hi AURORA
Chapter 12
“พ่องดิเกย์!!”
คนที่หันมาตะคอกใส่ผมเบาๆ พอให้สดชื่นรับยามเช้ามันมีชื่อว่า
ซินเซียร์
อืม ก็หนึ่งในน้องแฝดของคุณซอลฟานั่นล่ะ
แค่เมื่อกี๊ผมถามว่าพวกแฝดก็เป็นเกย์เหมือนกันงั้นเหรอ?
..แค่นี้เอง
ก็เมื่อวานเห็นโชว์จูบกันได้ดูดดื่มเสียขนาดนั้นทั้งที่เป็นผู้ชายทั้งคู่(แถมยังเป็นพี่น้องกันอีก)
ผมก็อดสงสัยไม่ได้น่ะสิ เช้านี้พอเห็นหน้าก็เลยลองถามดูสักหน่อย
อันที่จริงผมก็เพิ่งจะนึกออกตอนนั่งกินมื้อเช้าเองแหล่ะ
เพราะเมื่อวานมัวแต่สนใจที่คุณซอลเถียงแพ้แฝดจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
อ่า..
กำลังคิดกันอยู่ล่ะสิว่าความรู้สึกแปลกใจสงสัยของผมมันเกิดดีเลย์ไปหรือเปล่า?(ข้ามคืนเลยทีเดียว)
เอาน่ะ บางทีผมก็เอือมตัวเองที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ฮ่ะๆๆ ...เฮ้อ
แต่.. ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่สิ ไม่เห็นต้องปรักปรำพ่อผมเลย
พ่อผมไม่เกย์สักหน่อย
อย่างน้อยผมก็คิดว่างั้นนะ
“กับพี่น้องเราไม่แบ่งแยกเพศหรอก” คำพูดของซันทำให้ผมเลิกคิ้ว
หมอนั่นเลยพูดต่อ “นายถามเพราะเห็นเราจูบกันเมื่อวานใช่ไหมล่ะ?
ครอบครัวเราก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ไม่เกี่ยวกับเกย์หรือไม่เกย์หรอก ..อ้อ
แต่พวกเราไม่ใช่เกย์”
“อ่อ..” ผมพยักหน้า แต่ยังไม่วายสงสัยอีก
ต้องหันไปถามซินอีกรอบ
“แต่เมื่อวานนายไม่ยอมจูบคุณซอลนี่นา?”
“เรื่องของกูน่า” ซินตอบปัด
ท่าทางว่าหมอนี่จะขี้เกียจพูดสุภาพกับผมแล้ว(ปกติเวลาแฝดคุยกันเองผมก็เห็นพวกมันขึ้น
‘กู-มึง’ ตลอดนะ) แต่ผมก็ไม่ได้ระคายเคืองรูหูอะไรหรอก เพราะเวลาคุยกับเพื่อนผมก็พูดแบบนี้เหมือนกัน
สนิทใจดี
คิดอีกที
หรือซินมันจะเริ่มให้ความสนิทสนมกับผมแล้ววะ?
เออ.. ดีเหมือนกัน
ผมก็อยากเป็นเพื่อนกับพวกมันอยู่พอดี
“ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง” คำพูดราบเรียบเช่นเดียวกับสีหน้าของซันเป็นการบอกกลายๆ
ว่าอยากให้ผมหุบปากเสียที
ผมจึงต้องหุบปาก..
“ซอลฟา!” เสียงแหลมของฟรานเชสก้าที่ชะโงกหน้าออกไปตะโกนนอกรถตู้ทำเอาผมกับพวกแฝดถึงกับแอบสะดุ้ง
“นายจะร่ำลาแมวนั่นอีกนานไหม? มาขึ้นรถได้แล้ว! เร็วๆ เข้า !!”
เสียงหัวเราะชอบใจของเด็ฟป์ดังมาจากเบาะทางด้านหลัง
ขณะที่เจ้าของชื่อเหลือบมามองทางต้นเสียงเพียงเล็กน้อย
ก่อนจะลูบหัวแมวหน้าไหม้ตัวโปรดอีกสองสามทีแล้วส่งให้ลุงพ่อบ้านอุ้มต่อ จากนั้นจึงเดินนวยนาดมาทางพวกเราอย่างไม่คิดจะรีบร้อน
ราวกับว่ามีเวลาให้เดินทั้งชีวิตยังไงยังงั้น..
ตอนตื่นมาอาการคุณซอลยังไม่หนักขนาดนี้นะ
แต่ตอนที่เรากำลังนั่งทานมื้อเช้ากัน อยู่ดีๆ
เด็ฟป์กับขนหน้าอกดกดำของเขาก็โผล่มาร่วมโต๊ะอาหารโดยไม่มีใครเชื้อเชิญ ได้ยินว่าเด็ฟป์รู้จากคุณซอลว่าวันนี้พวกเราจะไป
อัลตัน ทาวเวอร์ส กัน เจ้าตัวเห็นว่าน่าสนุกก็เลยอยากจะไปด้วย
..แล้วก็เลยโผล่มาอย่างที่เห็น
ทำเอาคนเป็นเจ้าของบ้านอย่างคุณซอลแทบจะไล่เตะออกจากบ้าน
โทษฐานเสนอหน้ามาโดยไม่ขออนุญาตก่อน
ผมเพิ่งจะรู้ว่าจริงๆ แล้วนายเด็ฟป์คนนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของคุณซอลเหมือนกัน
ทั้งคู่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เข้าวงการมาพร้อมๆ กัน
แม้จะอยู่คนละสังกัดแต่เพราะงานเลยทำให้ได้เจอกันบ่อย และสนิทกันในที่สุด
เด็ฟป์เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อก่อนพวกเขาก็หุ่นไล่เลี่ยกันนี่ล่ะ
เลยมักจะได้ร่วมงานกันบ่อยๆ แต่พอเวลาผ่านไป
กล้ามของเด็ฟป์ก็เริ่มใหญ่ขึ้น..ใหญ่ขึ้น..
ขณะที่เอวคุณซอลเริ่มคอดลง..คอดลง..(เขาเล่าอย่างกับว่ามันเป็นคำสาปงั้นล่ะ)
ลักษณะการรับงานของทั้งคู่ก็เลยค่อยๆ แตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้ก็แทบจะไม่ได้ร่วมงานกันเลย
แต่พวกเขาก็ยังเจอกันตามงานสังสรรค์อยู่เนืองๆ
และยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ ..อย่างน้อยก็ก่อนมื้อเช้าที่ผ่านมาล่ะ
แต่เด็ฟป์คนเดียวดูเหมือนจะยังทำให้คุณซอลอารมณ์เสียไม่พอ
เพราะหลังจบมื้อเช้า ฟรานเชสก้าหรือแฟร้งก์ก็โทรมาบอกว่าอย่าเพิ่งรีบออกจากบ้าน
ให้รอเธอก่อน.. ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีงานให้ต้องตามไปเฝ้าคุณซอลที่ไหนแล้ว เธอขอไปเที่ยวสวนสนุกด้วยคนแล้วกัน
และหลังจากนั้นไม่เกินยี่สิบนาทีเธอก็มาปรากฏตัวที่บ้านแอนเดอร์สันในช่วงเวลาเดียวกับที่มิคุนิมาถึงพอดี
สิริรวมทริปนี้มีกันทั้งสิ้น 9 ชีวิต ..ไม่ขาดไม่เกิน
หือ.. นับได้แค่ 7 งั้นเหรอ? แล้วเพิ่มมาจากไหนอีก 2 คน?
อ้อ จีนกับเอลลี่ก็ไปด้วยน่ะ
ตอนช่วยกันเตรียมเสบียงเมื่อเช้า เห็นท่าทางพวกเธออยากไปมากแต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอ
ผมก็เลยลองไปช่วยพูดกับลุงพ่อบ้านให้ ลุงแกบอกว่าถ้าคุณซอลให้ไป ลุงแกก็จะอนุญาต
ทีนี้ผมก็เลยไปขอคุณซอลบ้าง เขาก็พยักหน้าให้ง่ายๆ แต่...แบบไร้อารมณ์จะเอ่ยน่ะ
ตอนนี้พวกเราทั้งหมด(ยกเว้นคุณซอล)จึงเตรียมพร้อมอยู่ในรถตู้โฟล์คสวาเกนของบ้านแอนเดอร์สัน
ซึ่งมีซินเซียร์เป็นคนขับ ชันชายน์นั่งเบาะข้างคนขับ ในโซนผู้โดยสาร แถวหน้ามีผม
ส่วนที่นั่งว่างข้างผมนี้เป็นของคุณซอล แถวถัดไป
มิคุนินั่งกับแฟร้งก์ ถัดไปอีกแถวเป็นเด็ฟป์ และหลังสุดเป็นสองเมดสาว ราวนี้แหล่ะ
ในที่สุด..
คุณซอลฟาผู้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่อยากร่วมทริปนี้ที่สุดในสามโลกก็เข้ามาประจำที่ได้สักที
“เดินทางปลอดภัยและเที่ยวให้สนุกกันนะครับ” ลุงพ่อบ้านอุ้มแสงดาวมาอวยพรส่งพร้อมทั้งปิดประตูรถให้เรียบร้อย
“ไม่อยากไปขนาดนั้นเลยเหรอคุณ?” ผมเอ่ยถามคนข้างกายจังหวะเดียวกับที่รถเริ่มเคลื่อนตัวพอดี
“ผมไม่เข้าใจ คุณหัวลูกชิ้น..
ทำไมเราไม่ไปกันแค่สองคน? ทำไมไม่ใช่สองคน?” คุณซอลเอียงตัวมากระซิบเสียงเขียวกับผม
อาการย้ำคิดย้ำทำพูดซ้ำสองรอบของเขากำเริบอีกแล้ว
“ผมชื่อยู..” ผมพูดพลางหันไปรื้อค้นตะกร้าเสบียง
“ก็เพราะมีคนอีกเจ็ดคนอยากไปกับเราไงล่ะ”
คุณซอลส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์
ผมคว้าได้ของที่ต้องการแล้วหันไปยิ้มให้กำลังใจเขา
“เอาน่า.. หลายๆ คนก็น่าสนุกดีออก คุณอย่าทำหน้าเครียดงั้นสิ
เดี๋ยวตีนกาขึ้นแล้วไม่สวยนา”
“ไม่ตลกสักนิด.. แล้วนั่นจะทำอะไรน่ะ?” เขาพยักพเยิดมาที่เข็มโครเชต์กับก้อไหมในมือผม
“อ๋อ ผมเอามาถักฆ่าเวลาน่ะ
เห็นน้องคุณบอกว่าต้องใช้เวลาตั้งสองชั่วโมงกว่าจะถึงอัลตัน ถ้าให้นั่งเฉยๆ
ผมต้องหลับแน่เลย ก็เลยเอาไอ้นี่มาทำไปพลางๆ ดีกว่า” ผมชูผลงานที่เริ่มได้สักยี่สิบแถวแล้วให้เขาดู
“เป็นไง ฝีมือผมดีใช่ไหม?
ผมได้ทำงานชิ้นใหญ่ขึ้นแล้วนะ”
“มันคืออะไร?” คุณซอลเอามือมาลูบๆ คลำๆ
ดูด้วยความสงสัย
“ผ้าปูโต๊ะในห้องนั่งเล่นน่ะ”
โต๊ะในห้องนั่งเล่นเป็นโต๊ะกระจก ไม่ใช่โต๊ะที่ใหญ่อะไรมากมาย
แต่ก็ถือว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับมือใหม่หัดถักอย่างผม
ไม่รู้ว่าจะทำให้เสร็จก่อนกลับเมืองไทยได้หรือเปล่า?
เพราะไหมที่ใช้เส้นเล็กมากทีเดียว และลายก็ค่อนข้างยากพอตัว
แต่ผมก็ให้สัญญากับลุงพ่อบ้านไปแล้วว่าจะทำอย่างสุดฝีมือ
ที่เหลือก็คงแล้วแต่บุญกรรม
จังหวะที่คุณซอลอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร จู่ๆ
รถที่เพิ่งจะเลี้ยวออกมาพ้นรั้วบ้านได้ไม่ทันไรก็เบรกกะทันหัน
ทำเอาผู้โดยสารทั้งหัวทองหัวดำหัวทิ่มไปตามๆ กัน
“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงพึมพำมึนงงดังมาจากทุกสารทิศในรถ
ปัง ปัง ปัง..
เสียงทุบประตูรถดังมาจากด้านนอก ซินกดปุ่มปลดล็อค
ประตูถูกกระชากเปิดออก เผยให้เห็นผู้ชายหน้าคุ้นๆ หุ่นเฟิร์มๆ
และเป้ใบเล็กจิ๋วซึ่งไม่ บาลานซ์กับมวลร่างกายเอาซะเลย
“เจเรมี่?!” มีอย่างน้อยสองเสียงที่อุทาน
อ้อ ไม่มีเสียงผมหรอก
แต่ผมนึกออกแล้วว่าหมอนี่เป็นใคร เจ้านายแบบขี้ตีสนิทที่เคยเจอที่ ซัมเมอร์เซต
เฮาส์ ไงล่ะ
เจ้าของชื่อยิ้มแฉ่งทั้งที่ยังหอบไม่หาย มือหนึ่งเกาะประตูรถเพื่อพยุงตัวไว้
อีกมือยกทักทายทุกคน “โย่!”
“นายเป็นใครเนี่ย? ไปให้พ้นเลยนะ!” คุณซอลเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ..แถมยังเป็นปฏิกิริยาที่ค่อนข้างจะก้าวร้าวราวกับทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วด้วยสิ
เขาพุ่งตัวไปดึงประตูรถหวังจะปิด(ตาย) แต่อีกฝ่ายก็ไวพอที่จะยื้อเอาไว้เต็มที่
ต่างฝ่ายจึงต่างออกแรงแข่งกันแบบไม่มีใครคิดยอมใคร
“เฮ้ย! ออโรร่า พี่อย่าพูดอะไรเย็นชาแบบนั้นสิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายก็มาด้วยงั้นเหรอ เจเรมี่?” เสียงเด็ฟป์หัวเราะสบายอกสบายใจมาจากด้านหลัง
“ก็ตอนได้ยินพี่พูดทางโทรศัพท์เมื่อคืนมันน่าสนุกดีนี่นา
ผมก็อยากขึ้นรถไฟเหาะเหมือนกัน ไม่ได้ขึ้นมานานแล้ว” เจเรมี่ผู้มีความสามารถ
แม้จะออกแรงปะทะกับคุณซอลผู้กริ้วโกรธอยู่ แต่ก็ยังพูดจาได้ดีไม่มีติดขัด
นอกจากนั้นก็ยังมีกะจิตกะใจทักทายผู้โดยสารคนอื่นๆ
ด้วย
“ไง มิคุนิ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ
ได้ยินว่าคุณมาลอนดอนคราวนี้เพราะธุรกิจของครอบครัวงั้นเหรอ? ..เฮ้ แฟร้งค์
คุณนี่ดูดีทุกวันเลยนะ แต่ทำไมถึงหาแฟนไม่ได้สักทีล่ะ? ..สวัสดีครับสาวๆ ข้างหลัง
ผมชื่อเจเรมี่นะ ..โย่ พวกนายสองคนคงเป็นน้องแฝดของออโรร่าสินะ
พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรกใช่ไหม? ผมเจเรมี่ ยินดีที่ได้รู้จัก ..ไง ยูริ
จำผมได้หรือเปล่า? เราเจอกันที่งานของวาเลนติโนไง นั่นล่ะๆ จำได้ใช่ไหม?
งั้นช่วยบอกป๋าคุณให้เลิกบ้าพลังสักทีเถอะ ผมกำลังจะหมดแรงแล้ว”
“อะไรกันเจเรมี่ แค่สวีทซอลคนเดียวยังเอาไม่ไหว
ใช้ไม่ได้จริงๆ เลยเจ้าหนูนี่” เด็ฟป์ยังคงความสบายใจอย่างต่อเนื่อง
“พี่ก็อย่าเอาแต่นั่งดู ลุกมาช่วยผมหน่อยเถอะ”
“ตัวใครตัวมันเว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า”
“พอเถอะน่า คุณซอล”
ผมสะกิดหลังคนที่กำลังโมโหเบาๆ “ในนี้ก็มีตั้งเก้าแล้ว เพิ่มมาอีกสักคนคงไม่แตกต่างเท่าไหร่หรอก
..นะ?”
คุณซอลหันมองผมสลับกับคู่กรณีอย่างชั่งใจ
ก่อนจะยอมปล่อยแบบฉับพลันจนอีกคนที่ยังไม่ทันตั้งตัวถึงกับเลื่อนไถลไปพร้อมประตู
แล้วเสียหลักล้มก้นจำเบ้ากับพื้นถนน
“นายต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ คุณหัวลูกชิ้น
..นายต้องรับผิดชอบ” คุณซอลหันมากระซิบใส่หูผม
ทั้งน้ำเสียงทั้งแววตาเล่นเอาคนถูกข่มขู่อย่างผมน้ำลายฝืดคอ
“ผมชื่อยู..”
ว่าแต่ผมจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยจนได้กลับมาเห็นบ้านแอนเดอร์สันอีกรอบไหมล่ะเนี่ย?
..ซวยแล้ว ไอ้ยู
ในที่สุดเจเรมี่ก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะทัวร์
หมอนั่นเดินยิ้มร่าไปนั่งคู่กับเด็ฟป์ ท่าทางสบายใจไร้กังวล ขณะที่คนช่วยไกล่เกลี่ยอย่างผมต้องทนกับความรู้สึกหนาวๆ
ร้อนๆ เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปตลอดทาง
สิริรวม(อีกที) ทริปนี้ก็มีกันทั้งสิ้น 10 ชีวิต..
ช่างเป็นเดทแรกที่เริ่มต้นได้อย่างอบอุ่น จนถึงขั้นระอุเลยทีเดียวเชียว
ยิ่งใกล้จะถึงสวนสนุกมากเท่าไหร่
ถนนที่พวกเราใช้ก็ยิ่งห่างไกลจากถนนสายหลักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เหลือเพียงถนนเส้นเดี่ยวที่มีแค่สองเลนให้รถวิ่งสวนกัน
ราวกับเป็นถนนเข้าหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไหนสักแห่ง
แล้วสองข้างทางที่ผมเห็นก็มีแต่ฟาร์มวัว ไม่ก็ฟาร์มม้า
บางจังหวะวิวข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่หนาทึบ
จนผมชักไม่แน่ใจว่าปลายทางที่เรากำลังจะไปถึงนี่มันเป็น Theme Park หรือ National
Park กันแน่?
แต่เส้นทางที่ว่ามานี่ก็ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“วู้~ ถึงสักที” เสียงใครสักคนร้องขึ้นทันทีที่รถจอดสนิท
ทุกคนทยอยลงจากรถตู้มายืนสูดอากาศอันแสนสดชื่นรื่นรมย์ซึ่งหาไม่ได้จากใจกลางกรุงลอนดอนที่เราจากมา
แน่นอนว่ามีอยู่คนหนึ่งซึ่งดูยังไงก็ไม่สดชื่นเอาซะเลยจริงๆ
“นี่คุณ เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสักทีเถอะน่า
อุตส่าห์มาถึงสวนสนุกทั้งที ทำหน้าให้มันเข้ากะบรรยากาศหน่อยสิ”
แม้ผมจะพยายามยิ้มนำจนปากแทบฉีกถึงหู
คุณซอลก็ดูจะไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย เห็นแบบนั้นผมก็เลยตัดใจ
คิดว่าพอได้เข้าไปเจอบรรยากาศสนุกสนานภายในเขาคงจะดีขึ้นเอง.. มั้ง
คิดได้ดังนั้นผมจึงเลิกกังวลแล้วเข้าไปช่วยเอลลี่หิ้วตะกร้าเสบียง
แต่ยังไม่ทันจะรับมาถือได้เต็มมือ มิคุนิก็แย่งไปถือหน้าตาเฉย
“ขืนให้คนซื่อบื้ออย่างนายถือ
ผมกลัวว่าจะไม่ได้กินดี...เฮ้ อะไรของคุณ?!” มิคุนิยังพูดแดกดันผมไม่จบคำดี
แขนล่ำอันมีขนรึ่มของเด็ฟป์ก็มาฉกฉวยตะกร้าไปจากมือหมอนั่นอีกทอด
“ให้ฉันถือดีกว่า
มันเป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษสุดหล่ออยู่แล้ว” เด็ฟป์ขยิบตาให้ ก่อนหมุนตัวเดินตามพวกแฝดไป
ทิ้งสายตาไม่ค่อยพอใจของมิคุนิเอาไว้ข้างหลัง
ผมกับเอลลี่มองหน้ากันแล้วยักไหล่ จากนั้นจึงหันไปสนใจตะกร้าอีกใบในมือจีนบ้าง
“จีน.. ขอตะกร้านั่นให้ผมนะ”
“เอามาให้ผมเถอะ” คราวนี้มิคุนิยื่นมือไปรับตะกร้าจากจีนตัดหน้าผมเลย
แต่ยังจับได้ไม่ทันมั่นมือ
ใครอีกคนก็มาฉกมันไปจากมือของหมอนั่นอีก
“ให้ผมช่วยนะ พี่ชาย” เจเรมี่ยิ้มแฉ่งใส่ตาอันมีแต่แววขุ่นเคืองของมิคุนิ
ก่อนยกตะกร้าวางบนบ่า เดินผิวปากจากไปอย่างอารมณ์ดี
“ทริปนี้มีแต่คนใจดีแฮะ” แว่วเสียงเอลลี่พึมพำเบาๆ ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“มีอะไรให้ช่วยถืออีกไหม?” มิคุนิมองหน้าสองเมดสาวสลับกัน
พวกเธอส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เหลือแค่คนนี้แล้วล่ะค่ะ” จีนพูดยิ้มๆ พลางบีบไหล่ซ้ายผม
“สนใจจะหิ้วไปไหมล่ะคะ?” เอลลี่พูดกลั้วหัวเราะ เธอบีบไหล่ขวาผมบ้าง
“ผมไม่ขัดข้องนะ” ผมนึกสนุกก็เลยรับมุขพวกเธอซะเลย “ว่าไง?”
“ใครเขาจะอยากได้เจ้าบื้ออย่างนายกัน?”
มิกุมิกุผู้มากด้วยน้ำใจแต่ไร้โอกาสได้แสดงออกมองผมด้วยสายตาทิ่มแทง
ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปแบบมือเปล่า
สองสาวหัวเราะคิกคัก
จากนั้นจึงจูงมือกันวิ่งไปยังประตูทางเข้าด้วยท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ ซึ่งตอนนี้ผมเองก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้เล่นบ้างนะ
“โอ๊ยยย!!”
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวตามไป
ระเบิดมะเหงกลูกใหญ่ก็ถูกทิ้งลงกลางหัวโล้นๆ ของผม
เล่นเอาเผลอร้องเสียงหลงด้วยความตกใจผสมเจ็บปวด
“ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย? ผมเจ็บนะ..” ผมยกมือถูหัวพลางตวัดสายตาไปมองคนที่ยืนหน้านิ่งหัวทองอยู่ข้างหลัง
ว่าแต่เขายังอยู่อีกเหรอเนี่ย? นึกว่าเดินไปพร้อมพวกแฝดแล้วซะอีก
“อย่าเที่ยวเสนอตัวให้ใครหิ้วไปง่ายๆ แบบนั้นสิ
เจ้าบื้อ!” ไม่ว่าเปล่า
แต่เขายังเอานิ้วดีดหน้าผากผมด้วย
“มันก็แค่มุขน่า ทำซีเรียสไปได้”
คราวนี้ผมเลื่อนมือมาถูหน้าผากบ้าง
“ยังไงก็ห้ามทำอีก เข้าใจไหม? เจ้าซุปเปอร์บื้อ!” คุณซอลดีดจมูกผมทิ้งท้ายก่อนตัวเดินไป
โชคดีที่มันโดนแค่เฉี่ยวๆ ตรงปลายจมูก
“คร้าบๆ เข้าใจแล้ว.. ซาดิสม์จริงๆ” ผมรับคำทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลย
แถมยังแอบบ่นอุบอิบด้วย จากนั้นจึงออกเดินตามเขาพลางถูจมูกไปด้วย
ในหัวก็คิดว่าเขาช่างไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย กับเรื่องพูดเล่นแค่นี้ก็..
เอ๊ะ? แต่คิดอีกที..
หรือที่เขาพูดแบบนั้นเพราะเป็นห่วงผม?
“คุณห่วงผมเหรอ?” ผมโพล่งออกไปไวเท่าที่ใจคิด
คุณซอลชะงักกึก เขาหมุนตัวเดินกลับมา..
มาดีดหูผมอีกที
“โอ๊ยย!!”
“ไม่ได้ห่วง แต่หวง!” เขาพูดเสียชัดถ้อยชัดคำเชียว
“อ่า..” ผมคลำหูตัวเองอย่างไม่รู้จะตอบยังไง
มาได้ยินแบบนี้ซึ่งๆ หน้ามันก็...เหมือนจะเขินอยู่หน่อยๆ
แฮะ
แต่เจ็บหูชะมัด..
“ไม่ได้รู้ตัวเลยใช่ไหม?” เขาเท้าเอวมองผมด้วยสีหน้าเอือมระอา
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่.. แต่ตอนนี้รู้แล้วล่ะ” ผมยิ้มแห้งๆ
“รู้แล้วก็ช่วยจำใส่สมองนิ่มๆ ในกะโหลกหนาๆ
ของนายเอาไว้ด้วยล่ะ คุณหัวลูกชิ้นซื่อบื้อ!” เขาจิ้มหน้าผากผมอีกสองทีซ้อน รุนแรงอ่ะ
ฮืม เจ็บปวด..
ไม่ใช่เจ็บปวดเพราะฝีมือของเขาหรอกนะ เจ็บปวดเพราะฝีปากของเขาต่างหาก
ช่างจิกกัดกันได้
“ผมชื่อยู.. อืม แต่เรื่องซื่อบื้อผมคงไม่เถียง” ผมพึมพำคนเดียวขณะเริ่มก้าวเท้าตามเขาอีกรอบ
!..
แต่จู่ๆ ความคิดพิเรนๆ ก็ผุดขึ้นในหัวผม
ผมหยุดเดิน แอบยิ้มกับตัวเองอย่างนึกสนุก จากนั้นก็เริ่มออกวิ่ง กระโดด
และกอดคอเขาเอาไว้จากด้านหลัง ส่วนขาทั้งสองข้างก็ล็อคเอวเขาไว้แน่นกันหล่น เขาเซไปข้างหน้าหลายก้าวกว่าจะตั้งหลักได้มั่นคง
“เล่นบ้าอะไรของนายเนี่ย?!” เขาตวาดเบาๆ หลังจากตั้งสติได้ “เกิดล้มคว่ำหน้าแตกไปทำไง?
ต้องใช้ทำมาหากินด้วย”
ผมเกยคางไว้ที่ไหล่เขา ไม่ได้ตอบโต้อะไร
แต่หัวเราะสบายใจแทน
“หนัก.. ลงไปเดี๋ยวนี้เลย” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขากลับประสานมือไว้ใต้ก้นผม
แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง
“จริงๆ แล้วคุณก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย” ผมพูดอย่างอารมณ์ดี
“เพราะนายเริ่มหลงรักผมแล้วล่ะสิ” คุณซอลหัวเราะลงคอ
ดูเหมือนเขาเองก็จะอารมณ์ดีขึ้นแล้วเช่นกัน
“คงงั้น.. จะรับผิดชอบไหม?”
“ก็กำลังทำอยู่นี่ไง”
“ช้า!!”
พอมาถึงหน้าประตู แฝดที่ยืนหน้าหงิกอยู่ก็พูดขึ้นพร้อมกัน
“เห็นไหมว่าคนอื่นเขาเข้าไปกันหมดแล้วเนี่ย?” ซันชายน์พยักพเยิดไปทางประตู
ลูกทัวร์คนอื่นๆ ในกลุ่มเราหายเข้าไปข้างในกันหมดแล้ว
“มัวแต่สวีทกันอยู่นั่นแหล่ะ เห็นแล้วขนลุกชะมัด”
ซินเซียร์ทำหน้าสยองพลางลูบขนแขนของตัวเอง
“หุบปากน่าเจ้าหนูโคลนนิ่ง รู้หรือเปล่าว่าพวกนายกำลังพูดอยู่กับใคร?”
คุณซอลปล่อยผมลงจากหลัง แล้วควักกระเป๋าตังค์ออกมาโบกต่อหน้าแฝด
“ครับ คุณพี่ครับ งั้นเชิญที่เคาน์เตอร์เลยครับ อย่าลืมจ่ายส่วนของพวกเราด้วยนะครับ
ขอบพระคุณครับ” ซินรีบเปลี่ยนท่าทางเป็นนอบน้อมทันที
ทั้งคนเป็นพี่และคนเป็นน้องได้แต่ส่ายหัวเอือมระอา
สรุปแล้วแฝดก็ไม่ได้มีแผนการร้ายอย่างที่คุณซอลเคยระแวงสงสัยก่อนหน้านี้
เพราะหลังจากผ่านเข้าประตูมาข้างในได้โดยไม่ต้องควักเงินตัวเองสักแดง
เจ้าพวกนั้นก็พากันวิ่งหายไปในคลื่นฝูงชนผู้รักความตื่นเต้นทันที.. รวมทั้งคนอื่นๆ
ที่เข้ามาก่อนพวกเราด้วย ทุกคนหายกันไปหมดแล้ว ไม่มีใครสักคนที่คิดจะอยู่รอ
ตอนนี้จึงเหลือแค่ผมกับคุณซอลสองคนเท่านั้น
ตอนแรกผมก็กะจะโทรไปถามใครสักคนอยู่หรอก
แต่คุณซอลบอกว่าไว้ถึงเวลามื้อเที่ยงแล้วค่อยโทรหาทีเดียว
ตอนนี้ทุกคนคงอยากเล่นเครื่องเล่นมากกว่าจะมัวมารอพวกเรา ผมเลยต้องเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋าตามเดิม
“แล้วเรา..จะเริ่มจากตรงไหนกันดี?”
ผมเงยหน้าจากแผนที่ที่ได้รับตอนซื้อตั๋ว
หันมองรอบตัวอย่างไม่รู้จะไปทางไหน ไม่ว่าอะไรก็ดูน่าสนใจไปหมด แถมคนก็เยอะชะมัด สมแล้วที่เป็นสวนสนุกระดับโลก
ตอนเดินเข้ามาผมเห็นสถานีจอดรถไฟฟ้าด้วย
เลยถามเจ้าหน้าที่ว่ารถนั่นมันจะวิ่งไปส่งที่ไหน?
คำตอบคือโรงแรมของสวนสนุกซึ่งอยู่ด้านหลัง
คิดดูเถิดว่ามันใหญ่ขนาดมีโรงแรมตั้งภายในสวนสนุกเลยล่ะ
ประมาณว่าเผื่อถ้าหมดวันแล้วใครยังเดินไม่รอบหรือเล่นเครื่องเล่นไม่ครบก็นอนพักมันที่โรงแรมนี่แหล่ะ
แล้วพรุ่งนี้ค่อยตื่นมาลุยกันต่อ ..แบบนั้นเลย
“อืม นั่นสินะ” คุณซอลพึมพำพลางกวาดตามองรอบๆ อย่างใช้ความคิด
“นายอยากเล่นอะไรก่อนล่ะ?” เขาหันมาถามผม
“ไม่รู้สิ ผมเพิ่งเคยมาครั้งแรก ไม่แน่ใจว่าจะมีอันไหนสนุกบ้าง.. ในฐานะเจ้าถิ่น
คุณก็ช่วยแนะนำหน่อยสิ”
“ผมก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกัน”
“ฮะ?” ผมหันไปมองคนพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ
“ผมไม่ค่อยไฮเปอร์เหมือนพวกแฝดน่ะ
ถ้ามีวันหยุดผมก็ชอบที่จะนอนพักผ่อนอยู่บ้านมากกว่า.. ที่วุ่นวายแบบนี้เลยไม่ค่อยมีอยู่ในจินตนาการของผมเท่าไหร่”
“ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนเลยเหรอ?”
ที่ถามแบบนั้นเพราะผมคิดว่าช่วงวัยนักเรียนมักจะชอบออกไปเที่ยวสนุกมากกว่า
ถ้าคนอย่างเขาจะมาสวนสนุก ก็น่าจะมาในช่วงเวลานั้น ส่วนคนที่ชอบพักผ่อนในวันหยุดส่วนใหญ่แล้วน่าจะเป็นคนวัยทำงาน..
ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมอ่ะนะ
“อืม ตั้งแต่นั้นล่ะ” เขาพยักหน้า
ผมเองก็พยักหน้า
“ฮืม งั้น..”
ผมก้มมองแผนที่ในมืออีกครั้ง พลิกดูด้านหลัง
บนนั้นมีคำแนะนำการเที่ยวสวนสนุกรวมทั้งบอกสถิติเครื่องเล่นที่ชวนหลั่งอะดรีนาลีน 5 อันดับแรกไว้ด้วย
“ไปตามเก็บห้าอันนี้กันไหม? ไหนๆ
ก็อุตส่าห์มาทั้งที ลองอันที่เป็นไฮไลท์ เลยแล้วกัน” ผมชี้รายชื่อพวกนั้นให้คุณซอลดู
“.........” เขาก้มดูรายชื่อเครื่องเล่นในมือผม
สลับกับภาพของเครื่องเล่นบนแผนที่ในมือตัวเอง แล้วทำสีหน้าแบบที่ผมอ่านไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น พับแผนที่เก็บ
แล้วพยักหน้า
“ไปสิ..”
แต่เสียงของเขาฟังดูเบาชอบกล...?
TBC.