วยไข้ของผมดีขึ้นจนแทบจะหายเป็นปกติก็ว่าได้
แต่ที่ยังไม่ปกติก็พวกอาการปวดระบมเฉพาะจุดอันเกิดจากน้ำมือเขานั่นล่ะ
“ถ้างั้น.. คืนนี้ให้ผมไปค้างด้วยนะ” เขาไม่พูดเปล่า
แต่ยังขบติ่งหูผมเล่นอีกต่างหาก
“ไม่เอา” ผมหันไปเผชิญหน้ากับเขา
ใช้ตะกร้าผ้าคั่นกลางระหว่างพวกเราไว้ เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ “ที่ผมบอกว่าดีขึ้นมากน่ะ
หมายถึงอาการจากพิษไข้ต่างหาก แต่อาการจากพิษร้ายของคุณน่ะ ยังแย่อยู่”
จบคำผมก็ยื่นอีกมือไปชูนิ้วโป้งแบบคว่ำลงตรงหน้าเขา
เขาเลยหัวเราะชอบใจเบาๆ
“โอเค หายเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน
ผมรอฟังข่าวดีอยู่” เขาพูดแล้วขยิบตาให้ ท่าทางไม่ได้อนาทรร้อนใจกับอาการของผมเลย
“ผมอาจจะเป็นไปตลอดชีวิตเลยก็ได้” ผมกลับหลังหัน
แล้วดึงประตูเปิด
“งั้นผมก็แย่สิ” ถึงจะพูดงั้นแต่เขายังยิ้มเผล่
“ก็เรื่องของคุณสิ”
“อย่างอนน่า ที่รัก” คนพูดคว้าไหล่ผมแล้วโฉบเข้ามาจุ๊บปากเบาๆ
“กู๊ดไนท์นะ” เขาส่งจูบทิ้งท้ายอีกที
ก่อนปิดประตูห้อง
“กู๊ดไนท์ครับ” ผมพึมพำเบาๆ กับบานประตู
แล้วเหเท้าเดินกลับห้องด้วยอาการลอยๆ ยังไงชอบกล..
จริงสิ..
พรุ่งนี้ผมน่าจะเตรียมมื้อเที่ยงสำหรับทุกคนไปด้วยดีกว่า
เอาอะไรดีนะ?
อืมๆ ต้องคิดเมนูก่อน
TBC.