วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[นิยาย] hi AURORA chapter 3




hi AURORA





Chapter 3






“อุ..” จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงแรงกดทับของอะไรบางอย่าง

มันหนัก..อึดอัด...และขยับตัวไม่ได้

โดนเข้าแล้วกู

ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของผม..

ตั้งแต่เกิดมาตลอดสิบเก้าปีผมยังไม่เคยถูกผีอำมาก่อน เคยแต่ได้ยินได้ฟังคนนั้นคนนี้เล่ากันมา ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอกับตัวเลยสักครั้ง

ผมยังคงหลับตานิ่ง ลังเลที่จะเปิดตา จำได้ว่าเพื่อนคนหนึ่งของผมมันเคยโดนผีอำตอนไปเข้าค่ายรับน้อง แล้วพอลืมตามองก็เห็นผู้หญิงผมยาวเฟื้อย หน้าเละๆ ใส่ชุดเลอะๆ สีขาว กำลังนั่งทับมันอยู่..

จริงไม่จริงไม่รู้ ที่รู้ตอนนี้คือผมชักจะปอดแหกแล้วสิ ปกติผมไม่ใช่พวกกลัวผีขึ้นสมองหรอกนะ แต่ถ้าใครมาเจอสถานการณ์แบบนี้ และมีเรื่องเล่าสยดสยองมากมายอยู่ในหัวล่ะก็.. ไม่คิดเลยน่ะสิ แปลก

ทั้งที่อากาศในห้องค่อนข้างจะเย็น แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกถึงเหงื่อที่เริ่มซึมออกมาตามไรผม ผมพยายามตั้งสติและระลึกชาติว่าตอนตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน..

อ้อ ใช่ ผมอยู่อังกฤษ อยู่ลอนดอน

อืม ผมอยู่ที่บ้านแอนเดอร์สัน.. ในห้องนอนของผู้ชายที่มองยังไงก็เหมือนผู้หญิง.. ห้องของซอลฟา..

อา บนเตียงของเขาด้วย ...?

บนเตียงของเขาเหรอ?

ผมค่อยๆ เปิดตาทีละข้างอย่างป๊อดๆ โดยพยายามจะไม่กระดุกกระดิกตัวให้มากเกินความจำเป็น สิ่งที่แสงสว่างจากหน้าต่างที่เปิดม่านทิ้งไว้ส่องให้ตาข้างขวาของผมเห็นก็คือความว่างเปล่า หัวของเจ้าของเตียงไม่ได้วางอยู่บนหมอนของเขาอย่างที่ควรจะเป็น

แล้วเขาไปไหน?

ผมรีบเปิดตาอีกข้างเพื่อมองหาเจ้าของห้อง แล้วก็เจอทันที..

นั่นไง! สิ่งที่ทำให้ผมอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก

ผมยาว และดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงน่ะ..ใช่ แต่ไม่ได้หน้าเละและใส่ชุดเลอะอย่างที่ผมจินตนาการหลอนตัวเองแต่อย่างใด

หน้าเขายังสวยอยู่ แถมไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอีกต่างหาก..

เสียงหายใจสม่ำเสมอทำให้ผมรู้ว่าคนที่ใช้ท้องผมหนุนนอนต่างหมอนกำลังหลับสนิท ..อย่าบอกว่านอนดิ้น?

ผมถอนหายใจยืดยาวราวเพิ่งยกภูเขาออกจากอกได้สำเร็จ ..ก็ยังดีที่ไม่ใช่ผี ขั้นตอนต่อไปก็คือการยกหัวสีทองนี่ออกไปจากท้องผมซะ จะได้หายใจสะดวกสักที ผมเอี้ยวตัวไปดึงหมอนของเขาลงมา ก่อนจะค่อยๆ ย้ายหัวของเขาไปไว้บนหมอนแทน เพราะกลัวจะทำให้ตื่น ผมเลยไม่ได้ดึงตัวเขาให้กลับขึ้นมานอนในระดับเดียวกัน ก็ปล่อยให้นอนอยู่ตรงนั้นแหล่ะ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง.. ผมดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเขาไว้ ระบายลมหายใจอีกครั้ง ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้..

จำได้ว่าพอหัวถึงหมอนผมก็หลับไปเลย เลยไม่รู้ว่าเขาจะแก้ผ้านอนแบบนี้ ก็ตอนที่เขานั่งหวีผมยังเห็นใส่เสื้อคลุมอาบน้ำอยู่เลยนี่นา..

แต่ก็ช่างเหอะ จะถอดจะเปลือยยังไงเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงอยู่ดี หน้าอกแบนๆ ของเขาไม่มีผลต่อฮอร์โมนเพศชายของผมอยู่แล้วล่ะ นอนต่อดีกว่า..

...!

ระหว่างที่กำลังเคลิ้มๆ คนที่หลับอยู่ข้างหลังก็พลิกตัวแล้วสอดแขนเข้ามากอดเอวผมซะอย่างนั้น ผมเผลอเกร็งตัวโดยอัตโนมัติเพราะความตกใจ หลังจากที่เขาเอาหน้ามาซุกยุกยิกๆ แถวกลางหลังของผมอยู่พักหนึ่งเขาก็นิ่งไป ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาหลับสนิทอีกแล้ว

แล้วกัน.. ผมถอนหายใจยืดยาวออกมาอีกรอบ แอบสงสัยว่าเขาจะเป็นแบบนี้ทุกคืนเลยหรือเปล่า? แต่ผมไม่ใช่หมอนข้างนา หรือนี่ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของพี่เลี้ยงด้วย?

เอาเหอะ คิดซะว่าเป็นแมวสักตัวแล้วกัน


อืม.. ก็อุ่นหลังดี






ประมาณหกโมงเช้าก็มีคนมาเรียกและเขย่าตัวผมเบาๆ

พอลืมตามองก็เห็นพ่อบ้านฮัดสันกำลังก้มมองผมอยู่ในระยะประชิด ทำเอาผมสะดุ้งเกือบตกเตียง ท่าทางว่าผมจะยังไม่ชินกับหน้าตาของคนบ้านนี้แฮะ

หลังจากลุงแกขอโทษขอโพยที่ทำให้ผมขวัญบินแต่เช้าแล้ว แกก็ชี้แจงว่าผมควรจะรีบตื่นลงไปเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับคุณหนูซอลฟาของแกได้แล้ว

พูดชื่อนี้ขึ้นมาผมก็เพิ่งนึกได้ พอเหลียวหลังไปมองหาก็พบว่าเขายังนอนขดตัวหลับตาพริ้มซุกหลังผมอยู่อย่างนั้นตั้งแต่เมื่อคืน(แต่ไม่ได้กอดเอวผมแล้ว) ..ท่านอนอย่างกับหนูน้อยขาดความอบอุ่นแน่ะ

ผมกับพ่อบ้านช่วยกันจัดท่าจัดทางให้เขาใหม่ เพื่อที่เขาจะได้หลับต่ออย่างสบายตัว ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน

ผมใช้เวลาทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำไม่กี่นาทีแล้วจึงลงไปสบทบกับพ่อบ้านที่ในครัว ที่นั่นผมเพิ่งถูกแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการกับ จีน และ   ‘เอลลี่ สองสาวใช้ประจำบ้าน พวกเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ เป็นคนที่อัธยาศัยดีมาก หัวเราะง่าย คุยสนุก และน่ารักตรงที่พวกเธอพยายามพูดช้าๆ ชัดๆ เพื่อที่ผมจะได้ฟังรู้เรื่องด้วย ทั้งที่สำเนียงอังกฤษปกติของพวกเธอเร็วปรื๋อจนผมฟังไม่ออก ผมล่ะชอบพวกเธอจริงๆ

หลังจากช่วยลุงพ่อบ้านเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเรียบร้อยแล้ว สองสาวจีนและเอลลี่ก็ออกจากครัวไปทำงานบ้านอย่างอื่น ขณะที่ผมต้องอยู่ฟังอบรมหลักสูตรพี่เลี้ยงคุณชายนายแบบจากลุงฮัดสันต่อ

อาหารที่ต้องเตรียมมีทั้งหมดสองชุด ชุดใหญ่เป็นอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารหลักของคนบ้านนี้ ที่ผมต้องรับผิดชอบก็คือชุดเล็กที่เป็นอาหารประเภทมังสวิรัติ ซึ่งชุดนี้มีไว้สำหรับคุณหนูซอลฟาผู้ไม่ทานเนื้อสัตว์และต้องควบคุมน้ำหนักโดยเฉพาะ(เป็นนายแบบนี่ก็ลำบากแฮะ)

อยากจะบอกว่าไอ้เรื่องเตรียมอาหารน่ะไม่มีปัญหาหรอก ผมคุ้นเคยกับการใช้ครัวมาตั้งแต่จำความได้แล้ว(เว่อร์ครับ) แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ผมต้องมานั่งคำนวณหาปริมาณแคลอรี่ของวัตถุดิบแต่ละชนิดที่ใส่ลงไปด้วยนี่สิ

โอ้วว พระคุณเจ้า ยิ่งฉลาดน้อยเรื่องเลขด้วยสิผมเนี่ย ฮ่ะๆๆ

เลยต้องเสียเวลามานั่งเรียนคณิตหลักสูตรเร่งลัดกับพ่อบ้านพักใหญ่เชียว

ลุงพ่อบ้านบอกว่า ปกติแล้วถ้าคุณแอนเดอร์สันกับมาดามอยู่ พวกเขาจะต้องตั้งโต๊ะอาหารตอนแปดโมงของทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ เพราะคุณทั้งสองจะออกไปโบสถ์และถือโอกาสทานมื้อเช้าที่ข้างนอกเลย ส่วนของคุณหนูแฝดจะถูกแบ่งเก็บไว้ในครัว เพราะเดี๋ยวพวกเขาจะเข้ามาหากินกันเอง เนื่องจากเวลาตื่นของพวกนั้นไม่ค่อยสม่ำเสมอ บางทีก็กินบ้าง ไม่กินบ้าง แล้วแต่อารมณ์

ลุงแกยังบอกอีกว่า ฝาแฝดชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่า พวกเขาไม่ชอบให้มีใครไปยุ่งวุ่นวายกับพวกเขาจนเกินไป ต่างจากคุณหนูซอลฟาที่ทุกอย่างจะต้องถูกเตรียมไว้พร้อมและเป็นไปตามเวลาเป๊ะๆ

ถ้าอยู่ที่นี่ คุณซอลฟาจะตื่นขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติในตอนเจ็ดโมงเช้า ลงมาออกกำลังที่ห้องฟิตเนสจนถึงเจ็ดโมงครึ่ง จากนั้นเขาจะกลับขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวและลงมาทานอาหารเช้าตอนราวๆ แปดโมงครึ่ง ถ้าวันไหนมีงานเขาก็จะออกไปทำงาน แต่ถ้าไม่ เขาก็จะกลับขึ้นไปนอนต่อจนถึงบ่ายโมง แล้วค่อยลงมาทานมื้อกลางวัน เวลาบ่ายสองโมงครึ่งจะเป็นเวลาน้ำชา และเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งจนถึงสามทุ่มจะเป็นเวลาอาหารเย็นของบ้านหลังนี้ เป็นมื้อเดียวของวันที่พวกเขาจะมานั่งทานอาหารพร้อมหน้ากัน(ในกรณีที่พวกเขาอยู่กันพร้อมหน้าน่ะ)

ฟังแล้ววิงเวียน.. อะไรจะต้องเป๊ะขนาดนั้น ผู้ดีเขาอยู่กันแบบนี้เหรอ?

โอย ปวดหัว(เอามือถูหัวโล้นๆ ของตัวเอง)

ลุงฮัดสันปากพูดสอนผมไป มือก็เตรียมอาหารเป็นระวิงไม่ได้หยุด แยกแยะประสาทได้ดีมาก เห็นแล้วก็นับถือ แกบอกว่าอาหารเช้าไม่มีอะไรมากหรอก แต่ต้องเตรียมไว้เผื่อมื้อกลางวันด้วย ส่วนมื้อเย็นจะเริ่มเตรียมตอนห้าโมงเย็น ก่อนหน้านั้น..คือตอนบ่ายสามโมงของทุกวันจะเป็นเวลาของการออกไปจ่ายของสด ..แหม้ เยอะเนาะ

ผมอดถามไม่ได้ว่าบ้านนี้เขากินอาหารไทยกันไหม? ผมก็พอมีฝีมือทางด้านอาหารไทยนะ ต้ม ผัด แกง คั่ว ยำ กระทั่งส้มตำ ผมก็ทำเป็นหมดนะเออ แถมใครๆ ก็มักจะชมรสมือผมด้วย แต่ที่ถามนี่ไม่ได้แปลว่าอยากจะโชว์พราว แต่บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งน่ะ มันเลี่ยน.. มันทำให้ผมไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าที่ควร ผมโตมากับอาหารไทย ขนมไทยของยาย มันชินลิ้นกว่าและผมก็ชอบมันมากกว่าด้วย ถ้าบ้านนี้เขากินกันผมก็จะได้อานิสงส์ไปด้วยไงล่ะ จะได้ไม่ต้องทนกินขนมปัง กินซุปทุกมื้อเหมือนหลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่ผมมาอยู่ลอนดอน

ผมคิดถึงอาหารไทยจะแย่แล้ว

คำตอบคือ ..มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะออกไปทานข้างนอก ไปตามร้านอาหารไทย นานๆ ลุงพ่อบ้านก็จะลงมือทำเองสักครั้ง แต่เขาก็ยอมรับว่าตัวเองยังไม่ชำนาญพอ ทำได้แค่ไม่กี่อย่าง แต่ก็กำลังพยายามฝึกฝนอยู่ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ฝาแฝดมาอยู่ที่นี่ ทั้งคู่มักจะเรียกร้องอยากกินอาหารไทยบ่อยๆ

ผมที่กำลังคุยเพลินๆ ก็เลยหลุดปากอาสาจะเป็นครูสอนทำอาหารไทยให้พ่อบ้าน พอเห็นลุงแกมองหน้าผมนิ่ง ก็เลยเพิ่งจะสำนึกได้ ผมเป็นใคร? แล้วลุงแกเป็นใคร? ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เลยนะผมเนี่ย!

กำลังจะเอ่ยปากขอโทษ ลุงแกก็เข้ามาจับไม้จับมือผมด้วยความยินดี แล้วบอกว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ช่วยสอนให้แกหน่อย ผมถึงกับอึ้งไปเลย ก่อนจะพยักหน้ารับงงๆ

จะว่าไปแล้วก็แอบดีใจแบบแปลกๆ เหมือนกัน ที่ตัวเองดูจะมีประโยชน์แก่ชาวโลกคนอื่นขนาดนี้  

“อ่ะ.. คุณซอลฟา?” จู่ๆ ลุงฮัดสันก็เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา

ผมเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำอยู่หันไปมองแก เห็นแกมองไปทางประตูครัว ผมก็เลยมองตามไปบ้าง แล้วก็เห็นเจ้าของชื่อในชุดวอร์มกับผมที่เกล้าไว้ด้านบน กำลังยืนกอดอกพิงประตูมองดูพวกเราทั้งคู่อยู่

“ผมกำลังจะไปอาบน้ำ” เขาพูดแบบนั้นขณะมองหน้าผม

ผมก็หันไปมองลุงพ่อบ้านอีกทีด้วยไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนั้นต้องการจะสื่ออะไรกับผมเป็นพิเศษหรือเปล่า? ..หรือเขาแค่พูดขึ้นลอยๆ? ..มัน..ยังไง?

“สระผมด้วย” เสียงเขาดังขึ้นอีก

ผมหันไปมอง แล้วก็กลับมามองพ่อบ้านอีกทีด้วยคิ้วที่เริ่มผูกเป็นปม

เขาต้องการอะไรวะ? พูดเพื่ออะไรเนี่ย?

แต่ดูเหมือนลุงแกจะฟังภาษาไทยไม่ออก แกก็เลยช่วยผมไขปริศนาไม่ได้ แกหันไปมองคุณหนูของแก กำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรบางอย่าง ทางนั้นก็สวนมาซะก่อน

“ผมบอกเขาว่าผมกำลังจะไปอาบน้ำ วันนี้ผมจะสระผมด้วย” 

เพียงแค่นั้นลุงก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ผมยังไม่เข้าใจนะเฮ้ย

“ผมจะไปรอข้างบนนะ” เขาทิ้งท้ายเป็นภาษาอังกฤษ แต่กลับมองมาที่ผม ก่อนจะลับหายไปจากตรงประตู

“เขา..” ผมกำลังจะหันไปถามพ่อบ้าน แต่ลุงแกพยักพเยิดไปทางประตู

“รีบตามไปสิ”

“อะไร?”

“ไปช่วยคุณซอลฟาสระผมหน่อย”






จริงๆ นะ ถ้าจะไว้ยาวแล้วไม่มีปัญญาสระเองเนี่ย ผมว่าเขาน่าจะมาตัด สกินเฮดแบบเดียวกับผมดีกว่า ดูแลง่าย แถมเย็นสบายหัวดีด้วยเหอะ!

เอิ่ม.. ก็ไม่ได้จะโฆษณาแอบแฝงหรืออะไร เพียงแต่ผมรู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อยที่ต้องมาสระผมให้กับ..ผู้ชายด้วยกัน..แบบนี้

คือผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่น่ะ ..แต่เอาเถอะ มันก็เป็นงานนี่นะ

“ผ้ากันเปื้อนดูเหมาะกับนายดีนะ”

เขายิ้มๆ ในตอนที่ผมเปิดประตูห้องเข้ามา ผมแค่ยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรมาก แล้วก้มมองผ้ากันเปื้อนที่ตัวเองใส่ติดมาจากในครัว

ผ้ากันเปื้อนผืนนี้นางสาวเอลลี่เป็นคนเอามาให้ผมยืม ตามคำบัญชาของตาลุงพ่อบ้านฮัดสัน ถ้าจะให้อธิบายลักษณะผมบอกได้เลยว่าพื้นมันเป็นลายตารางสีขาวตัดกับสีชมพูอ่อน ตรงช่วงอกตัดเป็นรูปหัวใจ แถมมีระบายลูกไม้อยู่ตามขอบอีกต่างหาก ตอนเห็นแว้บแรกความรู้สึกของผมคือ..เอ่อ..นะ จะให้ใส่จริงเหรอ? แต่เอาเถอะ เรื่องมากไปก็ใช่ว่าชีวิตจะดีขึ้นกว่าเดิม เกรงใจด้วย คนเขาอุตส่าห์ใจดีให้ยืม ผมก็เลยหลับหูหลับตาใส่อย่างที่เห็นนี่แหล่ะ

อันที่จริงผมว่ามันก็คงจะไม่ดูแย่นักหรอก..มั้ง อย่างน้อยทุกคนก็ชมว่าผมใส่เหมาะล่ะ แม้แต่เขาคนนี้ก็ด้วย(ถึงจะไม่รู้ว่าจริงใจแค่ไหนก็เหอะ)

“ผมต้องเตรียมน้ำอุ่นให้คุณด้วยไหมเนี่ย?”

นี่ไม่ใช่จะประชดนะ แต่ผมเคยเจอในหนังสือการ์ตูนน่ะ พวกคุณหนูคุณชายมักจะต้องมีคนคอยเตรียมน้ำอุ่นให้อาบ..ประมาณนั้น แล้วเขาก็เข้าข่ายเป็นพวกนั้นซะด้วยสิ(ก็ขนาดผมยังไม่สระเองเลยนี่นา)

“จีนเตรียมไว้ให้แล้ว” เขาบอกหลังจากสลัดอาภรณ์ชิ้นชุดท้ายออกจากตัวแล้ว

ผมล่ะเชื่อเลย ถ้าเขาไม่นึกอายตัวเอง เขาก็ควรจะนึกอายผมบ้างนะ คุณว่างั้นไหม? คนอะไร ยืนแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นหน้าตาเฉย? ผมก็ทำตัวไม่ถูกเลยสิงานนี้ ..จะเอาตาไปมองตรงไหนดีวะ? 

“จะยืนมองผมแบบนี้อีกนานไหม?”

.ยังมีหน้ามาถามอีกนะ! ด้านจริงอะไรจริง ผู้ชายคนนี้!

“คุณนั่นแหล่ะ จะยืนโชว์ผมแบบนี้อีกนานไหม?” ผมสวนกลับไป

เขาดูอึ้งไปนิดหน่อย คงไม่คิดว่าจะโดนตอกกลับแบบนี้มั้ง แล้วเขาก็หัวเราะลงคอเบาๆ ก่อนเดินนำเข้าห้องน้ำไป

ให้ตายสิ.. รับมือยากกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย

แต่ อืม.. ขาวจริงเนียนจริงไปทุกส่วนเลยแฮะ(ฮ่ะๆๆ)

“นี่น้ำนม?” ผมถามหลังจากเขาลงไปนอนแช่อยู่ในอ่างน้ำเรียบร้อยแล้ว เห็นน้ำมันเป็นสีขาวๆ ขุ่นๆ ก็เลยสงสัยขึ้นมา

“อืม.. ก็มีส่วนผสมของหลายๆ อย่าง..ที่ดีต่อสุขภาพผิว”

“คุณนี่ดูแลตัวเองดีจังเลยนะ” ผมพูดไปเรื่อย ขณะเดินไปยกเก้าอี้กลมๆ ที่มีอยู่แล้วในนั้นมาวางไว้ข้างๆ อ่าง แล้วทิ้งก้นลงนั่ง ปรับท่าปรับทางให้เหมาะกับเป็นช่างสระผมเสียหน่อย ..ว่าแต่มันมีหรือเปล่าไอ้อาชีพนี้?

“ก็มันจำเป็น”  เขาบอกพลางพาดหัวไว้กับขอบอ่าง แล้วหลับตาลง 

“เคยทำมาก่อนหรือเปล่า?”

“ไม่อ่ะ” ผมตอบตามตรง

“สระด้วยแชมพูสองรอบ ล้างออก แล้วนวดด้วยทรีทเม้นท์อีกประมาณห้านาทีก็พอ ล้างออก แค่นี้ก็เสร็จแล้ว ..อ่านออกใช่ไหมว่าขวดไหนแชมพู ขวดไหน ทรีทเม้นท์?”

“อืม ยุ่งยากจัง” ผมพูดอย่างที่คิด ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบสายฉีดน้ำมาฉีดลงบนผมสีบลอนด์ของเขา

“นี่แค่ขั้นเบสิคง่ายๆ นะ นายไม่เคยบำรุงผมตัวเองบ้างหรือไง?” เขาพูดทั้งที่หลับตาอยู่อย่างนั้น

“ไม่จำเป็นหรอก ผมของผมไม่เคยยาวเกินสามเซ็นต์สักที”

ผมมันพวกขี้ร้อนน่ะ ยิ่งอากาศเมืองไทยอย่าให้พูดถึง ตอนเด็กๆ พอปิดเทอมใหญ่ทีไรผมโกนหัวตลอดอ่ะ หน้าร้อนนี่ร้อนตับปลิ้นจริงๆ

ส่วนหน้าหนาวน่ะเหรอ? ไม่มีหรอก หนังสือเรียนน่ะหลอกลวง ประเทศไทยไม่ได้มีหน้าหนาวจริงสักหน่อย ขี้ฮกทั้งเพ

“แล้วต้องทำแบบนี้ทุกวันหรือเปล่า?” ผมถามอีก

“วีคละสามครั้ง.. ถ้าผมไม่ได้ไปทำงานน่ะนะ”

“แล้วถ้าไปทำงานล่ะ?”

“ก็ต้องทำทุกครั้งหลังเลิกงาน ต้องล้างพวกเคมีที่ใช้แต่งทรงผมออก แต่ส่วนใหญ่ผมจะทำเสร็จมาจากข้างนอกแล้ว”

“อ้อ” ผมพยักหน้า

เป็นอีกครั้งที่คิดว่า การเป็นนายแบบนี่มันลำบากจริงๆ นะ

“นายมือเบาดีนะ” ระหว่างที่กำลังนวดทรีทเม้นท์เขาก็พูดขึ้นมา

“คุณอยากให้หนักมือกว่านี้อีกหรือเปล่าล่ะ?”

“แบบนี้แหล่ะดีแล้ว หนังหัวผมค่อนข้างบอบบาง”

แล้วจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนกระทั้งผมทำครบเสร็จหมดทุกขั้นตอนตามที่เขาสั่งนั่นแหล่ะ เราถึงได้เอ่ยปากต่อกันอีกครั้ง

“ผมจะลงไปเตรียมอาหารต่อแล้วนะ” ผมบอก เจ้านาย หลังจากใช้กิ๊บตัวใหญ่ตลบผมของเขาขึ้นไปเก็บไว้ด้านบนเรียบร้อยแล้ว

“อะไร?” แต่เขากลับถามเหมือนไม่เข้าใจ

“ก็สระผมให้คุณเสร็จแล้วนี่.. ผมจะลงไปทำงานอื่นต่อสักที”

“แต่ผมยังอาบน้ำไม่เสร็จเลย” เขาพูดตาปริบๆ

“แล้วไง? ต้องให้ผมอาบน้ำให้คุณด้วยหรือไง?”

สาบานว่าผมแค่พูดไปงั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีใครบ้าอยากให้ผมทำจริง แต่เขาดันตอบว่า เออ!’ ซะนี่ แล้วผมจะทำไงล่ะ?

ผมก็ต้องไปหยิบใยขัดตัวมาขัดถูๆ ให้เขาน่ะสิ

ผมเริ่มจากขัดหลังให้เขา เขาก็ยืดตัวนั่งตรงโดยไม่พูดอะไรอีก ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ก็เลยทำงานของตัวเองไปเงียบๆ อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเขาโตมาได้ยังไงจนป่านนี้ แต่จะว่าไปเมื่อคืนเขาก็อาบน้ำเองนี่หว่า หรือว่ามันจะเป็นเฉพาะวันที่เขาต้องแช่น้ำนมนี่? เหมือนที่เขาจะสระผมเป็นบางวันหรือเปล่า?

ถ้าเป็นงั้นก็ดี อย่างน้อยผมก็จะได้ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ทุกวัน ถึงเขาจะขาวจะเนียนแค่ไหนก็เหอะ ยังไงก็เป็นผู้ชายอยู่ดี

ไม่มีอะไรให้น่ามองหรอก เหอะๆ

พอผมถูหลังเสร็จ เขาก็ยื่นแขนมาให้ ผมก็เลยต้องถูแขนให้เขาต่อ เริ่มจากซ้ายแล้วย้ายไปขวา จบจากแขนก็เป็นช่วงหน้าอก รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันเพราะตอนขัดนั้นหน้าของเราอยู่ใกล้กันมากจนถึงมากที่สุด ตลอดเวลาเขานั่งมองหน้าผมเงียบๆ โดยไม่ปริปาก ผมต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่าเขาจ้องอยู่แล้วก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองไป

ผมจะขัดถูให้เฉพาะบริเวณที่อยู่เหนือน้ำเท่านั้นแหล่ะ ที่เหลือถูเอาเองแล้วกัน เพราะถ้ามากกว่านั้นผมว่ามันออกจะเกินไปหน่อยนะ

เสร็จจากตรงนั้นก็เป็นเรียวขาคู่งามของเขา ถูไปก็ให้นึกแปลกใจ อดสงสัยไม่ได้อีกว่าพวกนายแบบจะมีขาสวยแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า? มันเนียนเสียจนน่าใจหายเลยล่ะ ขนหน้าแข้งสักเส้นก็ไม่มีให้เห็นเลย เขาทำยังไงนะ?

“นายแบบนี่เค้าห้ามมีขนหน้าแข้งหรือไง?” ผมอดปากถามไม่ได้จริงๆ

“ส่วนใหญ่ก็ไม่.. แต่บ่อยมากที่ผมต้องใส่ชุดผู้หญิงตอนทำงาน” เขาเว้นช่วงนิดนึง ก่อนจะพูดต่อยิ้มๆ “มันคงจะดูพิลึกใช่ไหมล่ะ ถ้าใต้เดรสตัวสั้นจะมีแต่ขนหน้าแข้งพรึ่บพรั่บเต็มไปหมดน่ะ?”

พอนึกภาพตามที่เขาพูดก็ต้องพยักหน้าเห็นด้วยหงึกๆ 

“คงดูประหลาดจริงๆ”

“ขัดมาถึงโคนขาเลยก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เขาบอกเรียบๆ เมื่อเห็นผมเอาแต่ถูกซ้ำไปซ้ำมาแต่ตรงหน้าแข้ง

แต่ว่านะ ผมไม่ได้เกรงใจ แต่ผม ไม่อยาก ต่างหาก

เข้าใจกันบ้างไหมเนี่ย?

“คุณขัดเองไม่ได้หรือไง?” ผมละสายตาจากขาเขา แล้วเปลี่ยนไปจ้องหน้าเขาแทนอย่างต้องการคำตอบ ไม่รู้ว่าคิดอะไรของเขาสิน่า เป็นผมคงรู้สึกจั๊กจี้พิลึกถ้ามีใครมาทำอะไรแบบนี้ให้

“ก็ได้อยู่” เขาตอบหน้าตาย

“งั้น” ผมกำลังจะวางใยที่ใช้ขัด แต่อีกฝ่ายดันพูดขึ้นก่อน

“ผมชอบให้คนอื่นขัดให้มากกว่า” เขามองหน้าผมอย่างพิจารณาก่อนจะถามด้วยสายตาไม่แน่ใจ “หรือนายกำลังกลัวอะไร?”

“ผมจะต้องกลัวอะไร?” ผมถามกลับงงๆ

“นายแอบคิดไม่ซื่อกับผมอยู่หรือเปล่า?” 

ช่างกล้าคิดนะ! คราวนี้ผมแสดงสีหน้ารังเกียจออกไปอย่างไม่ปิดบังเลย

เอาสิ เขาจะได้รู้สักทีว่าผมน่ะคิดยังไง?

“เคยบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้” ผมย้ำเป็นคำพูดอีกที จะได้แน่ใจว่าเขาจะไม่ตีความเป็นอย่างอื่น

เอ้อ ก็หวังว่ามันจะไม่กระทบกระเทือนต่อตำแหน่งหน้าที่ของผมหรอกนะ ผมยังไม่อยากกระเด็นออกจากบ้านหลังนี้ก่อนเวลาอันควร

“มั่นใจจริงนะ” เขาพูดยิ้มๆ ด้วยแววตาล้อเลียน

นั่นทำให้ผมแอบระบายลมหายใจ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกรธที่ผมพูดออกไปตรงๆ การงานผมยังมั่นคงอยู่ ..โอเค

“แหงล่ะ ผมเป็นผู้ชายนี่” ผมยักไหล่ และเริ่มขัดลึกลงไปในส่วนที่อยู่ใต้น้ำ

(แค่ต้นขาน่ะ อย่าเพิ่งคิดมาก)

เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมต้องประหลาดใจ 

“แล้วตอนนี้มีคนที่คบอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

“ฮะ?”

“ก็แค่ถามดูเฉยๆ” คราวนี้เขาเป็นฝ่ายยักไหล่บ้าง

“ไม่.. ผมเพิ่งเลิกกับแฟน” ผมตอบตามจริง

“ทำไมล่ะ?” เขาถามอีก

“มันเป็นเรื่องของระยะห่างน่ะ” ผมตอบ แต่หน้าตาเขาดูยังไม่เคลียร์ก็เลยช่วยสงเคราะห์ต่ออีกหน่อย “เราคบกันตั้งแต่ ม.ปลาย แต่พอเข้ามหาลัยเราสอบติดคนละที่ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ห่างเหินกันไปตามธรรมชาติ”

“อ้อ..” คนฟังพยักหน้ารับรู้ แล้วก็เงียบไปคล้ายมีเรื่องให้คิด

ผมเลยถือโอกาสนั้นถามบ้าง “แล้วคุณล่ะ? มีแฟนหรือยัง?”

“ถามแบบนี้.. คิดจะจีบผมหรือไง?” เขาถามกลับพลางยกยิ้มมุมปาก

“ก็ถามไปงั้นแหล่ะ ทีคุณยังถามผมเลยนี่ หรือคุณคิดจะจีบผม?” ผมสวนกลับไปบ้าง สาบานว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ พูดไปงั้นๆ ก็แค่อยากตอกกลับให้เขาได้สะอึกบ้าง แต่ดันถูกเขาทำอึ้งเองซะนี่..

“นั่นสิ จีบดีหรือเปล่านะ?” เขาจ้องตาผมตรงๆ แถมยังยิ้มแบบแปลกๆ อีก

เล่นเอาผมไปไม่เป็นอยู่อึดใจใหญ่ คือ..ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่ทั้งหน้าทั้งตาของเขาตอนนี้มันดู เอ่อ...เจ้าเล่ห์..ล่ะมั้ง?

“.........” ก็หวังว่าตลอดเวลากว่าสิบชั่วโมงที่ผ่านมานี่ ผมไม่ได้ตัดสินใจอะไรพลาดไปหรอกนะ?

หรือเปล่า..?

“ผมโสดน่ะ” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาผมเอ๋อรับประทานอีกรอบ 

“ตอบคำถามนายก่อนหน้านี้ไง”

“อ๋อ..” ผมเออออแบบก่งก๊งเล็กน้อย

จริงสิ เมื่อกี๊ผมเพิ่งถามไปว่าเขามีแฟนหรือยังนี่นา อืม แล้วเขาก็เลยตอบว่า โสด สินะ

“นายดูงงๆ นะ ตกใจหรืออะไร?” เขาหัวเราะลงคอแบบชอบใจ

นี่ผมกำลังโดนเขาแกล้งปั่นหัวเล่นหรือเปล่าเนี่ย? 

“หรือกลัวผมจะจีบจริงๆ?”

“คุณไม่ทำแบบนั้นหรอก” ผมส่ายหัว เอาใยขัดตัวไปวางไว้ที่เดิม

เขาก็แค่แหย่ผมเล่นล่ะน่า

“ทำไมล่ะ?” เขาดึงขาของตัวเองกลับไปแช่น้ำตามเดิม แล้วขยับตัวขึ้นนั่งพิงขอบอ่าง

“เพราะผมเป็นผู้ชาย” ผมบอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ก็ผมชอบผู้ชาย” เขาเองก็ชัดถ้อยชัดคำไม่แพ้กัน

“.........” พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย!

โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สินะ

“.........”

จริงๆ ตอนนี้ผมควรจะทำอะไรสักอย่างกับใบหน้าสวยๆ และริมฝีปาก เซ็กซี่ๆ ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้

แต่.. ผมกำลังนึกแปลกใจว่าตอนนี้ตัวเองได้กลายเป็นหินไปแล้วหรือยังไง? ทำไมผมไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมือของเท้าตัวเองเลยนะ?

ผลักเขาออกไปสิ! ผลักเขาออกไป! กดให้จมน้ำตายไปเลยก็ได้!

เอ้ย..ไม่ได้ๆ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้าเขาตายผมก็ต้องติดคุกน่ะสิ ติดคุกที่นี่ก็ต้องทนกินแต่ขนมปังโฮลวีทหยาบๆ แข็งๆ ไม่เอาๆ

แต่เอ๊ย! มันใช่เวลามาฟุ้งซ่านถึงเรื่องนั้นไหมเนี่ย?

“.........”

รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาถอนหน้าออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงรสสัมผัสแปลกๆ ที่ยังติดค้างอยู่บนริมฝีปากของผม..

“เมื่อวานผมค่อนข้างจะหงุดหงิดเพราะทุกอย่างมันดีเลย์จนเวลาผมรวนไปหมด เลยไม่ทันได้สังเกตนายเท่าไหร่ แต่พอมาลองพิจารณาดีๆ แล้ว.. นายเป็นแบบที่ผมชอบเป๊ะเลย ดูซื่อๆ เชื่องๆ แล้วก็ไม่เรื่องมากดี”

“คุณเป็นเกย์?” 

ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนั้นโง่ถามออกไปได้ยังไง ทั้งที่การกระทำและคำพูดของเขามันออกจะชัดเจนขนาดนี้

“ใช่ ผมเป็นเกย์” แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ตอบกลับมาให้ได้ชื่นใจ

“.........”

อา.. บางทีผมอาจจะไม่ได้โชคดีอย่างที่ตัวเองคิดก็ได้นะ

คุณว่างั้นไหม?








TBC.