hi AURORA
Chapter 5
“ซัมเมอร์เซต เฮาส์?”
“อืม เคยไปมาแล้วหรือยัง?” คนที่กำลังนั่งดึงแผ่นลอกสิวเสี้ยนอยู่หน้ากระจกเอ่ยถามโดยไม่ได้ละสายตาไปจากเงาของตัวเอง
“ครับ..” ผมพยักหน้ารับ
นึกย้อนไปถึงวันที่สองที่มาถึง ..หรือวันแรกที่เริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
ซัมเมอร์เซต เฮาส์
เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของลอนดอนตามที่หนังสือนำเที่ยวบอก
แล้วนักท่องเที่ยวหน้าใหม่อย่างผมจะพลาดได้ยังไง?
จำได้ว่าวันนั้นหลังจากเข้าเยี่ยมชมพระราชวังบัคกิ้งแฮมอันแสนหรูหรา
ผมก็ไปที่ซัมเมอร์เซต เฮาส์นี่แหล่ะ อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ บนถนนสแตรนด์
ใกล้ฝั่งแม่น้ำเธมส์ ตามประวัติที่ได้ฟังจากไกด์อาสาสมัคร รู้สึกว่าที่นั่นจะเคยเป็นวังมาก่อน
แล้วก็ถูกเปลี่ยนมือมาเรื่อยๆ ทั้งจากคนในราชวงศ์และสามัญชนธรรมดา(แต่มีกระตังค์)
จนกระทั่งถึงปัจจุบันซึ่งกลายเป็นแกลอรี่กึ่งๆ ศูนย์วัฒนธรรมไว้จัดแสดงโชว์ต่างๆ
ทั้งพวก วิชวล อาร์ต, คอนเสิร์ต, ภาพยนตร์, แฟชั่นโชว์,
รวมถึงงานอีเวนท์มากมายตลอดทั้งปี
แถมบริเวณด้านหน้ายังมีลานน้ำพุขนาดใหญ่
ที่ชาวเมืองผู้ดีมักใช้เป็นสถานที่คลายร้อนในหน้าร้อน
และเมื่อลานน้ำพุกลายเป็นลานน้ำแข็งในหน้าหนาว ผู้คนก็จะพากันออกมาเล่นไอซ์
สเก็ต...
ผมจบทัวร์ตามรอยราชวงศ์อังกฤษวันนั้นด้วยการไปดูอีกาที่
ทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอน ..เอิ่ม คนอื่นสนใจไปดูอะไรกันผมไม่รู้นะ แต่ผมสนใจอีกาที่เขาเลี้ยงไว้น่ะ
ฮ่ะๆๆ เห็นว่าถ้าในวังไม่มีอีกา แล้วราชวงศ์จะล่มสลาย ตามความเชื่อน่ะ
เขาก็เลยต้องเลี้ยงอีกาไว้โดยจับมันขลิบปีกเพื่อไม่ให้บินหนีไปไหนได้
..หรืออะไรทำนองนี้แหล่ะ ผมก็อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง
ตามประสาคนภาษาอังกฤษแข็งแรงเยี่ยมน่ะ ฮ่ะๆๆ
“พรุ่งนี้คุณมีงานที่นั่นเหรอ?” ผมถามขณะนิ้วเริ่มเขี่ยแพดเม้าส์ของแม็คบุ๊คแอร์บางเฉียบที่ยืมเจ้าของห้องมาใช้
เมื่อตอนที่ผมออกมาจากห้องอาบน้ำ
ผมเห็นเขาใช้มันอยู่ พอเขาเลิกใช้แล้วเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ
ผมก็เลยลองขอยืมใช้แบบเกรงใจๆ เขาก็อนุญาตง่ายๆ
ผมเลยปีนขึ้นเตียงมากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงโดยมีหมอนรองหลัง
มีผ้าห่มคลุมมาถึงเอว และมีแม็คบุ๊ควางอยู่บนตักอย่างที่เห็น
การออนไลน์ครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ที่หายหัวเข้ากลีบเมฆหมอกแห่งลอนดอนมา
ดูจะได้รับการตอบรับอย่างท้วมท้นจากบรรดาเพื่อนฝูง ณ ไทยแลนด์เหลือเกิน ฮ่ะๆๆ
“อือ”
“เดินแบบเหรอ?” ปากถาม มือก็พิมพ์ตอบเพื่อนที่กระหน่ำถามมาว่าผมตายแล้วหรือยัง?
ไอ้พวกบ้า แล้วที่คุยอยู่กับพวกมึงนี่แมวมั้งครับ
“ใช่ คอลเล็คชั่นใหม่ของ วาเลนติโน น่ะ”
เสร็จจากลอกสิวเสี้ยน คุณซอลฟาคนงามก็เริ่มนวดหน้าตัวเองด้วยอะไรสักอย่างที่มันๆ
เยิ้มๆ คล้ายน้ำมันพืชต่อ
บอกตามตรงว่าถึงเขาจะพูดชื่อแบรนด์ออกมา
ผมก็ไม่รู้จักอยู่ดี ความรู้เรื่องวงการแฟชั่นของผมเท่ากับศูนย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะแต่งตัวเห่ยหรือเชยระเบิดอะไรขนาดนั้นหรอก
เวลาผมเลือกซื้อเสื้อผ้าผมมักจะมองหาสิ่งที่เหมาะกับตัวผม โอกาส และฤดูกาล มากกว่าจะมองหาว่าเป็นยี่ห้ออะไรน่ะ
แน่นอน
เพราะผมไม่มีเงินเหลือกินเหลือใช้มากพอจะไปซื้อของนอกเหนือจากความจำเป็นพวกนั้นด้วยแหล่ะ
“นายต้องไปกับผมด้วย เตรียมอาหารกลางวันในส่วนของผมไปด้วย
น้ำสลัดของพวกนั้นไม่เคยถูกปากผมเลย แซนด์วิชก็รสชาติแย่ คอกเทลยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
เขาสั่งพร้อมทั้งบ่นทิ้งท้าย
“มีนางแบบเยอะแยะเลยใช่ไหม?” ผมเริ่มสนใจ
ละสายตาจากหน้าจอชั่วครู่เพื่อมองคู่สนทนาด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอนางแบบตัวเป็นๆ
มาก่อนเลย คิดแล้วก็ตื่นเต้น
“เสียใจด้วยนะ พรุ่งนี้เป็น เมนส์ คอลเล็คชั่น
ล้วนๆ” คุณซอลฟาพูดด้วยท่าทางเฉยเมย ขณะที่ผมรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
“ผมทำใส่ปิ่นโตให้คุณเอาไปกินเองไม่ได้เหรอ?
ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ เกะกะคุณเปล่าๆ” ผมหมดความกระตือรือร้นไปดื้อๆ
กลับมาสนใจคุยกับเพื่อนในเฟซบุ๊คต่อ
ดูเหมือนว่าผมจะทำให้ใครหลายคนเป็นห่วงโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อตอนเย็นผมได้โทรไปคุยกับยายแล้ว
บอกยายว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน ให้ยายสบายใจ
ผมเองก็จะได้สบายใจที่ไม่ต้องทำให้ยายเป็นห่วงด้วย
“ปกติคนดูแลผมที่ลาพักร้อนไปก็ตามผมไปทุกที่แหละ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมพึมพำกับตัวเอง
ก่อนแอบถอนหายใจเบาๆ
“พรุ่งนี้คุณจะกินสลัดหรือแซนด์วิชล่ะ?”
“นายมีข้อเสนออะไรที่น่าสนใจกว่านี้ไหม?” คนถามใช้สำลีชนิดแผ่นเช็ดหน้าจนความมันเยิ้มลบหาย
ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมเดินไปห้องอาบน้ำ
ข้อเสนอที่น่าสนใจงั้นเหรอ? ..อืม
“ขอผมคิดดูก่อนแล้วกัน แต่อย่าหวังมากนะ”
“หวังสิ..”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนพูดที่ยืนเกาะขอบประตูห้องอาบน้ำอยู่อย่างประหลาดใจ
“ไข่ดาวกรอบราดซอสโหระพาเมื่อตอนกลางวันอร่อยมาก”
“.........”
อ่า.. เขาชอบหรอกเหรอ?
เมื่อตอนกลางวันผมพยายามโน้มน้าวให้เขานึกอยากกินข้าวขึ้นมา
เพราะผมคิดถึงข้าวราดแกงอะไรก็ได้สักอย่างที่สุดในสามโลก
ผมพูดจนเขายอมคล้อยตามและอยากลองชิมฝีมือผม
แต่พอมาคุ้ยตู้เย็นของลุงพ่อบ้านก็แทบไม่มีอะไรที่พอจะทำอาหารไทยได้เลย
ลุงฮัดสันค่อนข้างจะตื่นเต้นที่จะได้เห็นผมทำอาหารไทย(แม้จะพยายามเก็บอาการ)
แกอาสาจะออกไปซื้อวัตถุดิบมาให้ แต่ผมเกรงใจเลยว่าจะตัดใจไว้กินวันอื่นดีกว่า
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใบโหรพาซุกซ่อนอยู่ในหลืบหนึ่งของตู้
สอบถามเจ้าของสถานที่ได้ความว่าเมื่อหลายวันก่อนแกตั้งใจจะฝึกทำผัดกระเพรา
แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าใบอะไรเป็นใบอะไร เลยหยิบเผื่อมาหลายๆ อย่าง
ผมเกิดปิ๊งไอเดียที่จะใช้ใบโหระพาให้เป็นประโยชน์ เลยถามหาวัตถุดิบอื่นๆ
ที่ลุงแกซื้อมาเกิน ได้อย่างที่ใจต้องการเป๊ะเลย คือ กระเทียม พริกขี้หนู และรากผักชี
ผมเอาส่วนผสมทุกอย่างมาสับ(สับแยกนะครับ)
เสร็จแล้วก็ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันนิดหน่อย พอร้อนได้ที่ก็เอากระเทียมสับลงไปผัด
พอกระเทียมเริ่มส่งกลิ่นหอมก็ใส่พริกขี้หนูสับกับรากผักชีสับลงไปผัดด้วย เติมซอสพริก ปรุงรสด้วยเกลือป่น น้ำตาล ซอสเห็ดหอม
และซีอิ้วขาว จากนั้นก็ลองชิม..
อืม รสชาติน่าคบ
สุดท้ายก็เติมนมสดลงไปครึ่งถ้วย
ใส่ใบโหระพาที่สับไว้หยาบๆ เคี่ยวต่อสักพักก็ปิดไฟ..
แค่นี้ก็ได้ซอสโหระพาสุดแซ่บสูตรเด็ดของคุณยายมาลีมาแล้ว
ลุงพ่อบ้านเป็นนักเรียนและลูกมือที่ดี
ขณะที่เรียนรู้วิธีทำซอสโหระพาจากผม(มีการสอบถามเป็นระยะ) แกก็ช่วยลวกหน่อไม้ฝรั่ง
พร้อมกับทอดไข่ดาวกรอบๆ ตามที่ผมไหว้วานให้ด้วย
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น
ข้าวที่หุงเอาไว้ก็สุกพอดี
ผมตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จาน
เอาไข่ดาวที่ทอดให้ติดกันสองฟองโปะ เรียงท่อนหน่อไม้ฝรั่งที่หั่นสวยงามไว้ด้านข้างจาน
สุดท้ายราดซอสโหระพาลงไป เท่านี้..
‘ไข่ดาวกรอบ ราดซอสโหระพา’ เมนูมังสวิรัติง่ายๆ สไตล์ไทยก็พร้อมเสิร์ฟ
ส่วนซอส..
ถ้าเหลือก็สามารถเก็บใส่ขวดแช่ไว้ในตู้เย็นได้นานเป็นเดือนๆ เอาไว้ใช้ประยุกต์กับเมนูอื่นๆ
ต่อไป
แต่ดูจากประกายตาแวววาวของสองสาวเอลลี่แอนด์จีนที่เข้ามาร่วมชมวิธีการทำด้วยแล้ว
คาดว่าไม่น่าจะเหลือรอดถึงเย็นนี้ด้วยซ้ำ
ตอนที่ผมยกเข้ามาให้คุณซอลฟา
ซันชายน์เพิ่งเดินหน้ามุ่ยลงมาจากห้องนอนพอดี
ผมเลยกลับเข้าครัวไปเตรียมมาให้หมอนั่นอีกจาน
เราสามคนจึงได้นั่งกินข้าวกลางวันพร้อมกัน
ซันชายน์ชมว่า ‘อร่อย’ แค่สั้นๆ
จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก(ดูท่าทางจะอารมณ์ไม่ดี
ซินเซียร์ก็หายหัวไปเลยตั้งแต่มื้อเช้า) ส่วนคุณซอลฟาแค่นั่งกินเงียบๆ
โดยไม่พูดอะไร ตอนนั้นผมก็แอบใจเสียนิดหน่อยแล้ว นึกว่าจะไม่ถูกปากเขาซะอีก
เลยไม่ค่อยมั่นใจกล้าเสนอเมนูใหม่...
‘ไข่ดาวกรอบราดซอสโหระพาเมื่อตอนกลางวันอร่อยมาก’
“ขอบคุณ..” ผมพูดเก้อๆ
เขายิ้มรับและหายเข้าห้องน้ำไปแล้ว..
ผมก้มหน้าพิมพ์ตอบโต้กับเพื่อนต่อ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอยิ้มออกมาตั้งแต่ตอนไหน
“...?...” รู้ตัวอีกที ภาพหน้าจอก็เปลี่ยนจากเพจเฟซบุ๊คไปเป็นเพจรวมเมนูมังสวิรัติซะแล้ว
อันที่จริงผมน่าจะรู้สึกเหมือนสาวน้อยอลิสที่เพิ่งจะตกลงมาในปล่องใต้โคนต้นไม้แล้วหลุดเข้ามาสู่ดินแดนมหัศจรรย์..
แต่เปล่า
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแจ็คที่ปีนต้นถั่วขึ้นมาเจอเมืองยักษ์มากกว่า..
อืม หรือบางทีผมอาจจะเป็นฮอบบิทน้อยผู้รักษาปิ่นโตข้าว(แทนที่จะเป็นแหวน)ที่เดินหลงเข้ามาในเมืองของเหล่านักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์(กล้าม)
เพื่อตามหาเอลฟ์ผู้งดงามตนหนึ่ง
“หายไปไหนของเขานะ” ผมพำพึมกับตัวเองขณะสอดส่ายสายตามองหาคนที่หนีบผมติดมาจนถึงที่นี่
แต่คลาดสายตากันแค่เดี๋ยวเดียวกลับหายต๋อมไปแบบไร้ร่องรอย
เมื่อเช้าผมออกจากบ้านแอนเดอร์สันมาพร้อมกับคุณซอลราวๆ
เจ็ดโมงกว่า คุณซอลเป็นคนขับรถเอง ตอนแรกเขาจะให้ผมขับ
แต่เพราะผมบอกว่าไม่ค่อยรู้จักเส้นทาง(แม้เขายืนยันว่าจะเป็นคนบอกทางให้ก็เหอะ)
แถมยังเคยขับแต่รถญี่ปุ่น(รถยายผมเป็นฮอนด้า ซิตี้ น่ะ)
จึงไม่อาจหาญขึ้นมากุมบังเหียนรถ เจมส์ บอนด์ สีเหลืองอ๋อย ของเขาได้หรอก
เอิ่ม ผมก็ไม่ค่อยสัดทัดชื่อรุ่นเท่าไหร่
รู้แต่ว่ามันเป็น แอสตัน มาร์ติน รุ่นเดียวกับที่เห็นในหนังสายลับสัญชาติอังกฤษนั่นแหล่ะ
อ้อ แต่ไม่ใช่คันเดียวกับที่แฝดรับผมขึ้นมาหรอกนะ
คันนั้นเป็นสีเงิน ไม่ออกสปอร์ตสไตล์ขนาดนี้ แล้วห้องโดยสารก็กว้างขวางกว่าด้วย
เห็นบอกว่าคันนี้เป็นรถส่วนตัวของคุณซอลเอง
ปกติพี่เลี้ยงตัวจริงของเขาจะเป็นคนขับให้
ส่วนตัวเขานั้นไม่ค่อยชอบขับเองสักเท่าไหร่ ..ถ้าไม่จำเป็น
ก็อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าถ้างั้นจะลงทุนซื้อรถแพงๆ
มาทำไม? สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุแท้ๆ
พอมาถึงซัมเมอร์เซต เฮาส์
เขาก็พาผมเข้ามาทางประตูผู้เกี่ยวข้อง
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเปิดให้บริการตามปกติของที่นี่
ระหว่างเดินไปยังห้องจัดแสดงงาน ตอนนั้นผมเริ่มจะรู้สึกถึงความตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง เพราะเริ่มเห็นพวกนายแบบตัวเป็นๆ
หนาตาขึ้นเรื่อยๆ พอเข้ามาถึงส่วนที่เป็นด้านหลังของเวที
เสียงจ้อกแจ้กจอแจก็จู่โจมเข้ามาเต็มสองหูจนอื้ออึง ทุกอย่างดูวุ่นวายสับสนจนน่าเวียนหัว
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนแคระ เมื่อมาอยู่ท่ามกลางเหล่ายอดมนุษย์พวกนี้
ความสูง 179
เซ็นติเมตรดูจะไร้ความหมายไปโดยปริยาย
นายแบบที่มากันวันนี้ไม่เพียงแต่ตัวสูงเป็นเสาไฟฟ้าอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้น
แต่พวกเขากลับพกกล้ามเนื้อล่ำๆ กับหุ่นเฟิร์มๆ มาเดินอวดกันอาดๆ ด้วย
ดูยังไงคุณซอลก็ไม่น่าจะมาเดินงานเดียวกับคนพวกนี้ได้เลยจริงๆ
ถึงเขาจะตัวสูงพอกับพวกนั้นก็เหอะ แต่ผมกลับรู้สึกว่าช่างเขาตัวเล็กจ้อยเหลือเกินเมื่อเดินไปยืนรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ
ระหว่างที่คิดสงสัย
ผู้หญิงผมสีบรูเน็ตท่าทางคล่องแคล่วคนหนึ่งซึ่งแนะนำตัวว่าเป็นผู้จัดการนายแบบสังกัดเดียวกับคุณซอลเอ่ยทักทายผมอย่างเป็นกันเอง
เธอชื่อ เกว็น เฮดเบิร์ก วันนี้มาตามดูแลนายแบบสี่คน
ถ้ารวมคุณซอลเข้าไปด้วยก็เป็นห้า แต่เธอบอกว่ายกเขาให้เป็นธุระของผมแล้วกัน(..ง่ายๆ
งี้เลย?)
เท่าที่มองดูรอบๆ
ตัวก็เห็นมีผู้หญิงอีกหลายคนเหมือนกัน แต่เป็นพวกทีมงาน ไม่ใช่นางแบบ
ผมพยายามเค้นความสามารถทางด้านภาษาอันน้อยนิดถามเกี่ยวกับข้อสงสัย
ทำไมนายแบบวันนี้ถึงตัวใหญ่กันจัง? หรือผมจะคิดไปเอง?
ปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วเหรอ? ..แต่เท่าที่เคยเห็นในทีวีหรือตามหน้านิตยสาร พวกเขาจะตัวผอมๆ
กันกว่านี้หรือเปล่า?
คำตอบจากเกว็นทำให้ผมกระจ่างในบัดดล นายแบบที่มาวันนี้ถูกคัดมาเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปของโชว์
วาเลนติโนต้องการผู้ชายหุ่นสมาร์ทมา พรีเซนต์ชุดสูทคอลเลคชั่นใหม่ของเขา
ซึ่งคอนเซ็ปงานในวันนี้ก็คือ..สายลับ 007
พวกคุณสงสัยเหมือนผมหรือเปล่า?
ใช่ไหม? แล้วคุณซอลมาทำอะไร?
ผมไม่คิดว่าเขาจะเข้าข่าย ‘ผู้ชายหุ่นสมาร์ท’ หรอกนะ ..หรือแม้แต่ ‘ผู้ชายใส่สูท’ ก็ยังฟังดูแปลกๆ สำหรับเขาเลย อย่างเขามันต้องใส่แซ็ก ใส่เดรส อะไรเทือกๆ
นั้นถึงจะเหมาะ!
เอ่อ นี่ผมไม่ได้ดูถูกทางเพศหรืออะไรนะ
กำลังชื่นชมอยู่ต่างหาก
เกว็นหรี่ตามองผมอย่างไม่แน่ใจ ก่อนถามว่าผมไม่รู้เหรอ?
พอผมส่ายหัวแทนคำตอบ ทางนั้นกลับยกยิ้มมีเลศนัยแล้วบอกให้รอดูเอาเองดีกว่า
ก่อนจะเดินจากไปเมื่อถูกนายแบบที่ต่อแถวเตรียมขึ้นไปซ้อมเดินบนเวทีคนหนึ่งกวักมือเรียก
คุณซอลหายไปตอนที่ผมมัวคุยกับเกว็นนั่นเอง
“หวัดดี”
เสียงแปลกหูเอ่ยทักทายจากด้านหลังพร้อมทั้งมือที่มาสะกิดไหล่
ทำให้ผมต้องหันไปเลิกคิ้วมอง
“.........”
คนที่มาสะกิดเป็นผู้ชายตัวสูง ตาสีฟ้า
ผมสีน้ำตาลเข้ม คางบุ๋มด้วย..
เขาใส่กางเกงยีนส์ แต่เสื้อยืดเนื้อบางถูกพาดเอาไว้บนบ่ากว้าง
ตอนนี้ท่อนบนของเขาจึงเปลือยเปล่า แม้หุ่นอาจไม่ล่ำเท่าหลายคนในนี้ แต่ก็พอจะมีมัดกล้ามเนื้อให้เห็น
ผมคิดว่าอย่างเขาก็น่าจะเข้าข่าย ‘ผู้ชายหุ่นสมาร์ท’ ได้เหมือนกัน
เขายื่นมือมาตรงหน้าผม พูดจายิ้มแย้ม
“ผมชื่อ เจเรมี่ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ผมซึ่งถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจึงได้แต่ยื่นมือออกไปจับแบบเก้กัง
ก่อนจะนึกได้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปบ้าง
“ยูริ แฮตเชอร์ ..ยินดีที่ได้รู้จัก..เช่นกัน”
“ยูริ งั้นเหรอ.. คุณมาจากมอสโกหรือเปล่า?” เขาเท้าแขนกับพนักเก้าอี้พลาสติกที่ผมนั่งอยู่ ก้มตัวลงมาพูดคุยด้วยท่าทางสนิทสนมเป็นกันเองเสียจนผมไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง
“เปล่า ผมมาจากไทยแลนด์”
“ไทยแลนด์..” คนได้รับคำตอบทำท่านึก “อ๋อ
บ้านเกิดของออโรร่าสินะ ผมเห็นคุณมาพร้อมกับเขาด้วยนี่นา ..ใช่ไหม?”
“อืม ใช่”
“ผมนึกว่าคุณเป็นคนรัสเซียซะอีก เห็นชื่อเหมือนรุ่นพี่ผมที่มาจากมอสโกเลย” คนชื่อ เจเรมี่
เดินอ้อมมากึ่งนั่งกึ่งยืนพิงขอบโต๊ะตัวที่อยู่ด้านหน้าของผม เขากอดอก
ก้มมองผมพลางขมวดคิ้วเหมือนยังสงสัย
“พ่อผมเป็นรัสเซี่ยนอเมริกัน”
“แบบนี้นี่เอง” เขาพยักหน้า “แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ซอลฟา..เอ่อ..ออโรร่าบอกให้ผมมา
ผมก็เลยต้องมา”
ผมตอบไปตามจริง
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาจะให้ผมมาด้วยทำไม?
หรือกลัวปิ่นโตข้าวจะหาย เลยให้ผมมานั่งเฝ้า?
อืม ที่นี่คงไม่อันตรายขนาดนั้นมั้ง
เจเรมี่มองผมแปลกๆ ก่อนจะหัวเราะพรืดออกมาในที่สุด
“คุณนี่ตลกจัง
ผมหมายถึงคุณมาทำอะไรที่ลอนดอนนี่ต่างหาก”
อ้าว.. เหรอ? ถามไม่เคลียร์เองนี่หว่า
ผมรู้สึกเก้อเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าเข้าใจผิด
“ผม..มาเที่ยวน่ะ แต่พอดีเงินหมด
ก็เลยต้องหางานพิเศษทำ”
“งานพิเศษแปลกๆ หรือเปล่า?” เจเรมี่ถามยิ้มๆ แววตาเหมือนกำลังล้อเลียน
“ถ้าคุณคิดว่าการเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ผู้ชายอายุยี่สิบสามเป็นเรื่องที่แปลก..
มันก็คงแปลกแหล่ะ” ผมว่าแล้วยักไหล่
คนฟังหัวเราะออกมาอีกรอบ
ท่าทางหมอนี่จะเส้นตื้นแฮะ
“ผมได้ยินว่าคนดูแลเขาลาพักร้อนนี่นา คงลำบากแย่เลยสิ
ว่าแต่คุณไปรู้จักกับเขาได้ยังไงล่ะ?”
“พอดีว่าผม..เอ่อ รู้จักกับน้องชายของเขาน่ะ เรา..เรียนที่เดียวกัน” ผมตอบอึกอักเล็กน้อย ..แต่ก็ไม่ได้โกหกนะ
“อ๋อ
ผมเคยได้ยินว่าเขามีน้องชายเป็นฝาแฝดด้วยใช่ไหมนะ? ..คุณเป็นนักเรียนเหรอ?”
รู้สึกว่าหมอนี่จะเคยได้ยินมาเยอะแยะเหลือเกินนะ..
“ใช่ ผมเรียนมหาวิทยาลัย กำลังจะขึ้นปีสอง คุณอยู่สังกัดเดียวกับ ออโรร่าเหรอ?” คราวนี้ผมถามกลับบ้าง
“เปล่าหรอก ผมอยู่ดีเอ็นเอโมเดลส์น่ะ” เจเรมี่ปฏิเสธ
ว่าแต่อยู่คนละสังกัดทำไมถึงรู้เยอะจัง?
“เอ๊ะ งั้นคุณก็น่าจะอายุมากกว่าผมน่ะสิ
คุณอายุเท่าไหร่เหรอ?”
“สิบเก้า”
“ผมสิบเจ็ด ตอนแรกนึกว่าเราจะอายุเท่ากันซะอีก” เขาดูประหลาดใจ
แค่สิบเจ็ดก็ตัวขนาดนี้แล้ว
ไม่รู้ว่าที่บ้านเลี้ยงด้วยอะไรนะ? ..ใหญ่ได้อีก
“ไง เจเรมี่”
จังหวะนั้นมีนายแบบคนหนึ่งเอ่ยทักทายเขา
เขาจึงทักทายตอบด้วยท่าทางร่าเริงซึ่งน่าจะเป็นท่าทางปกติของผู้ชายจอมตีสนิทคนนี้อยู่แล้ว
นายแบบผิวสีแทนคมเข้มคนนั้นเดินเปลือยท่อนบนโชว์ขนหน้าอกมาทางพวกเรา
เขาชนหมัดทักทายกับเจเรมี่ ก่อนจะเบนสายตามาทางผมด้วยทางทางสนใจ
“นี่ใครเหรอ?”
“นี่ ยูริ ..เด็กของออโรร่า” เจเรมี่แนะนำด้วยคำจำกัดความที่ทำเอาผมแอบอึ้งไปนิดหน่อย
พูดแบบนั้น..มันจะดีเหรอ? ฟังแหม่งๆ อยู่นะ
“หืม?” นายแบบคนนั้นก้มมามองผมอย่างพิจารณา
ก่อนพยักหน้าพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง “อย่างนี้นี่เอง..”
“เหมือนใช่ไหมล่ะ? หมอนั่นน่ะ..” เจเรมี่จับบ่าอีกฝ่าย
พูดอะไรกำกวมที่รู้กันแค่สองคน
“ไม่ซะทีเดียว.. แต่ก็ยอมรับว่ามีส่วนคล้ายอยู่ไม่น้อย
..ไปหามาจากไหนกันนะ?”
“ได้ยินว่าเป็นเพื่อนน้องชาย”
“เพื่อนแฝดแสบคู่นั้นน่ะเรอะ?
..พูดถึงก็นึกขึ้นได้ เจ้าหัวเดทร็อคนั่นยังไม่คืนถุงยางที่ยืมฉันไปกล่องนึงเลย”
“ฮ่ะๆๆ อะไรกัน? เรื่องแค่นั้นเอง”
“เฮ้ย ทีฉันยืมมันมาแค่สองอันมันยังทวงคืนเลยนะเว้ย”
“ไม่รู้ว่าหมอนั่นใหญ่ หรือของพี่เล็กนะ
ถึงใช้ไซส์เดียวกันได้น่ะ ฮ่าๆๆ”
“อ้าว พูดอย่างนี้ก็สวยสิ เจ้าหนู
เอาออกมาวัดกันเลยดีกว่า ของฉันขนาดยังไม่แข็งตัวน่ะ..” แล้วไอ้พี่น้องนายแบบคู่นั้นก็ปลุกปล้ำล็อคคอกัน
พลางอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองแบบไม่มีใครยอมใคร
“.........” สงสัยว่าจะลืมกันไปแล้วว่าผมยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้
“เฮ้! เด็ฟป์ เจเรมี่ พวกนายมัวไปทำอะไรกันอยู่ตรงนั้นน่ะ?
ใกล้จะถึงคิวขึ้นเวทีแล้วนะ” เสียงแหลมสูงของผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนฝ่าวงล้อมชายหนุ่มร่างยักษ์ออกมา
“ไปแล้วๆ” เจเรมี่ขานรับ แต่ก่อนไปเขาหันกลับมาล่ำลาผมด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“ผมต้องไปล่ะ ไว้คุยกันใหม่นะ ยูริ”
“ฉันชื่อ เด็ฟป์” นายแบบรุ่นพี่ผิวสีแทนเข้มยื่นมือข้างหนึ่งมาเขย่ามือผม ส่วนมืออีกข้างใช้ ตบไหล่ผมเบาๆ
“ฉันเอาใจช่วยนายนะ สู้ๆ!”
แล้วเขาก็วิ่งตามเจเรมี่หายกลมกลืนไปกับฝูงนายแบบอีกคน..
“.........” ว่าแต่...อะไรของเขาวะครับ?
ประมาณเกือบสิบโมง..
คุณซอลกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าผมอีกครั้งในชุดคลุมอาบน้ำ
เป็นช่วงที่เหตุการณ์หลังเวทีวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม
เพราะการซ้อมเดินเสร็จสิ้นเรียบร้อย โชว์จริงจะเริ่มเวลาบ่ายโมงตรง ตอนนี้แทบทุกคนจึงยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมเสื้อผ้าหน้าผมให้พร้อมขึ้นโชว์บนเวที
เริ่มมีช่างภาพจากทั้งนิตยสาร เว็บไซต์
และทีวีเข้ามาสัมภาษณ์พร้อมเก็บภาพนายแบบกันบ้างแล้ว นอกจากเสียงจอแจ
จึงมีแสงแฟรชวูบวาบเพิ่มขึ้นมาด้วย เล่นเอาผมรู้สึกเวียนหัวอยู่ไม่น้อย
“คุณหายไปไหนมา?” เพราะผมพยายามมองหาเขาในกลุ่มนายแบบเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
เลยอดสงสัยไม่ได้
“พอดีชุดที่ผมต้องใส่มันมีปัญหาวัดไซส์ผิดนิดหน่อย
เลยต้องไปให้เขาแก้ให้น่ะ ..แล้วนายเป็นยังไงบ้าง? เบื่อหรือเปล่า? จะเดินออกไปดูบริเวณจัดงานด้านหน้าก็ได้นะ”
เขายังอุตส่าห์มีน้ำใจถามถึงผม
“ได้เหรอ?” ผมเริ่มสนใจ “แล้วมีอะไรให้ดูบ้าง?”
“ก็พวกสินค้าของวาเลนติโนนั่นล่ะ ทั้งเสื้อผ้า
รองเท้า กระเป๋า น้ำหอม แล้วก็พวกแอกเซสซอรี่อื่นๆ”
“งั้นผมอยู่ตรงนี้เหมือนเดิมดีกว่า” ผมเบ้หน้า “ดูไปก็เท่านั้น
ผมคงไม่มีปัญญาซื้อหรอก”
“ก็ไปดูก่อนสิ อยากได้ชิ้นไหนก็มาบอกผม”
“คุณจะซื้อให้ผมหรือไง?” ผมแซวเล่น
“เดี๋ยวผมปล่อยเงินกู้ให้” เขาพูดยิ้มๆ
แต่ผมหัวเราะพรืดออกมา
“เข้าใจหารายได้เสริมนะ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ “แต่คุณไม่มีทางได้กินดอกเบี้ยจากผมหรอก
เพราะผมไม่สนใจของแบรนด์เนม”
“ตัดช่องทางทำมาหากินกันซะงั้น” เขาบ่นแล้วหัวเราะออกมาบ้าง
“ซอล.. ไปแต่งหน้าทำผมได้แล้ว” เกว็นเดินมาแตะไหล่คุณซอล
เธอส่งยิ้มมาให้ผมนิดนึง ก่อนหันหลังเดินกลับไปทางเดิม
“เดี๋ยวผมกลับมาทานมื้อเที่ยงด้วย” เขาบอกแบบนั้นก่อนลุกตามเกว็นไป
ผมเห็นเขาไปนั่งรออยู่หน้ากระจกรวมกับนายแบบคนอื่นอยู่พักใหญ่
ก่อนจะเดินตามใครสักคนหายไปไหนก็ไม่รู้อีกรอบ..
“เอ้านี่..”
อีกชั่วโมงกว่าคุณซอลก็เดินกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษซึ่งด้านในใส่กล่องสี่เหลี่ยมเล็กใบหนึ่งมาให้ผม
พร้อมกับตั๋วเข้างานแฟชั่นโชว์ครั้งนี้อีกหนึ่งใบ..
“.........” สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผมไม่ใช่ตั๋วหรือของในกล่องปริศนา
แต่เป็นเจ้าของมือที่ยื่นของมาให้มากกว่า..
ปกติผมก็ว่าเขาสวยอยู่แล้วนะ
แต่พอแต่งหน้า(โทนออกสีนู้ดๆ ทองๆ เน้นเข้มตรงดวงตา) ติดขนตา
เข้าไปยิ่งแล้วใหญ่เลย ไหนจะผมสีบลอนด์ที่ถูกเซ็ตเป็นคลื่นลอนนั่นอีก
นี่ถ้าไม่เคยเห็นเขาแก้ผ้าต่อหน้าต่อตา ผมไม่เชื่อจริงๆ นะเนี่ยว่าเขาเป็นผู้ชาย
ให้ตายเถอะ พระคุณเจ้า! สาวไปไหน?
“วันนี้ผมจะเป็นคนที่สวยที่สุดในงาน”
คงเพราะสังเกตเห็นผมมองแทบตาถลน
เขาก็เลยพูดแล้วทำท่ายกไหล่ทั้งสองข้างขึ้นแบบคนหลงตัวเอง
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว..” ผมเห็นด้วย
กวาดตามองรอบบริเวณก็เห็นแต่พี่บึ้ก
ขนหน้าอกรึ่มทั้งนั้น ดูยังไงคนตรงหน้าก็สวยงามอย่างที่สุดแล้วจริงๆ
“คุณเป็นสายลับขนตางอนหรือไง?”
“อะไร?” คนที่เพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่งหันมาเลิกคิ้ว
“คุณเกว็นบอกผมว่าคอนเซ็ปโชว์วันนี้คือ ‘สายลับ 007’ แต่คุณขนตาเด้ง ผมเป็นลอนเด่นมาขนาดนี้ ผมนึกไม่ออกจริงๆ
ว่าจะใส่สูทให้เท่ห์ได้ยังไง?”
“ไว้รอดูสิ” เขาพูดยิ้มๆ
แล้วเริ่มแกะปิ่นโตที่ห่อมา
“ผมต้องดูแน่ล่ะ”
ถึงตายก็ไม่พลาดแน่ๆ วันนี้..
ผมคิดขณะเริ่มดึงกล่องเล็กในถุงกระดาษออกมาดู
ไม่ต้องเปิดก็รู้จากรูปข้างกล่องว่ามันคือ ไอโฟน
“คุณซื้อใหม่เหรอ? เหมือนที่ใช้อยู่เลยนี่นา
หรือว่าอันนั้นเสียแล้ว? แต่เมื่อเช้าผมยังเห็นคุณใช้โทรอยู่เลยนี่”
“ซื้อมาให้นายใช้นั่นแหล่ะ เกิดถูกใครหิ้วไปผมจะได้หาพิกัดได้
..นี่อะไร?” เขาชี้ลูกชิ้นที่ผมทำเองกับมือ
แถมทอดเสร็จแล้วยังอุตส่าห์ซับน้ำมันให้อย่างดีด้วย
“ลูกชิ้นงาดำ.. กินได้ ไม่มีเนื้อสัตว์
ผมใช้ถั่วเหลืองบดกับงาดำน่ะ ดีต่อสุขภาพ แถมยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ส่วนน้ำจิ้มนั่นเป็นน้ำจิ้มบ๊วย
เห็นคุณบอกว่าอยากได้อะไรที่หยิบใส่ปากง่ายๆ ผมเลยคิดว่าอันนี้น่าจะดี
ไม่ต้องกลัวลิปสติกลบด้วย” ผมนั่งลุ้นตอนที่เขาจิ้มลูกชิ้นลูกแรกเข้าปาก
“เป็นไง?”
“อืม.. ใช้ได้” เขาเคี้ยวพลางตอบ
แล้วสายตาก็เลื่อนไปยังเมนูถัดไป
“เห็ดย่าง?”
“เห็ดยานางิแบบเดียวกับที่คุณพ่อบ้านใช้ทำซุปเห็ดข้นเมื่อเช้านี้แหล่ะ
ดีต่อตับนะ ผมกลัวว่าคุณจะเลี่ยนลูกชิ้นเลยย่างเห็ดมาด้วย”
“หอม..” เขายกขึ้นดม ก่อนเอาใส่ปาก “..นุ่มดีจัง..อร่อยด้วย”
ผมยิ้มรับเต็มหน้า..
แล้วกลับมาสนใจไอโฟนเครื่องใหม่เอี่ยมในมือต่อ
“แล้วผมต้องผ่อนชำระกี่งวดกันล่ะเนี่ย?
คุณคงไม่คิดจะซื้อมาให้ผมฟรีๆ หรอกใช่ไหม?”
“หือ.. ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ?” เขาถามพลางจิ้มลูกชิ้นใส่ปากอีก
“เพราะมันไม่มีเหตุผลน่ะสิ”
จู่ๆ
จะต้องซื้อของแพงแบบนี้มาให้ผมเพื่ออะไรกันล่ะ?
เงินค่าจ้างก็จ่ายล่วงหน้ามาหนึ่งสัปดาห์แล้วนี่นา
“ผมให้ยืมใช้ก่อน เห็นว่านายไม่มีโทรศัพท์ติดตัว
เผื่อมีเรื่องจำเป็นต้องโทรตามจะได้ไม่ลำบาก ..เดี๋ยวพอจะไปแล้วค่อยเอามาคืนผม”
“อ๋อ.. ขอบคุณครับ” ผมบอกแล้วเริ่มลงมือแกะกล่อง
จะว่าไปแล้วผมก็ยังไม่เคยใช้ไอโฟนมาก่อนเลยแฮะ
เคยแต่ยืมของเพื่อนมาเล่น ปกติผมใช้ของโซนี่เพราะชอบดีไซน์กับความอึดน่ะ
“ส่วนตั๋วนั่นก็เอาไปเข้าหน้างานนะ
ที่นั่งอยู่ประมาณแถวสาม..ตอนดูโชว์น่ะ”
“ครับ” คราวนี้ผมหยิบตั๋วขึ้นมาดูบ้าง
“แล้วนายเอาอะไรมาทาน?” เขาละมือจากลูกชิ้นและเห็ด
ไปคว้าน้ำเปล่ามาดูดอย่างระมัดระวัง
พอถูกถามผมก็เลยวางมือจากตั๋วและโทรศัพท์
หันมาแกะกล่องข้าวของตัวเองบ้าง
“ผมเอาข้าวไข่เจียวหมูสับมา”
“หมูสับเหรอ?” คุณซอลพึมพำก่อนจะหยิบเห็ดใส่ปากอีก
“อือ ผมเอาซุปเห็ดของลุงพ่อบ้านมาด้วยนะ” ผมยกกระติกรักษาความร้อนอันเล็กๆ
ขึ้นมา ก่อนจะเทของเหลวสีข้นในนั้นลงไปบนฝาที่ใช้ต่างแก้ว
“คุณจะเอาด้วยไหม? ยังอุ่นๆ อยู่เลย”
“ไม่ล่ะ มันกินยาก.. นายกินไปเหอะ”
พอไข่เจียวหอมๆ ลอยมาแตะจมูกท้องผมก็ร้องขึ้นมาทันทีเลย..
ช่างไอโฟนก่อนแล้วกัน
ตอนนี้ขอจัดการไข่เจียวตรงหน้าก่อนดีกว่า
“ตื่นเต้นเหรอ?” คุณเกว็นที่นั่งเก้าอี้ตัวข้างผมเอ่ยทัก
“นิดหน่อยครับ..” ผมหันซ้ายหันขวามองรอบตัว
ตอนนี้ผมมานั่งรอดูแฟชั่นโชว์อยู่หน้าเวทีแล้ว
ได้ที่นั่งแถวสามอย่างที่คุณซอลบอกไว้
แต่ที่เขาไม่ได้บอกคือที่นั่งของผมอยู่ติดกับของเกว็น
ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจมาก เพราะตั้งแต่เดินเข้ามาในงานผมก็รู้สึกผิดที่ผิดทางยังไงชอบกล
คนที่เข้ามาดูงานนี้ล้วนแต่งตัวจัดเต็มแบบไม่มีใครยอมใคร แฟชั่นนิสต้าตัวโคตรพ่อโคตรแม่ทั้งนั้นที่พากันตบเท้าเข้างานมา
มีทั้งนายแบบ นางแบบ เซเลปฯ คนดัง เดินกันให้พล่านไปหมด บางคนเป็นนักร้องไม่ก็ดาราที่ผมคุ้นหน้าด้วยเหอะ
นี่หรือคืองานแฟชั่นโชว์ของเสื้อผ้าแบรนด์ดัง?
เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเป็นหนูน้อยอลิสก็นาทีนี้เอง..
“ผมไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นเต้นขนาดนี้เลยตอนที่เดินเข้ามา..” ผมบอกตามตรง เกว็นหัวเราะออกมาเบาๆ “มีพวกคนดังมาเยอะเหมือนกันนะครับ”
ส่วนคุณซอลหลังแต่งตัวเสร็จเขาก็ควงเหล่าสายลับหุ่นล่ำราวสี่ห้าคนไปยืนโชว์ตัวให้สื่อถ่ายรูปอยู่หน้างาน(ผมเองก็เอาไอโฟนไปแอบถ่ายมาเหมือนกัน)
เพิ่งรู้ตอนนั้นแหล่ะว่าเขามางานนี้ไม่ใช่เพื่อเป็น เจมส์ บอนด์ อย่างคนอื่นๆ
แต่เขามาเพื่อเป็น ‘สาวบอนด์’ หรือ ผู้หญิงของเจมส์ บอนด์ต่างหาก
เกว็นบอกว่าถือเป็นไฮไลท์ของงานเลยล่ะ
ชุดที่เขาใส่ออกไปโชว์ตัวนั้นเป็นชุดสูทเหมือนกัน
แต่เป็นสูทสำหรับผู้หญิง กางเกงสแลคเข้ารูปสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว ใส่แบบทับใน
แต่ไม่ติดกระดุมสักเม็ด โชว์แผงอกขาวเนียนแบนราบประจักษ์แก่สายตาผู้พบเห็น มีผ้าตาข่ายสีดำรัดทับกางเกงและเสื้อช่วงสะโพกจนถึงเหนือเอวเล็กน้อย
เสริมให้ดูเซ็กซี่ยิ่งขึ้นด้วย ทับเสื้อเชิ้ตก็เป็นแจ็คเก็ตสูทสีดำเข้ารูปอีกตัว
อ้อ เขาถือปืนพกที่ติดกระบอกเก็บเสียงเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากด้วยนะ
ดูทั้งเท่ห์ ทั้งเซ็กซี่
แล้วก็สวยงามลงตัวอย่างบอกไม่ถูก..
“อืม ธรรมดาแหล่ะ งานของแบรนด์ระดับนี้แล้ว” เกว็นว่าพลางสอดส่ายสายตาบ้าง “เห็นผู้ชายที่นั่งแถวหน้าคนนั้นไหมล่ะ?
ขวัญใจของฉันเลยนะนั่น”
ผมพยักหน้าเมื่อมองไปทางทิศเดียวกับเกว็น
ถึงจะจำชื่อไม่ได้แต่ผมก็จำหน้าผู้ชายวัยเกือบกลางคนคนนั้นได้
เขาเป็นดาราอังกฤษนี่ล่ะ เล่นหนังหลายเรื่องอยู่
แต่เรื่องที่ทำให้ผมจดจำได้ก็คงเป็นเรื่องที่มีหมาพันธุ์ปั๊กเป็นตัวเอกน่ะ
ชื่อเรื่องอะไรนะ? ..อ่ะ ช่างเถอะ
“อ่า.. จะเปิดงานแล้ว” เสียงเกว็นว่าเบาๆ
ผมจึงละสายตาจากผู้คนรอบกายแล้วย้ายไปจับจ้องที่เวทีแทน
ไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆ จู่ๆ ไฟในห้องถูกดับพรึ่บ
ดนตรีจังหวะมีเดียมแต่โดดเด่นที่เสียงกีตาร์รี้ดฟังเร้าใจดังขึ้นพร้อมกับสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ฉายสาดไปยังนายแบบคนแรกที่ขึ้นมาปรากฏตัว
แฟชั่นโชว์เริ่มขึ้นแล้ว..
“คุณซอลฟาไม่ขึ้นมาเดินหรอกเหรอ?” ผมเอียงตัวไปถามคนข้างๆ
ขณะปรบมือให้กับแฟชั่นเซ็ตล่าสุดที่เพิ่งจบไป เพราะดูมาจนใกล้จะจบโชว์ตามเวลาที่ระบุไว้ในสูจิบัตรแล้วก็ยังไม่เห็นคุณซอลเดินขึ้นมาบนเวทีสักรอบ
“มาสิ ชุดสุดท้ายนี่ไง” เกว็นตอบโดยไม่ได้ละสายตาจากแคทวอล์ค
ไม่ทันจบคำดี นายแบบคนแรกของเซ็ตสุดท้ายก็เดินนำขบวนขึ้นมา
“.........” และแล้วสายลับนายแบบเซ็ตล่าสุดก็กลับเข้าไปหลังเวที
ความเคลื่อนไหวบนเวทีชะงักไปเล็กน้อย
ดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงใหม่ สปอร์ตไลท์ถูกดับ แต่ไฟบนแคทวอล์คค่อยๆ
ติดขึ้นทีละดวงตามจังหวะการก้าวเดินของนายแบบคนสุดท้ายของงาน
!!..
เสียงฮือฮาพร้อมเสียงปรบมือดังขึ้น
ออโรร่าปรากฏตัวในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์ลายเสือพร้อมปืนหนึ่งกระบอก ทั้งถุงมือ
ถุงน่อง เข็มขัด รองเท้าสั้นสูง และผ้าพันคอยาวเลยเข่าล้วนแต่งเป็นโทนสีทองเหลือบดำ
สาบของเสื้อคลุมแหวกขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านขวาอย่างหน้าหวาดเสียว..
“.........”
ทั้งท่วงท่าการเดินที่สุดแสนจะมั่นใจ
ใบหน้านิ่งทว่าดูยั่วยวนที่เชิดอยู่ตลอดเวลา
และสายตาที่กวาดมองไปยังผู้คนซึ่งอยู่ตรงหน้าของเขามันดูเซ็กซี่ร้อนแรงจนผมรู้สึกร้อนผ่าวแถวท้องน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ..
TBC.