วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[นิยาย] hi AURORA chapter 18




hi AURORA







Chapter 18






“..ริ ยูริ!” 

“ฮึ? ฮะ? ครับ?! 

เสียงเรียกที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ หันซ้ายหันขวาหาที่มาก็ไปเจอะสองเมดสาวกำลังหัวเราะคิกคักกันสนุกสนาน

“มีอะไรเหรอ?” ผมถามทั้งสองคนแบบงงๆ

ตอนนี้เราอยู่ในห้องซักรีด จีนกับเอลลี่กำลังรีดผ้า หลังกลับจากร้านกาแฟผมก็เข้ามาช่วยทั้งคู่พับผ้า

“เหม่อไปถึงไหนแล้ว พ่อหนุ่ม?” จีนแซวยิ้มๆ

“ฉันเห็นคุณเอาแต่ถอนหายใจแล้วก็ลูบเสื้อคุณซอลฟาอยู่นั่น คิดถึงมากเลยหรือคะ เพิ่งห่างกันไม่กี่ชั่วโมงเองนะ?” เอลลี่ชี้มาที่มือของผม แล้วก็พากันหัวเราะคิกคักกับจีนต่อ

“อ่า..” ผมก้มมองในมือตัวเอง ก็เห็นว่ามันเป็นเสื้อของคุณซอลจริงๆ

แต่ผมไม่ได้นั่งคิดถึงเขานะ ..เอ้อ ก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่คิดถึงแบบนั้น

ผมกำลังคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเราต่างหาก ผม คุณซอล แล้วก็มิคุนิ ..เฮ้อ คิดแล้วก็ต้องถอนหายใจอีกรอบ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่ทำให้มิคุนิดูเศร้าแบบนั้น แต่ก็ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของหมอนั่นได้เช่นกัน

ไม่มีอะไรที่ผมทำได้สักอย่าง เฮ้อออออ


“เอ้าๆ พื้นทรุดแล้วนั่น เราอยู่บนเกาะกันนะ อย่าถอนหายใจแรงนักสิ”

“น่าๆ เดี๋ยวคุณซอลฟาก็กลับมาแล้ว อย่าเพิ่งร้องไห้” จีนพูดกลั้วหัวเราะ

“ผมไม่ได้ร้องสักหน่อย” ผมปฏิเสธพลางพับเสื้อตัวนั้นเก็บ แล้วหยิบตัวใหม่มาพับต่อ

“ยูริ ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยได้หรือเปล่า?” จีนเกริ่นอย่างเกรงใจ

“อะไรล่ะครับ?” ผมพับผ้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่คิดมาก

ก็ผมไม่ใช่พวกมีความลับต้องบิดบังอยู่แล้วนี่นา ..ยกเว้นเรื่องเมื่อคืน ขอเถอะ พวกคุณเองก็ลืมๆ ไปซะ นึกเสียว่าผมไม่เคยเล่าแล้วกันนะ ได้โปรดล่ะ

“รักคุณซอลฟามากเลยเหรอ?”

“เอ๋?”

“ก็เห็นคุณทำท่าคิดถึงเขาขนาดนั้น” จีนว่ายิ้มๆ แล้วหันไปสบตากับเอลลี่

“ไม่.. เข้าใจผิดแล้ว เมื่อกี๊ผมไม่ได้คิดถึงเขา..ไม่สิ ผมคิดถึงเขานั่นแหล่ะ แต่ไม่ได้คิดถึงในแง่ที่จีนกับเอลลี่เข้าใจหรอก ก็..เอ้อ..เอาเป็นว่าผมมีเรื่องให้ต้องคิดถึงเขานิดหน่อยน่ะ”

“ฉันงงจัง” เอลลี่หันไปพูดกับจีน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ

“อ่า.. ลืมมันไปเถอะ” ผมโบกไม้โบกมือว่าอย่าใส่ใจ เพราะผมเองก็ชักจะงงเหมือนกัน ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ 

“จริงสิ จีน เอลลี่”

“คะ?” พวกเธอขานรับพร้อมกัน

“คุณว่าเวลาแค่ไม่กี่วันจะทำให้เรารักคนคนหนึ่งได้จริงหรือเปล่า?”

“คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือเปล่าคะ?” แทนที่จะตอบ แต่เอลลี่กลับตั้งคำถาม

“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน” ผมตอบไปตามจริง

ไม่ใช่เชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย

“คุณตากับคุณยายของฉัน ท่านตกหลุมรักกันและกันตั้งแต่วินาทีที่ได้สบตากันครั้งแรก แล้วจากนั้นพวกท่านก็อยู่ด้วยกันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตคุณตา.. เมื่อสองปีก่อนน่ะ” เอลลี่ยิ้มบาง “เวลาไปเยี่ยมคุณยาย ฉันมักจะขอให้ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทุกครั้ง ฉันเองก็อยากจะมีความรักที่โรแมนติกแบบนั้นบ้าง”

“เธอเป็นสาวนักฝันน่ะ” จีนมองเอลลี่ แล้วหันมายักไหล่กับผม“แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร.. ส่วนตัวฉันเชื่อในเรื่องของความผูกพันมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความผูกพันจะเกิดขึ้นไม่ได้ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่วันนะ ไม่ต้องไปฝืนหรือคิดมากหรอกค่ะ ถ้ารู้สึกว่ารัก นั่นก็คือรักแล้วล่ะ ระยะเวลามันอาจมีผลต่อความรู้สึกก็จริง แต่มันวัดความรู้สึกไม่ได้หรอก”

“อ่า อย่างนั้นเหรอ” ผมครางรับรู้พลางทบทวนสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากสองสาว

“คุณคิดอะไรอยู่เหรอคะ?” เอลลี่ถามผม

“ผมแค่คิดว่า.. ความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณซอล จริงๆ แล้วมันคือความรัก หรือแค่หวั่นไหวเพราะความใกล้ชิดกันแน่? แล้วถ้าเราห่างกัน..”

“โลกเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คนเราก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นกัน ฉันแค่จะบอกคุณว่า มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะ วันนี้รัก พรุ่งนี้อาจจะไม่รักแล้วก็ได้ กลับกัน ถ้าวันนี้ยังไม่แน่ใจว่ารัก พรุ่งนี้อาจจะรักมากก็ได้ ใครจะรู้ ถ้าคุณมัวแต่กังวลเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น คุณก็จะมีความสุขกับปัจจุบันได้ไม่เต็มที่นะคะ”  จีนว่า

“แถมช่วงเวลาแห่งความสุขก็มักจะผ่านไปเร็วเสมอด้วย” เอลลี่พูดพลางพยักหน้าหงึกหงัก

“.........” ผมเองก็พยักหน้าเช่นกัน..

นั่นสินะ ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ

“เอ้อ แล้วจีนกับเอลลี่ไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอที่ผมกับคุณซอลเรา..เอ่อ..เราเป็นผู้ชายทั้งคู่น่ะ” 

“เอ๋ ไม่นี่ พวกคุณสองคนดูเป็นธรรมชาติออก” จีนตอบพลางเลิกคิ้ว “เพิ่งจะมานึกกังวลตอนนี้มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอ? จนป่านนี้แล้วแท้ๆ”

“นั่นน่ะสิ” ผมพึมพำยอมรับ

เออนะ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยคิด?

คงเพราะท่าทางเป็นมิตรและเป็นธรรมชาติมากๆ ของสองคนนี้ล่ะมั้ง

“เวลาพวกคุณหยอกล้อกันดูน่ารักดีนะ ฉันเห็นแล้วยังรู้สึกอยากมีแฟนบ้างเลย” เอลลี่ว่า

“งะ..งั้นเหรอ?” ชักจะเขินแฮะ..

“แล้วครอบครัวคุณซอลเขาจะคิดเหมือนจีนกับเอลลี่ไหมนะ?” ผมพึมพำกับตัวเอง แต่มันก็คงดังพอให้อีกสองคนได้ยิน จึงมีเสียงตอบกลับมา

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณซอลฟาเขาประกาศตัวชัดเจนว่าไม่สนใจผู้หญิงคนไหนในโลกนี้มาตั้งนานแล้ว” เอลลี่หัวเราะคิกคัก

“ส่วนมาดามเธอก็ไม่สนใจหรอกว่าลูกชายเธอจะคบกับใคร ตราบใดที่มันไม่ทำให้เสียการเสียงานน่ะ” จีนช่วยเสริม

“แล้วพ่อเลี้ยงกับพ่อแท้ๆ ของเขาล่ะ?”

ดูเหมือนความอยากรู้ของผมจะยังไม่สิ้นสุด

“มิสเตอร์มาร์ตินเป็นคนใจดีมากค่ะ และฉันเชื่อว่าเขาจะใจดีกับคุณเช่นกัน ส่วนมิสเตอร์มัชชิม่าก็อย่างที่ฉันเคยบอกว่าเขาเป็นคนแปลกๆ ฉันไม่คิดว่าเขาจะเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นักหรอก”

“แหม นี่ถ้าคุณซอลฟามาได้ยิน เขาคงจะดีใจมากนะคะที่คุณดูจะเป็นห่วงเกี่ยวกับครอบครัวเขาขนาดนี้”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก..” ผมพูดเบาๆ

“มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่นี่แล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้คู่รักชาวเกย์ทั้งชายทั้งหญิงก็สามารถจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฏหมายได้แล้ว”

“อ้อ ผมเคยได้ยินเหมือนกันว่าที่นี่สามารถทำแบบนั้นได้”

“งั้นก็พยายามเข้านะคะ” จู่ๆ จีนก็มาตบบ่าผม

“...?...” ผมมองอีกฝ่ายตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ

“ทำให้คุณซอลฟาขอแต่งงานให้ได้” เอลลี่ยกนิ้วโป้งให้ผม

“สู้ๆ!! สองสาวชูกำปั้นพร้อมประสานเสียงกัน ก่อนจะหัวเราะดังลั่นอย่างชอบอกชอบใจ


“เอ๊ะ มีเสียงรถเข้ามา” เอลลี่เป็นคนแรกที่ได้ยินขณะที่เราทำงานกันเกือบเสร็จพอดี

พอเราออกมาหน้าบ้านก็เห็นรถสองคันขับตามกันเข้ามา คันแรกเป็นรถของคุณซอล ส่วนคันที่สองเป็นรถของบ้านที่ลุงพ่อบ้านใช้ประจำ แต่คนที่ลงจากรถคันนั้นกลับไม่ได้มีแค่ลุงพ่อบ้านคนเดียว มีผู้ชายอายุไล่เลี่ยกับพ่อบ้านคนหนึ่ง และผู้หญิงอีกคนหนึ่ง

“มิสเตอร์มาร์ตินกับมาดาม” จีนกระซิบที่ข้างหูผม ก่อนจะรีบวิ่งตามเอลลี่ลงไปช่วยยกกระเป๋าของเจ้านายทั้งสองคน

ส่วนผมก็เดินตามไปช้าๆ ออกอาการประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ เพิ่งจะพูดถึงไปหยกๆ ไม่คิดว่าจู่ๆ ก็จะโผล่มาให้เจอเลย

ตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ย

“คุณหัวลูกชิ้น” ผมเบนเท้าไปหาคุณซอลที่ก้าวขึ้นบันไดหน้ามุขมาหาผม

“ผมชื่อยู.. นั่นคุณแม่คุณ?” ผมถามเบาๆ ถึงคนที่กำลังเดินขึ้นมาเช่นกัน

“อืม ว่าไงคุณแสงดาว” คุณซอลก้มลงไปอุ้มแมวหน้าไหม้(ล่าสุดมีไข่ด้วย)ที่ออกมาต้อนรับอย่างออดอ้อนเหมือนทุกที ก่อนหันมาแนะนำแม่กับพ่อเลี้ยงที่มาหยุดยืนหน้าพวกเราให้ผมรู้จัก 

“นี่ริต้า แม่ผม ส่วนนั่นก็มาร์ติน พ่อเลี้ยงผม”

“อ่ะ..เอ่อ..สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทั้งสองคนอย่างไม่แน่ใจนัก

คือผมไม่รู้ควรจะไหว้หรือยื่นมืออกไปจับดีน่ะ ก็เลยงกๆ เงิ่นๆ พอสมควร แต่สุดท้ายก็ไหว้ไปนั่นล่ะ แถมยังพูดเป็นภาษาไทยด้วย ก็คุณซอลเขาพูดเป็นภาษาไทยนำมานี่นา ปากผมก็เลยพูดตามไปโดยอัตโนมัติ

ว่าแต่เขาจะเข้าใจหรือเปล่า? หน้าตาฝรั่งจ๋าทั้งคู่เลยนี่นา

แล้วแม่คุณซอลก็นะ อย่างกับได้เห็นคุณซอลภาคอนาคตงั้นแหล่ะ เหมือนกันจนน่าตกใจจริงๆ ไม่เห็นจะมีเค้าของฝาแฝดคู่นั้นอยู่เลยสักนิด

“สวัสดีครับ” เป็นมิสเตอร์มาร์ติน ฝรั่งแท้ๆ ที่รับไหว้เป็นภาษาไทยแบบไม่ค่อยชัดก่อน ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่ใจดีอย่างที่จีนกับเอลลี่เคยว่าไว้

“สวัสดีจ้ะ” แม่ของคุณซอลยิ้มฝืดๆ ท่าทางดูเหนื่อยๆ

ไม่ก็คงกำลังอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่..ล่ะมั้ง

“ส่วนนี่ ยูริของผม” คุณซอลแนะนำผมกับทั้งสองคนยิ้มๆ

ผมอดแอบสังเกตปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ไม่ได้ คุณมาร์ตินยังคงยิ้มใจดีเหมือนเดิม ขณะที่มาดามริต้าเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ยูริ” คุณมาร์ตินทักเป็นภาษาถิ่นเขา

“เช่นกันครับ คุณแอนเดอร์สัน” ผมค้อมหัวลงนิดหน่อย

“เรียกผมว่า มาร์ติน เหมือนซอลลี่ดีกว่า เรียกนามสกุลมันฟังห่างเหินไป”

“ครับ คุณมาร์ติน”

“อืม ไว้ค่อยคุยกันเถอะ กลับมาเหนื่อยๆ ฉันอยากพักผ่อน คุณก็ด้วยที่รัก” มาดามริต้าเอ่ยตัทบท ทำผมรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“นั่นสินะ เดี๋ยวเราขอตัวก่อนดีกว่า ไว้ค่อยคุยกันนะ ยูริ” คุณมาร์ตินลา

“ครับ”

“เอ้อ.. จริงสิ” ขณะที่กำลังจะเดินพ้นไป จู่ๆ มาดามริต้าก็ชะงักเท้า หันมาพูดภาษาไทยสำเนียงแปร่งเล็กน้อยกับผม “เธอสินะที่ทิ้งรอยไว้บนตัวซอลลี่ คราวหน้าคราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ ลูกก็เหมือนกันซอลลี่ ถ้ารู้ตัวว่าต้องออกไปทำงานก็อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก”

“ขอโทษครับ..” ผมเอ่ยเสียงแผ่ว

แต่มาดามไม่ได้อยู่รอฟังแต่อย่างใด เดินเข้าบ้านฉับๆ ไม่มีเหลียวหลังอีก

นี่ผม..ถูกเกลียดขี้หน้าเข้าแล้วหรือเปล่า? 

“คุณหัวลูกชิ้น?” เสียงเรียกกับมือที่มาแตะทำให้ผมหันไปมองคนข้างๆ

“ผมชื่อยู”

“ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก” เขาบอกพร้อมบีบไหล่ผม

“แต่นั่นแม่คุณนะ?”

“นายแคร์เหรอ?”

“แคร์สิ ก็นั่นแม่คุณ.. คุณโดนดุมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม? ผมขอโทษนะ”

“อ่ะ!” ผมเบิกตาโตเมื่อจู่ๆ ก็ถูกอีกคนขโมยหอมแก้มดื้อๆ

จากนั้นเขาก็หัวเราะชอบใจอะไรสักอย่างเบาๆ ก่อนจะคว้าคอผมกอดเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน

“น่ารักจริงๆ คุณหัวลูกชิ้นของผม”  เขาพูดอย่างอารมณ์ดี แต่..

“บอกว่าชื่อยู.. เมื่อกี๊คุณยังแนะนำกับพ่อแม่คุณว่า ยูริของผม อยู่เลย”

“งั้นยูริจังของผม”

“รู้ไหมว่าไอ้คนที่เรียกผมแบบนี้คนสุดท้ายมันไปไหนแล้ว?” 

อย่าให้ต้องสาธยายชะตากรรมแต่ละครที่อาจหาญเรียกผมแบบนั้นนะ 

“ไปไหนเหรอ?” หน้าถามหน้าใสซื่อ

“ไปเก็บของเตรียมกลับนิวยอร์ก..” เพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าคนล่าสุดที่เรียกผมแบบนั้นคือ มิคุนิ หรือ มิกุมิกุ คนนั้น

“ยู..” ท่าทางที่ซึมไปของผมทำให้คุณซอลค่อยๆ หุบยิ้มลง

เขาหยุดเดิน หันมาเผชิญหน้ากับผม เราจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง

“มิคุมาหาเหรอ?” เป็นเขาที่เปิดปากก่อน

“ครับ” ผมหลุบตาลงพื้น เห็นคุณซอลก้มลง ปล่อยแสงดาวลงพื้น แล้วเท้าของเขาก็ขยับมาใกล้เท้าผม ผมรู้สึกถึงมือของเขาที่วางลงบนหัว

“คุยกันแล้วใช่ไหม?”

“ครับ..”

“มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นนายที่ตอบรับความรู้สึกของหมอนั่นไม่ได้ หรือเป็นหมอนั่นที่เกิดความรู้สึกแบบนั้นกับนาย เรื่องแบบนี้มันห้ามกันได้เสียเมื่อไหร่.. เพียงแต่เราควรจะรู้ตัว ว่าจุดที่ควรยืนของเราอยู่ตรงไหน” 

“คุณซอล..”

เขาขยับเข้ามาโอบผมทั้งตัว กระซิบบอกข้างหู 

“อย่าทำเหมือนนายกำลังสับสนแบบนี้ มันทำให้ผมหวั่นไหว ..รู้ไหม?”

“ขอโทษครับ” ผมโอบตอบเขา

เขากระชับอ้อมกอดแน่นๆ ก่อนจะผละออก

“วันนี้นายพูดขอโทษมาสามครั้งแล้วนะ ไม่เอาอีกแล้วนะ” เขาจับหัวผมโคลงไปมาพลางยิ้มให้ “ส่วนเรื่องริต้าก็ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวกลับลงมาอีกทีก็อารมณ์ดีแล้วล่ะ”

“จริงเหรอครับ?”

“ไม่เชื่อคอยดูสิ” คุณซอลยักคิ้วให้ ก่อนก้มลงไปอุ้มแสงดาวที่ยังแก่วรอไม่ไปไหน “อ้อ.. ริต้าชอบพวกอาหารอีสานน่ะ”

“ครับ?”

“อาหารอีสาน” คนพูดขยิบตาให้อีกทีก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนอีกคน

“อาหารอีสานเหรอ.. อืม”





 
“โห คุณพ่อบ้านซื้อวัตถุดิบพวกนี้มาจากไหนเหรอครับ?” 

ผมกะจะเข้าครัวมาถามลุงพ่อบ้านว่าพอจะหาวัตถุดิบมาทำอาหารอีสานได้บ้างไหม แต่ก็ต้องอึ้งทึ่งกับเหล่าวัตถุดิบที่ไม่น่าจะหาได้ง่ายๆ ในเกาะอังกฤษที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเตรียมอาหารพวกนี้

“ผมไปขอแบ่งซื้อมาจากร้านอาหารไทยที่คุ้นเคยกันน่ะครับ” คำตอบของลุงพ่อบ้านทำให้ผมกระจ่างทันที

“แล้วนี่คุณพ่อบ้านจะทำอะไรมั่งล่ะครับ เดี๋ยวผมเป็นลูกมือให้” ผมเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น    

“ผมไม่ทำหรอกครับ” ลุงแกพูดยิ้มๆ ทำผมงงเป็นไก่ตาแตก

ไม่ทำแล้วจะซื้อมาทำไมล่ะ?

“แล้วนั่น..?” ผมชี้ไปที่เหล่าวัตถุดิบ

“ผมจะซื้อมาให้คุณทำนั่นแหล่ะ ผมทำเป็นซะที่ไหนล่ะครับอาจารย์ คุณยังไม่เคยสอนผมทำอาหารประเภทนี้เลยนี่นา” ลุงพ่อบ้านยิ้มล้อเลียนจนผมรู้สึกเก้อไปเล็กน้อย

“เอ้อ.. งั้นจะให้ทำเมนูไหนบ้างล่ะครับ?” ผมเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาผูกเอว ลุงแกก็ทำแบบเดียวกัน

“ไม่รู้สิครับ” คำตอบของพ่อบ้านทำผมงงอีกรอบ

“อ้าว..”

“คือเจ้าของร้านอาหารไทยนี่เขาเป็นเพื่อนผมเอง ผมบอกเขาไปว่าจะทำอาหารอีสาน เขาก็จัดการเตรียมวัตถุดิบพวกนี้ให้ แล้วก็บอกว่าคุณน่าจะรู้ว่าควรทำอะไรกับพวกมัน”

“ผม?” ผมชี้ตัวเองงงๆ เพื่อนของลุงพ่อบ้านพูดอย่างกับรู้จักผมงั้นแหล่ะ

“คือผมเคยเล่าเรื่องของคุณให้เขาฟังน่ะ” พ่อบ้านตอบเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไร ทำให้ผมต้องร้องอ๋อขึ้นมาอีกรอบ

“งั้นผมขอดูหน่อยแล้วกันนะครับ”

แล้วผมก็เข้าไปรื้อๆ คุ้ยๆ ถุงกระดาษที่ใส่พวกพืชผักสมุนไพรไทยมา

อืมๆ อาหารอีสานก็ต้องส้มตำสินะ ขาดไม่ได้แน่นอน โอเค มะละกอก็มี พริก ขิง ข่า ตะไคร้ อะไรก็มีมาหมดเลยแฮะ ผักชีลาวก็ยังมี อืมๆ มีส้มตำก็ต้องมี  ไก่ย่าง จะพลาดได้ยังไง

“เป็นยังไงบ้างครับ พอจะทำได้ไหม?” 

“ได้หลายเมนูเลยครับ ว่าแต่คุณพ่อบ้านมีไก่แบบเป็นตัวๆ ไหมครับ?”

“มีครับ ผมซื้อมาเมื่อวาน ยังไม่ได้เอาไปทำอะไรเลย”

“ผมจะทำไก่อย่างสมุนไพร เดี๋ยวผมจะโขลกเครื่องสมุนไพรให้ คุณพ่อบ้านเอาไปหมักไว้สักครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยเอาไปย่างนะครับ”

“ได้ครับ” 

จากนั้นเราก็แยกย้ายกันปฏิบัติการเตรียมเมนูอีสานสุดแซบกันทันที



ที่ผมตั้งใจจะทำวันนี้ นอกจากไก่ย่างสมุนไร ก็มีทั้งตำไทย ตำปู น้ำตกหมู ตับหวาน ต้มแซบกระดูกอ่อนหมู คอหมูย่างน้ำผึ้งกับน้ำจิ้มแจ่ว ลาบฟองเต้าหู้กับเห็ดเออรินจิ แกงอ่อมเห็ดภูฏาน(เห็ดนางฟ้าดำ) และตำสับปะรด โดยที่สามอย่างหลังผมตั้งใจทำเป็นเมนูมังสวิรัตสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์อย่างคุณซอล แต่คนอื่นๆ ก็สามารถทานได้ด้วย เสิร์ฟพร้อมกับข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ อีกต่างหาก เรียกว่าอีสานแบบจัดหนักจัดเต็มกันล่ะมื้อนี้

แซ่บแน่ฝรั่งเอ๋ย ฮ่ะๆๆ




 
“โหหหหหห..ว้าวๆๆๆๆ” แฝดออกปากร้องพร้อมกับทำตาโตเมื่อเห็นอาหารอีสานแบบฟูลคอร์สถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะอาหาร

พูดก็พูดเถอะ ทั้งๆ ที่ก็แค่อาหารพื้นบ้านธรรมดา แต่พอลุงพ่อบ้านแกจัดตกแต่งจานแบบนี้แล้วมันอย่างกับอาหารขึ้นเหลาไฮโซก็ไม่ปานเลยแฮะ ช่างเป็นศิลปะอะไรเช่นนี้ คงต้องขอให้ลุงแกช่วยสอนบ้างซะแล้ว

“มึงทำเองหมดนี่เลยเหรอ?” ซินหันมาถามผมแบบทึ่งจัด

“ก็มีลุงพ่อบ้านช่วยด้วย”

“สุดยอด..” ซันคราง

ก่อนแฝดทั้งคู่จะนั่งลง ถือช้อนถือส้อมเตรียมพร้อมกันเต็มที่

บางทีพวกนี้ก็ดูไม่ค่อยต่างอะไรจากเด็กเล็กๆ เท่าไหร่เลยแฮะ

“เมื่อไหร่แม่จะลงมา?” ซันร้องขึ้นเมื่อยังไม่เห็นใครในครอบครัวเดินเข้ามาในห้องอาหารสักคน

“เมื่อไหร่มาร์ตินจะลงมา?” ซินเอาบ้าง

“เมื่อไหร่ซอลลี่จะลงมา!!” ชื่อสุดท้ายประสานเสียงกันเชียว

“อะไรของพวกนาย โหวกเหวกหนวกหูกันอยู่ได้” และเจ้าของชื่อก็โผล่มาแทบจะทันทีที่สิ้นเสียงเลยเชียว

“ว้าว..” เขาร้องเบาๆ เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะโฉบมาจุ๊บแก้มผมทีนึงแล้วจึงเข้านั่งประจำที่

“เก่งมาก ที่รัก”

“อ้วกกกกก” เสียงซันดังมาก่อน

“บรึ๋ยยยย ขนลุกชะมัด” ตามด้วยเสียงซิน

“อิจฉาล่ะสิ” อันนี้คุณซอล ไม่พูดเปล่า แต่ยังพาดมือโอบไหล่ผมด้วย

“ไม่เลยสักติ๊ด” ซินว่าก่อนคว้าซันที่นั่งใกล้ๆ ไปหอมแก้มโชว์อย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไอ้ซันหาได้สนใจพี่ทั้งสองคนของมันไม่ ตอนนี้มันกำลังเอาส้อมจิ้มไก่พลิกๆ ดูว่ามีอะไรติดหนังมาบ้าง

“เอะอะโวยวายอะไรกันหนุ่มๆ~” น้ำเสียงร่าเริงผิดกับเมื่อตอนบ่ายของ มาดามแห่งบ้านแอนเดอร์สันดังเข้าห้องอาหารมาก่อนตัวซะอีก ก่อนที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับแรกเจอลิบลับจะยื่นเข้ามา

ผมหันไปเบิกตาแปลกใจกับคุณซอล

เขายิ้มให้แล้วโน้มเข้ามากระซิบใกล้ๆ “ผมบอกแล้วเห็นไหม ที่นายเจอตอนบ่ายน่ะนางยักษ์ ไม่ใช่ริต้าหรอก คนนี้ต่างหากคือริต้าตัวจริง”

“นางยักษ์?” ผมทวนคำ

“ใช่ นางยักษ์” คุณซอลพยักหน้าหนักแน่น

“นางยักษ์สินะ” นางยักษ์แทรกหน้าเข้ามาระหว่างพวกเราสองคน

“เหวออออ” พวกเราตกใจผงะออก แต่ก็ถูกนางยักษ์ เอ๊ย มาดามริต้าจับหัวเข้ามาโขกกันจนดังโป๊ก ท่ามกลางเสียงหัวร่องอหายของฝาแฝด  

“เป็นอะไรไหม?” คุณซอลลูบหน้าผากผม ทั้งที่หน้าผากตัวเองก็แดงเหมือนกัน ก่อนจะหันไปโวยวายกับแม่ตัวเองที่เพิ่งนั่งลงเก้าอี้ว่างข้างกัน ส่วนคุณมาร์ตินเดินยิ้มไปนั่งอยู่หัวโต๊ะ

“เล่นบ้าอะไรน่ะริต้า ผมกับยูเจ็บน่ะ” 

“อยากว่าใครเป็นนางยักษ์ล่ะ?” คนพูดจิกสายตาใส่จนผมเผลอหลบวูบ

“นั่นสิ ที่นี่ไม่มีนางยักษ์สักหน่อย เนอะซิน” ซันกระโดดเข้าร่วมวง

“ช่ายยย ที่มีแต่นางฟ้าต่างหาก เนอะซันนี่” ซินพูดพลางส่งตาหวานไปให้แม่ตัวเอง

“พูดได้ดีมาก แฝดลูกรัก” มาดามยิ้มกว้างถูกใจ

“ยี่สิบปอนด์!” แฝดพูดพร้อมกัน แถมยังแบมือไปกระดิกหน้ามาดามด้วย

“นี่แน่ะ!” ก็เลยโดยฟาดไปคนละเพี้ยะ

“ชิ นางยักษ์!!” แฝดพูดพร้อมกันอีก

“เดี๋ยวเหอะ แฝดนรก!” คนเป็นแม่ชี้หน้าคาดโทษ

“น่าๆ อย่าเพิ่งตีกัน คุณดูอาหารตรงหน้านี่สิ ที่รัก” คุณมาร์ตินที่เอาแต่นั่งยิ้มมองภรรยาและลูกเลี้ยงต่อปากต่อคำกันเอ่ยขึ้นบ้าง

“ว้าววววว” มาดามออกอาการไม่ต่างจากฝาแฝดเท่าไหร่

คือผมว่าถึงมาดามจะหน้าตาเหมือนคุณซอลมากมายก็เถอะ แต่นิสัยนี่เหมือนพวกแฝดชะมัดเลยแฮะ

“ฝีมือยูริทั้งหมดนี่แหล่ะ” คุณซอลรีบพูดขึ้นอย่างกับกลัวใครจะแย่ง จนผมอดอมยิ้มไม่ได้ พาลนึกไปถึงตอนที่เด็ฟป์บอกว่าเขาเคยเอาเรื่องผมไปคุยอวด สงสัยจะอาการประมาณนี้ล่ะมั้ง

จะว่าไปแล้วก็น่ารักชะมัดเลยแฮะ

“แหม ไม่ค่อยอยากจะอวดเลยนะซอลลี่” ไอ้ซันแซวพี่มัน

“ยิ้มมึง ยิ้ม.. ถ้าจะลอยก็ขึ้นไปก็หลบๆ แชนเดอเลียร์ข้างบนบ้างน่ะ เดี๋ยวเสียหาย มันหลายตังค์” ส่วนไอ้ซินแซวผม

“ขี้เห่อจริงๆ เลยซอลลี่ แล้วลูกมานั่งทำอะไรตรงนี้น่ะ เกะกะชะมัด ไปนู่นเลยไป แล้วเอายูจังมานั่งข้างแม่” มาดามพูดพลางพยายามผลักคุณซอลออกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่

ว่าแต่ ยูจัง นี่มันอะไรวะครับ?

“อะไรเนี่ย?” คนถูกไล่ที่บ่นพึมพำ แต่ก็ยอมลุกแลกที่กับผมโดยดี

“ตกประป๋องแล้ว ตกกระป๋องแน่ๆ” เสียงแฝดที่นั่งฝั่งตรงข้ามเคาะช้อนชามประสานเสียง เรียกนิ้วกลางจากพี่ชายคนโตไปคนละอัน

“แม่ก็อยากคุยกับยูจังบ้างน่ะสิ ยังไม่ได้คุยกันเลยนี่”

“ซอลลี่ลูกรักกลายเป็นอดีตไปซะแล้ว เหลือแค่อดีตซะแล้ว~ แฝดยังสามัคคีประสานเสียงกันต่อไป

“ว่าแต่ยูจังดูเกร็งๆ นะ กลัวแม่เหรอ?” มาดามถามผม 

“คิดว่าตัวเองทำอะไรไว้เมื่อตอนบ่ายล่ะ?” แต่คุณซอลเป็นคนตอบ

“นางยักษ์แผลงฤทธิ์ แผลงฤทธิ์เอาไว้~

“หุบปากนะแฝด!! มาดามหันไปตวาดแฝดจนผมแอบสะดุ้งไปด้วย

แต่ฝาแฝดกลับทำไม่รู้ไม่ชี้

“อ้อ ถ้าเป็นเรื่องเมื่อตอนบ่ายน่ะ” แล้วมาดามก็หันกลับมาพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่พูดจริงๆ นะ แม่ไม่ชอบให้เรื่องส่วนตัวมามีผลกับงาน แต่แม่ไม่ได้โกรธยูจัง ถ้าจะมีใครสักคนที่สมควรถูกโกรธก็ต้องเป็นซอลลี่ที่ไม่รู้จักดูแลตัวเองต่างหาก แต่ยังไงเมื่อคิดจะคบกันรักกันแล้วมันก็ต้องช่วยดูแลกันหน่อยล่ะนะ”

“เอ่อ..ครับ”

“แม่ฝากซอลลี่ด้วยล่ะ” มาดามยิ้มให้ผมอย่างใจดี

และมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีมากยังไงไม่รู้สิ

“ครับ” ผมรับคำพร้อมรอยยิ้ม

“อ้อ แล้วตอนนั้นแม่ก็เหนื่อยๆ เพลียๆ อาจจะเผลอผสมอารมณ์พาลไปด้วย อย่าถือสาเลยนะ แม่ขอโทษ” มาดามทำหน้าสำนึกผิดจริงใจ

“อารมณ์วัยทอง ก็คนมันวัยทอง~

มาดามหันไปด่าแฝดทางสายตาแทนคำพูด แต่พวกนั้นก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้

“ไม่เป็นไรครับ”

“ต้องอย่างนี้สิ.. เข้าใจเลือกนะเนี่ย ซอลลี่” ประโยคหลังมาดามชะโงกไปค่อยกับลูกชายคนโต

“แหงอยู่แล้ว” คุณซอลตอบรับด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้ที่สุด

“แอมฮังกรี้ โซฮังกรี้ เรียลลี่ฮังกรี้~ 

“หุบปาก!!” 

หลังจากการประสานเสียงและการตวาดอีกครั้งของแฝดกับมาดามริต้า มื้ออาการแรกของผมกับครอบครัวแอนเดอร์สันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาก็เริ่มต้นขึ้น

สักที..  


“เอ๊ะ ถ้วยนี้คือแกงอะไรเหรอ?” มาดามหันมาถามผม มือชี้ไปที่ถ้วยแกงที่มีผักสีเขียวๆ ดำๆ ลอยอยู่

“แกงอ่อมน่ะครับ”

“แกงอ่อม?”

“ครับ เป็นแกงพื้นบ้านทางแถบอีสาน เด่นที่รสชาติเฉพาะตัวกับกลิ่นหอมของผักชีลาว รวมทั้งน้ำข้นๆ จากข้าวคั่วป่นด้วย ปกติแล้วเขาก็จะใส่เนื้อสัตว์กัน แต่ถ้วยนี้ผมใส่เห็ดภูฏานเข้าไปแทน เพราะอยากให้คุณซอลได้ทานด้วยน่ะครับ ส่วนอันนั้นเป็นลาบฟองเต้าหู้กับเห็ดเออรินจิครับ มังสวิรัติเหมือนกัน ตำสับปะรดนั่นก็ด้วย” ประโยคสุดท้ายผมหันมาบอกกับคุณซอลที่นั่งอมยิ้มอยู่

เขาเลยหันไปยักคิ้วรัวๆ ให้มาดามอีกที แล้วก็โดนมาดามบิดแขนกลับมาด้วยความหมั่นไส้

“โอ๊ยยย..”




ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าการมีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมทั้งพ่อ แม่ ลูก นั้นจะให้ความรู้สึกแบบไหน

แต่มันก็คงจะไม่ไกลจากความรู้สึกที่ผมกำลังสัมผัสได้อยู่ตอนนี้นักหรอก

มั้ง..



ยายครับ ยูคิดถึงยายจัง








TBC.