MADAME MAFIA
chapter 10
“ซอลลี่ พี่ยังอยู่ที่นี่อีกเหรอ?”
วันนี้ผมตื่นสาย ตื่นมาก็ไม่เจอซินกับสกายอีกแล้ว
เจอก็แต่ซอลลี่ที่นั่งเลี้ยงลูกแฝดอยู่คนเดียว แล้วนี่ยูริไปไหนซะล่ะ?
“นี่~” พอเจ้าเด็กแฝดเห็นผม
ก็ชูแขนวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางดีใจ
แต่แขนผมใช้การได้แค่ข้างเดียว เลยไม่รู้จะอุ้มใครก่อนดี
ผมย่อตัวนั่งหอมแก้มหลานคนละที เจ้าพวกนั้นก็เลียหน้าผมกลับคนละสองที(ลูกคนหรือลูกหมาวะ?)
แล้วเดินไปนั่งทานกาแฟกับซอลลี่ โดยมีเจ้าพวกตัวเล็กคอยเกาะแข้งเกาะขาไม่ห่าง
“ที่จริงก็ตั้งใจจะไปวันนี้ล่ะ แต่ยูน่ะสิ จู่ๆ ก็ไม่สบาย”
“หืม แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
“หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แค่หวัดธรรมดา
กับมีไข้อีกนิดหน่อย ให้ทานข้าว ทานยา ตอนนี้ก็หลับไปแล้ว”
“หมอเหรอ?”
จะว่าไปหมอเองก็ไม่สบายเหมือนกันนี่นา
“อืม เป็นหมอผู้หญิงน่ะ พ่อบ้านช่วยไปตามมาให้”
อ๋อ พวกเขามีหมอคนอื่นอยู่ด้วยนี่เอง
“นี่~ เที่ยว..~”
เจ้าหนูเดลออดอ้อนให้ผมพาไปเที่ยว
ขณะที่เจ้าชิพพยายามจะปืนขึ้นมาบนตักผมให้ได้
“ช่วยพาเบบี๋ไปเดินเล่นหน่อยสิ”
“ด้วยสภาพนี้เนี่ยนะ?”
ผมก้มมองแขนพิการของตัวเอง “...แล้วพี่ล่ะ?”
“พี่จะอยู่เป็นเพื่อนยู แต่ไม่อยากให้เบบี๋อยู่ใกล้ๆ
เดี๋ยวจะติดหวัดไปด้วย”
“นี่~ เที่ยว~” เจ้าเดลเขย่าขาผม ส่วนเจ้าชิพที่ปีนขึ้นตักผมได้แล้วก็มาร่วมด้วยช่วยกันเขย่าคอผมอีกแรง
นี่กูไม่ใช่กระบอกเซียมซีนะ
“เที่ยว! นี่~ เที่ยว~”
เออ เอาเข้าไป ทำไมมันยั้วเยี้ยะแบบนี้วะ
“ช่วยไม่ได้ ไปก็ไป”
ผมจำใจตกลง
“เย้! ไป! ไป!” เจ้าแฝดดีใจ
ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันใหญ่
“ซันนี่”
เสียงเนิบๆ ของผู้มาใหม่เรียกรอยยิ้มกว้างได้จากผม
แต่พอเห็นสายตากรุ้มกริ่มของซอลลี่ก็เลยต้องหุบหน้าบานๆ ของตัวเองลงมาหน่อย
“ฟ้า”
วันนี้เขาก็ใส่เชิ้ต ผูกไทด์ แถมใส่เสื้อกั๊กทับมาอีกที(...ร้อนจะตายห่า)
ไหนบอกว่าวันนี้ว่างไง? แต่งตัวมาเต็มขนาดนี้คงไม่ใช่แค่แต่งอยู่บ้านเล่นๆ มั้ง
“วันนี้ไม่ว่างแล้วเหรอ?”
เชรดด ทำไมเสียงผมมันอ่อนแบบนั้นวะ?
ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย แอบเหลือบมองซอลลี่ก็เห็นหมอนั่นนั่งอมยิ้มอยู่อีก หึยย...
“ว่างนะ”
เขาตอบมึนๆ
เจ้าหนูเดลผละจากขาผมไปกอดขาฟ้า เฮ้ย
เอ็งรู้จักเขาเหรอนั่น?
เดลเงยหน้ามองฟ้า ฟ้าก็ก้มหน้ามองเดล
สองคนจ้องตาคล้ายหยั่งเชิงกัน ก่อนที่ฟ้าจะก้มลงมาอุ้มเดลขึ้นไป ...แปลก
ปกติเจ้าหนูเดลจะกลัวคนแปลกหน้านี่หว่า ผิดกับเจ้าชิพพี่มัน ทั้งที่ไม่เคยกลัวใครแต่
ตอนนี้กลับกอดคอผมแน่น แถมยังได้ยินเสียงขู่ ฮื่อๆ
อย่างกับลูกหมาที่เจอหมาตัวใหญ่กว่างั้นล่ะ
(ตกลงมึงลูกคนแน่ใช่ไหมเนี่ย?)
“แล้วทำไมถึงแต่งตัวงั้นอ่ะ?” ผมกลับมาสนใจเรื่องเสื้อผ้าของฟ้าต่อ
ฟ้าก้มมองตัวเอง
“...ก็ปกตินะ”
ปกติ? มนุษย์ปกติเขาผูกไทด์อยู่บ้านกันด้วยเหรอวะ?
“หล่อเป็นปกติ”
เขาพูดหน้าตาเฉยมาก จนผมอดขำไม่ได้
“พวกนายนี่ดูสมกันแปลกๆ ดีนะ” ซอลลี่หัวเราะหึหึ
สมกันมันก็ดี แต่ไม่ต้องมี ‘แปลกๆ’ ต่อท้ายได้ไหมวะ คุณพี่?
“งั้นพี่ขอฝากลูกไว้กับพวกนายทั้งคู่เลยแล้วกัน ซ้อมไว้
เผื่อได้มีของตัวเอง”
ผมหัวเราะแกนๆ กับมุขฝืดของซอลลี่ ลูกผมกับฟ้าเนี่ยนะ?
เหอะๆๆ
ซอลลี่เก็บโทรศัพท์ แล้วมาล่ำลาลูกน้อยที่ไม่งอแงสักแอะ(เหมือนมันรู้ว่าถ้าอยู่กับป๊ะป๋าวันนี้คงไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน)
ก่อนจะไปยังมีบีบไหล่ฟ้าเบาๆ อีกที
“หืม...”
ซอลลี่ขมวดคิ้วสงสัย แล้วลองบีบไหล่ฟ้าอีกที ไม่แน่ใจ
ลองบีบต้นแขนดู กลับมาบีบไหล่อีก ลองลูบหน้าอก หืม คลำหน้าอก เอิ่ม ขยำหน้าอก เฮ้ย!?
“เฮ้/เฮ้!” ทั้งผมทั้งซอลลี่ร้องออกมาเกือบพร้อมกัน
“แฟนนายก็แอบมีของดีเหมือนกันนี่นา”
“นั่นของน้องนะ!”
“พี่ก็อยากให้ยูลองมีกล้ามอกแบบนี้บ้างเหมือนกัน...”
นอกจากจะไม่เลิกขยำ แล้วยังจะไปกอดคอซบไหล่เขาอีก ซอลลี่!
“บอกว่านั่นของน้อง ยัง ยังไม่ปล่อยอีก!”
ผมทนไม่ไหวต้องเข้าไปตีมือบอนๆ ของพี่ชายคนโต
ประมาทไม่ได้หรอกคนนี้ ซอลลี่ขี้ยั่ว
ซอลลี่ผู้มากด้วยประสบการณ์(กาม) ซอลลี่โคตรเกย์ไร้พ่าย ขืนผมลดการ์ดลงล่ะก็...
ไอ้มึนก็ไอ้มึนเหอะ
“ตอนเด็กๆ ริต้าก็บอกเสมอนี่ ว่าพี่น้องต้องแบ่งปัน” ซอลลี่ลูบมือที่โดนตี
“.......” ผมจ้องตาอีกฝ่ายให้รู้ว่ามุขนี้ไม่ฮา แถมยังพาเครียดอีก
จะให้แบ่งผู้ชายกับพี่ชายเนี่ยนะ? ...เอิ่ม โอเค
ผมรู้ว่ามันฟังแปลกๆ(ทำไมถึงมีแต่ ‘ชาย’
วะ?) แต่ยังไงก็ไม่แบ่งโว้ยยย!
“หึหึ เข้าใจแล้วน่า” ซอลลี่ยกมือทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้
แต่ก่อนไปยังจะมีแอบโน้มตัวไปกระซิบข้างหูฟ้าอีก
“ไว้ซันนี่เผลอแล้วค่อยเจอกัน”
“ ! ” ผมชูนิ้วกลางให้พี่ชาย
“ฮ่าๆๆๆ” แต่เจ้านั่นกลับหัวเราะชอบใจ
“Bye.~”
เจ้าหนูเดลที่ไม่ได้เข้าใจถึงความเจ้าชู้ของป๊ะป๋ามัน
ส่งจูบหวานจ๋อยตามหลังไป ขณะที่เจ้าชิพก็ไม่สนใจใครทั้งนั้น จะอ้อนให้พาเที่ยวอย่างเดียว
“นี่~ เที่ยว~”
“ยิ้มอะไร?”
ผมถามไอ้มึนที่ยืนยิ้มอยู่
เดี๋ยวเหอะ เมื่อกี๊ยืนเฉยให้เขาลวนลามเลยนะ
อย่าบอกว่ามึงเองก็ชอบ?
“ซันนี่... ขี้หึงเนาะ”
เขาหันหนีผมไปคุยกับหนูเดล
“หึ่ง! เนาะ!” หนูเดลก็พยักพเยิดไปกับเขาทั้งที่ไม่เข้าใจหรอก
“นี่... หึ่ง?”
เจ้าชิพเอียงคอ ขมวดคิ้วมองผมอย่างสงสัย
“ไม่หึ่งเว้ย อาบน้ำแล้ว” ผมแกล้งเอาก้นไปชนหน้ามัน
“อึ่ง!”
มันบีบจมูกตัวเอง
ฮ่าๆๆ ไอ้เปี๊ยกนี่ ตัวแค่นี้ก็รู้จักแกล้งทำแล้วเหรอ
“สักทีดีมะ?” ผมยกเท้าจะเตะมันเพราะหมั่นเขี้ยวเหลือเกิน
“อ๊ายยย”
มันกรี๊ดแตก วิ่งหนีผมไปรอบๆ ตัวฟ้ากับเดล ฮ่าๆๆๆ
“มาๆ อย่าหนีเด้!”
“อ๊ายยย~ เอิ๊กกก~”
“โอ้โห...”
ผมนึกว่าตัวเองหลุดมาอยู่ญี่ปุ่นซะอีก
หลังจากนั่งรถกอล์ฟเข้ามาในป่าทางทิศใต้ออกของคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีราวๆ ไมล์ครึ่ง เราก็เจอเข้ากับป่าไผ่ที่ดูเหมือนมาอยู่ผิดที่ผิดทางสุดๆ
แล้วใจกลางต้นไผ่พวกนั้นก็มีกระท่อมสไตล์ญี่ปุ่นอยู่หลังหนึ่ง เป็นที่พักส่วนตัวของหมอเคอิ
ผมได้ยินมาว่าหมออาศัยอยู่ที่นี่คนเดียว ก็แอบห่วง(นี้ดดดนึง)ว่าจะแอบตายอย่างโดดเดี่ยวอะโลนไปแล้วหรือเปล่า
เมื่อวานเห็นอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย เลยให้ฟ้าช่วยพาผมพร้อมกับชิพเดลมาดูใจหมอ(เผื่อ)เป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อย
เขาจะได้ไปสู่ที่ชอบๆ ไม่มาวนเวียนกับพวกเราอีก
“ทำไมเขาถึงมาอยู่ในที่แบบนี้... อ๊ะ ชิพ อย่าพล่านๆ”
ผมรีบจับหลานตัวแสบที่ทำท่าจะวิ่งเล่นตามอำเภอใจกลับมา แกะสายจูง(เด็กซน)จากเป้ใบเล็กๆ
ที่ให้เจ้าตัวเล็กสะพายติดหลังมาถือไว้ ก่อนปล่อยมันเป็นอิสระตามเดิม(...ก็อิสระตราบเท่าที่อยู่ในระยะของสายจูงล่ะนะ)
ส่วนฟ้าก็อุ้มหนูเดลที่เป็นเด็กดีนั่งรออยู่นิ่งๆ
ลงจากรถ
“เมื่อก่อนพ่อก็เคยชวนให้ไปอยู่บนตึกด้วยกัน แต่เคอิจังบอกว่ากลัวจะอดใจแอบไปเชือดพ่อตอนหลับไม่ได้
แล้วบอกให้พ่อสร้างกระท่อมหลังนี้ให้แทน”
ถึงจะบอกว่า ‘กระท่อม’ แต่ความจริงแล้วมันเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม
ขนาดกำลังน่ารักน่าอยู่เลย รอบบ้านนอกจากต้นไผ่ ก็มีสวนหิน บอนไซ น้ำตกจำลอง แปลงดอกไม้
แล้วก็มีแปลงผักอยู่ข้างบ้านด้วย
มีจักรยานเสือภูเขาอีกสองคันด้วย(ไอ้นี่แอบไม่เข้าพวกนะเนี่ย)
“แล้วพ่อมึงก็สร้างให้?”
“อือ”
คือใจกว้างแท้...
เป็นผมไม่ได้นะ จะให้คนจับมาดึงขนหน้าแข้งซะให้เข็ด
เผื่อจะหายเกรียน
“ที่จริงเคอิจังแค่อยากได้กระท่อมธรรมดา แต่ทั้งบ้านทั้งสวนสไตล์ญี่ปุ่นจ๋านี่ดูเหมือนจะเป็นความสนุกมือของพ่อเอง”
“.......”
พ่อฟ้าก็คงจะแปลกคนอยู่บ้างเหมือนกันสินะ ไม่งั้นก็คงจะไม่มีลูกหน้ามึนถึงเพียงนี้...
“เคอิจัง?” ฟ้าส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้าน
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ลองเอื้อมมือไปจับประตูที่เป็นบานเลื่อนแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่นก็พบว่ามันไม่ได้ล็อค
เขาเลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง
“เคอิจัง...?”
เราต้องถอดรองเท้าเพราะพื้นกระท่อมปูด้วยเสื่อตาตามิ ภายในกระท่อมดูสะอาดสะอ้าน
ไม่ค่อยมีข้าวของมากนัก บ่งบอกถึงความสมถะเรียบง่ายของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่
ภายในยังแบ่งเป็นห้องย่อยอีก 3 ห้อง
ฟ้าไล่เปิดดูทีละห้องจนไปเจอหมอเคอิปูฟูกนอนห่มผ้าอยู่ในห้องสุดท้าย
ซึ่งเป็นห้องใหญ่สุด ประตูบานเลื่อนทั้งสองด้านของห้องถูกเปิดทิ้งไว้เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเทสะดวก
“ ? ”
หมอไม่ได้หลับ แถมพอเห็นเราเขายังรีบยกมือจุ๊ปากบอกให้เงียบๆ
อีก
สาเหตุที่ทำแบบนั้นก็เพราะว่าในห้องยังมีใครอีกคนที่กำลังนอนหนุนแขนตัวเองหลับอยู่ข้างๆ
ฟูกของเขา ถึงจะเห็นแค่ข้างหลังแต่ผมก็จำได้ว่านั่นคือ มานะ?
ผมรู้จากฟ้าว่าวันนี้เป็นวันหยุดของมานะ
เพราะงั้นผมถึงไม่เห็นมันคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ฟ้าเหมือนอย่างทุกวัน แต่ไหงถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?
ได้ยินว่ามานะพักอยู่หอพักเหมือนกับการ์ดคนอื่นๆ นี่นา
“.......”
นอกจากจะไม่รับแขกแล้ว หมอยังโบกมือไล่แขกยิกๆ อีกแน่ะ นิสัย...
เออๆ ไปก็ได้วะ เห็นท่าทางมีชีวิตชีวาขนาดนั้นคงจะยังไม่ตายเร็วๆ
นี้หรอก
“ทำไมมานะถึง...?”
ผมหันไปคุยกับฟ้าหลังกลับออกมานั่งใส่รองเท้าอยู่หน้ากระท่อมกัน
“คงมาดูใจเคอิจังเหมือนเรามั้ง” ฟ้าพูดพลางใส่รองเท้าให้หนูเดล
เห... ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นดีกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีกนะเนี่ย
“เฮ้ย ชิพ! กลับมาใส่รองเท้าก่อน”
ผมมัวแต่สนใจคนอื่น ลืมสนใจไอ้หลานแสบที่วิ่งแต๊ดแต๋ตามใจเข้าไปในสวนหินของหมอเคอิทั้งที่ยังไม่ได้ใส่รองเท้า
“ไอ้ชิพ!” ผมรีบตามไปก่อนที่มันจะก่อเรื่อง
“แอ๊~!!”
ยังไม่ทันขาดคำ! มันพลาดตกลงไปในลานของน้ำตกจำลอง
ดีที่น้ำตื้นแค่ตาตุ่ม นอกจากเปียกก็เลยไม่ได้รับอันตรายอะไรอีก
แต่ก็ทำเอาขวัญเสียล่ะ
“ชิพ” ผมรีบไปยกหลานขึ้นอย่างลุทักทุเลด้วยแขนข้างเดียว
ฟ้าที่ตามมาทันพอดีกำลังจะเข้ามาช่วยอีกแรง แต่ไอ้เด็กจอมดื้อที่หายตกใจแล้วดันเตะน้ำใส่ฟ้าซะอย่างนั้น
โดนเต็มๆ หน้าเลยด้วย เอิ่ม...
“โทษที...”
ผมขอโทษขอโพยฟ้าแทนหลาน
“แน่ะๆๆๆๆ”
ไอ้ดื้อเตะน้ำอีกหลายทีรัวๆ อย่างสนุกสนาน และคงคิดว่าคนอื่นเขาจะสนุกไปกับมันด้วยมั้ง
คราวนี้ไม่ใช่แค่ฟ้า แม้แต่ผมเองก็เปียกแล้วล่ะ
“ไอ้ชิพ!” ผมตวาดอย่างสุดจะทน
“แอะ...” ไอ้เด็กดื้อตกใจหน้าเสีย
“นี่~” แต่พอตั้งตัวได้ก็เข้ามากอดมาอ้อนประจบประแจง
หอมแก้มซ้ายขวาเอาใจผม จนฟ้าหมั่นไส้หรือไงไม่รู้ เขาถึงได้วักน้ำใส่ก้นมัน
“แอ๊~!”
เท่านั้นล่ะพี่น้อง
สงครามระหว่างไอ้เด็กน้อยกับไอ้เด็กโข่งก็บังเกิด ไอ้ตัวเล็กก็ไม่ยอมไอ้ตัวใหญ่
ไอ้ตัวใหญ่ก็หารู้จักการให้อภัยไอ้ตัวเล็กไม่ สาดโต้กันนัวอ่ะ
“หยุดๆๆ”
ผมพยายามจะหยุดศึกระหว่างหลานกับแฟนที่แสนจะปวดหัว แต่ไม่มีใครยอมฟังผมสักคน
จนผมรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ ...มันจะสนุกสนานกันไปกันถึงไหน!?
“กูบอกให้หยุด!!”
เพล้งงง !!!
เสียงตวาดอันดังลั่นของผมตามมาด้วยเสียงแตกของกระถางบอนไซ
“เดล!”
หันไปก็เห็นหนูเดลยืนปิดปากทำตาโตตกใจอยู่ใกล้ๆ
เศษซากกระถาง
“ทสึ-บา-กิ-จ๊างงงง!!”
หมอเคอิวิ่งโร่ตาเหลือกมากอบกุมทสึบากิจัง...เอิ่ม...ต้นคามีเลีย
บอนไซ ที่นอนแอ้งแม้งทั้งดอกทั้งดินกระจายอยู่เต็มพื้นด้วยความเสียอกเสียใจ
“เดล เจ็บหรือเปล่า?”
ผมก็รีบเข้าไปดูหลานคนเล็กเหมือนกัน
“โฮฮฮฮ ทสึบากิจังของผม เพิ่งจะกลายเป็นสาวสะพรั่งได้ไม่นานแท้ๆ...”
ช่างหัวทสึบากิจังของหมอเหอะ
ว่าแต่หลานผมเจ็บตรงไหนไหมเนี่ย?
“ฮึ” เจ้าตัวเล็กส่ายหัว
ตาเหลือบมองไปทางหมออย่างกลัวความผิด
ท่าทางเจ้าตัวจะไปชนหรือทำอะไรสักอย่างแล้วมันหล่นลงมาอย่างไม่ตั้งใจ
“ไม่เป็นไรหรอก”
ผมปลอบหลานพลางจับมือเล็กๆ นั่นไว้
“คุณหมอเขาเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง
เขาไม่โกรธกับเรื่องหยุมหยิมแค่นี้หรอก”
ผมก็รู้สึกเสียใจที่ของเขาเสียหายนะ
แต่เด็กน้อยมันก็ไม่ได้ตั้งใจอ่ะ
“ใช่ไหมฮะ หมอ?”
หมอที่กอดทสึบากิจังไว้แนบอกตวัดสายตามามองเรา แต่พอเห็นสายตาน่าสงสารของเจ้าลูกหมาน้อยเดล
ก็เหมือนว่าเขาจะใจอ่อนยวบ
“ผมไม่โกรธหรอก ไม่เป็นไรนะ...”
หมอพูดกับเจ้าหนูน้อยอย่างมีเมตตา
นี่สิ เขาถึงเรียกว่า ‘ผู้ใหญ่’ ...
เพล้งงง !!
“โอ-ริ-บึ-ซ๊างงง!?”
หมออุ้มทสึบากิจังกระโจนไปหาต้นโอลีฟ หรือต้นมะกอก บอนไซ
ที่ไอ้เจ้าชิพเพิ่งจะเซไปชนจนกระถางมันโค่นลงมา... กระถางไม่แตก แต่เหมือนจะมีกิ่งหัก
“ชิพ...”
ผมตบหน้าผากตัวเอง เอ็งจะอยู่เฉยๆ บ้างไม่เป็นหรือไงว้า...
ไอ้นั่นก็รู้งาน มันเห็นท่าไม่ดีก็รีบทำตาปริบๆ แป๋วๆ เรียกคะแนนสงสารจากหมอบ้าง(คงเห็นว่าน้องมันทำแล้วรอด)
หมอก็เกือบจะเชื่อมันแล้วเชียว ถ้าไม่เหลือบไปเห็นกระบอกไม้ไผ่ หนึ่งในชิ้นส่วนของน้ำตกจำลอง
อยู่ในมือของไอ้ตัวแสบซะก่อน
“ซันชายน์!
พาหลานของคุณออกไปจากสวนผมเดี๋ยวนี้เลย!”
หวาววว เขาเรียกชื่อผมถูกด้วยว่ะ ครั้งแรกเลยนะเนี่ย! ...ให้ตาย
รู้งี้ผมน่าจะพาไอ้ชิพมาเยี่ยมเยียนสวนเขาตั้งนานแล้ว
อุ๊บส์... เกือบจะเผลอทำไฮไฟว์กับชิพแล้วเชียว
ถ้าหมอไม่ตวัดสายตาเคืองๆ มามองซะก่อน ไปชิพ ไปเดล
เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของพวกเรา เผ่นเต๊อะ
“ฮ้าววว.. เกิดอะไรขึ้น..น่ะ...?” มานะเพิ่งจะเดินงัวเงียออกมา
แต่พอเห็นหน้าพวกผมก็เหมือนจะตาสว่างทันทีเลยล่ะ
เพล้งง !!
นั่น แล้วยังเอาเท้าไปเตะกระถางบอนไซที่ตั้งรับแดดรำไรตกลงมาจากชานระเบียงอีก
คราวนี้เป็นต้นวิสทีเรียที่กำลังออกดอกสวยเชียวล่ะ หมอ... ว่าไง?
“ฟู-จิ-จ๊างงง!!?”
หมอเครียดจัดจนอาการทรุด ไข้ขึ้นอีกรอบ...
มานะเลยต้องพาเขากลับเข้ามานอนพักในบ้าน
ส่วนผมกับฟ้าและหลานๆ ก็มาขอใช้เครื่องซักผ้าบ้านเขาอบเสื้อผ้าเปียกๆ ให้แห้ง
ระหว่างนั้นผมกับฟ้าเลยต้องยืมชุดยูกาตะของหมอใส่ไปก่อน ส่วนเจ้าชิพกับเจ้าเดลแค่แพมเพิสตัวเดียวก็เอาอยู่
“ชิพ! มาใส่กางเกงก่อน”
คือ.. ถ้ามันจะยอมให้ผมใส่ให้อ่ะนะ
“ฮิฮิ”
มันหัวเราะ พยายามเบี่ยงตัวหลบซ้ายขวาไม่ยอมให้ผมจับได้
“ชิพ! อาบอกให้มาใส่กางเกงไง เอาดีๆ”
“โน!”
มันส่ายหัวดิ๊ก ปฏิเสธกันหน้าด้านๆ เลย
ฮึ่มม ไอ้หน้าตาแป้นแล้นนั่นมันน่าโบกสักทีจริงเชียว
กางเกงไม่ยอมใส่ แถมมือก็ยังจับดึงหนอนน้อยของตัวเล่นอีกต่างหาก
มึงไม่มีอะไรจะเล่นแล้วรึง๊ายย?
“กลัวมันจะไม่ยาวหรือไง ไอ้นั่นน่ะ?” ผมเข้าโหมดจริงจัง
“เดี๋ยวชิพโตขึ้นมันก็ยาวเองแหล่ะ ไม่ต้องไปเร่งมันหรอก ...ที่จริงบ้านเราก็ไม่มีใครเล็กนะ
เออ แต่อาไม่เคยเห็นของพ่อจ๋าเอ็ง เพราะงั้นไม่ขอยืนยันร้อยเปอร์เซนแล้วกัน
แต่ถึงงั้นก็ไม่ควรจะไปดึงมันบ่อยๆ อยู่ดี รู้ไหม ได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้นเหอะ”
“ฮิเดโกะๆ” เสียงเรียกเบาๆ คล้ายเกรงใจ
“อะไร?”
ผมหันไปถามอย่างรำคาญ
ดูสิ ไอ้ชิพมันกำลังตั้งใจฟังผมตาปริบๆ เลย จะมาขัดทำไมเนี่ย?
“ไม่ได้อยากจะขัดหรอกนะ
แต่การเล่นหนอนน้อยเป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนี้
เพราะสัมผัสแล้วมันรู้สึกดีเขาก็เลยชอบที่จะสัมผัส เขาไม่เข้าใจหรอกว่ามันจะสั้นจะยาวหรือจะเล็กจะใหญ่
มีแต่ผู้ใหญ่ทะลึ่งๆ อย่างฮิเดโกะแหล่ะที่แคร์เรื่องแบบนั้น”
“อ้าว เหรอ...”
ผมหน้าม้านกับความเปิ่ของตัวเอง
“ไม่รู้นี่หว่า คนไม่เคยมีลูก” บ่นอ้อมแอ้มกลบเกลื่อนความอาย
“ผมถึงได้บอกอยู่นี่ไง แค่ใส่แพมเพิสให้เขา เขาก็เลิกจับมันเล่นแล้ว”
“รู้แล้วน่า”
“ฮิฮิ”
แต่ไอ้ดื้อชิพมันดันหนีผมไปอีกแล้วนี่สิ
“ชิพ กลับมานะ...!”
ผมเอี้ยวตัวไปคว้ามันเกือบจะได้แล้วเชียว
แต่มันดันเบี่ยงตัวหนีไปทางประตูซะก่อน และเพราะประตูดันเลื่อนเปิดกะทันหันอีก
ทำให้เจ้าเด็กดื้อตกใจ มันหมุนตัว 180 องศา แล้วพุ่งกลับมาเข้าอกผมด้วยแรงทั้งหมด
“เฮ้ย!?”
ผมที่หลักไม่ดีอยู่แล้วก็หงายท้องสิครับงานนี้
ตึง !!
“โอยยย ไอ้ชิพ...”
เพราะมือหนึ่งต้องกอดเจ้าชิพเอาไว้ อีกมือก็ใช้การไม่ได้
หลังผมก็เลยลงพื้นเต็มแรง โชคดีที่ยังเป็นพื้นเสื่อนะเนี่ย โอยๆๆ กรรมอะไรของผมนักหนาวะ...
“หือ?”
ฟ้ากับมานะก็คือคนที่เปิดประตูเข้ามา
พวกนั้นออกไปช่วยกันเปลี่ยนกระถางบอนไซที่เสียหายให้หมอเคอิตามที่เจ้าตัวเรียกร้องมา
“โอะยะๆ สีดำอีกแล้วล่ะ...” ฟ้านั่งยองๆ มองกางเกงในผม
(เพราะชุดยูกาตะมันถลกขึ้น ท่าผมตอนนี้อย่าให้บรรยายเลย)
“ธรรมดากว่าที่คิดแฮะ”
มานะที่ยืนอยู่ข้างหลังออกความเห็น
“แต่ซันนี่ก็ใส่แบบขาสั้นตลอดนะ” ฟ้าให้ข้อมูลเนิบๆ ตามประสาเขา
“เห.. ผมนึกว่าฮิเดโกะจะใส่แบบเปิดก้น ไม่ก็บีกินี่เว้าสูงซะอีก
ลุคคุณมันให้ความรู้สึกว่าน่าจะใส่อะไรแบบนั้นมากกว่า” หมอร่วมวงวิจารณ์กางเกงในผมอีกคน
“ไม่อ่ะ นึกว่าจะใส่แบบตาข่าย ไม่ก็หนังสีดำมากกว่า”
“บ๊จจังล่ะ อยากให้เป็นแบบไหนมากกว่า?”
“อืมม.. ไม่ใส่เลยดีกว่า”
“ฮ่าๆๆ นึกแล้วว่าต้องพูดแบบนี้”
“บ๊จจังคนลามก~”
“พวกมึง...”
ผมพูดเสียงเย็นอย่างข่มอารมณ์ถึงที่สุด
“หือ?”
พวกนั้นหันมาสนใจผมเป็นครั้งแรก หลังมัวแต่ไปสนใจกางเกงในผม
“ยังไม่รีบดึงกูขึ้นอีก!”
สิ้นคำผม มานะรีบกระวีกระวาดมาช่วยยกเจ้าชิพออก
ฟ้าก็รีบเข้ามาช่วยพยุงผมลุกขึ้น ส่วนหมอก็กลิ้งกลับไปนอนห่มผ้าอยู่บนฟูกตัวเองตามเดิม
เออดี!
“ใส่แพมเพิสให้ไอ้ชิพด้วย” ผมยัดแพมเพิสใส่อกฟ้า
เขารับไปแล้วพยายามจะใส่ให้เจ้าชิพอย่างทุลักทุเล
ขนาดมีมานะคอยช่วยจับไอ้ตัวแสบไว้ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย มันทั้งดิ้น ทั้งถีบ
ทั้งกรี๊ด เรียกว่าสู้ตายเหอะ
“นี่...”
หนูเดลที่เฝ้าดูความวุ่นวายอย่างเงียบๆ มาตลอดเข้ามาแตะไหล่ผม
พอผมหันไปมองเจ้าตัวเล็กก็ลูบท้องตัวเองให้ดู “หม่ำๆ”
“หิวแล้วเหรอ? ป่ะ งั้นไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
ผมจูงมือหนูเดลไปหาเสบียงในกระเป๋าที่เอามาด้วย
ใครไม่หิวก็ปล่อยให้พวกมันตีกันต่อไปแล้วกัน
ช่างแม่ง...
“แตงโมเย็นๆ ครับ มาดาม”
มานะที่หายเข้าครัวไปสักพักกลับมาพร้อมถาดแตงโมเย็นเจี๊ยบเหมือนเพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็น
หั่นเป็นชิ้นสามเหลี่ยมพร้อมทาน แถมยังแงะเม็ดออกให้ด้วย
ว่าแต่ไอ้สรรพนามนั่นไม่เข้าหูเลยว่ะ
“ขอบใจ...”
ผมหยิบแตงโมเย็นๆ มากินให้ชื่นใจ
ตอนนี้เจ้าพวกตัวเล็กก็หลับไปแล้ว(หลังได้ดูดนมไปคนละขวด)
ค่อยเงียบหูขึ้นมาหน่อย โดยเฉพาะไอ้ตัวแสบชิพนี่ทำเอาปวดหัวกับมันจริงๆ แผลงฤทธิ์แผลงเดชสุดกำลัง
ขนาดเลี้ยงพวกมันยังไม่ถึงครึ่งวันผมยังเหนื่อยปานนี้ คิดไม่ออกเลยว่ายูริที่ต้องเลี้ยงพวกมันทุกวันๆ
จะรู้สึกเหนื่อยปานไหน(...ซอลลี่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรหรอก
เพราะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ส่วนยูริเป็นแม่.. เอ่อ พ่อบ้านเต็มเวลา)
“มานะคุง~ เหงื่อผมออกเต็มตัวไปหมดเลย ช่วยเช็ดตัวให้ผมหน่อยสิ”
“เป็นไข้หรือว่าเป็นง่อย? แค่นี้ก็ทำเองดิ” มานะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ใจร้าย...
ที่มานะคุงมาวันนี้ก็เพราะจะมาดูแลผมไม่ใช่เหรอ?”
“ละเมอเรอะ? ถ้าตาแก่ไม่ใช้ให้เอาซุปไก่มาให้ ใครมันจะอยากมาที่นี่วะ?”
ตาแก่ของมานะ คงจะหมายถึงพ่อบ้านเมรันดรีนั่นล่ะ
แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าแค่เอาซุปมาให้
หมดธุระแล้วจะกลับเลยก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องมานอนเฝ้าเขาจนเผลอหลับไปแบบเมื่อกี๊เลย(..แถมยังหลับลึกซะด้วย)
ห่วงก็บอกว่าห่วงเห๊อะ มานะคูง~
“ใจร้าย...” หมอคร่ำครวญ
“น่ารำคาญจริง”
มานะลุกขึ้น แล้วเดินปึงปังหายเข้าไปข้างใน
ตอนแรกผมก็นึกว่าจะเดินหนีเพราะรำคาญหมอ แต่ครู่เดียวหมอนั่นก็กลับออกมาพร้อมกะละมังกับผ้าเช็ดตัว
...อ้าว ซึนนี่หว่า มานะคุง
หือ...
เพราะมัวแต่แอบสนใจคู่ของหมอกับมานะ เลยไม่ทันสังเกตว่าคนที่นั่งข้างๆ
กำลังสนใจอะไรอยู่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นิ้วเย็นๆ
ของเขาแตะถูกผิวตรงขาอ่อนผมเข้าแล้ว ...ไอ้นี่ แล้วจะมาเขี่ยสาบชุดยูกาตะของผมให้แหวกออกเพื่อ...?
“เดี๋ยวเถอะ”
ผมดีดนิ้วซุกซนจนเจ้าตัวต้องรีบชักกลับไป
“ก็ซันนี่เซ็กซี่อ่ะ” เขาบ่นแล้วแทะแตงโมงต่อ
ผมขยับเปลี่ยนท่านั่งจากไขว่ห้างเป็นห้อยขาธรรมดา(เรานั่งอยู่ตรงชานระเบียง
หันหน้าออกไปทางสวน) พลางจัดสาบชุดให้มิดชิดกว่าเดิม เผลอไม่ได้เชียว
“ความผิดกูหรือไงที่เกิดมาเซ็กซี่อ่ะ”
“หึหึ” ฟ้าชอบใจในความมั่นหน้าของผม
“คราวหน้าซันนี่ลองใส่กางเกงในแบบเปิดก้นให้ดูบ้างสิ”
“ไม่มี”
“เดี๋ยวซื้อให้”
“ไม่ใส่”
“ทำไม?”
“ไว้มึงกล้าใส่มาโชว์กูเมื่อไหร่ แล้วกูจะใส่ให้ดูแล้วกัน” ผมกินแตงโมบ้าง
“ฮืมมม...”
ตาคู่สีดำสนิทมองผมอย่างครุ่นคิด
แต่ผมตงิดๆ
ว่าสิ่งที่มันคิดคงจะไม่ค่อยสร้างสรรค์สักเท่าไหร่
“แล้วแบบลูกไม้ล่ะ?”
“ห๊ะ?”
“คราวก่อนเห็นโฆษณาในเน็ตเขาโชว์แบบกางเกงในลูกไม้สำหรับผู้ชาย
สวยดีนะ ซันนี่สนไหม? ลูกไม้สีดำน่าจะเหมาะนะ”
“เทสมึงนี่นะ...”
ผมอ่อนใจกับความสนใจแปลกๆ ของคนรัก
แล้วมันไปเข้าเว็บแบบไหนถึงเจอโฆษณากางเกงในได้เนี่ย? น่าสงสัยจริง...
“ซันนี่ไม่ชอบลูกไม้เหรอ?”
“กูชอบ ถ้าเป็นของผู้หญิงน่ะ” ผมตอบตรงๆ
เมื่อไหร่มึงจะเลิกพูดเรื่องกางเกงในสักที...
ผมได้แต่นึกในใจ
“หืม...
นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าซันนี่จะชอบใส่กางเกงในของผู้หญิง”
“พ่องดิใส่!” ผมเกือบสำลักแตงโมแล้วไง ฮึ่ย
“เรื่องนั้นไม่รู้หรอก ต้องลองไปถามคุณแม่ดู”
กูด่ามึงแหล่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพ่อมึงจริงๆ หรอก
ไอ้นี่...
“กูหมายถึงกูชอบผู้หญิงที่ใส่ชั้นในลูกไม้
ไม่ใส่ว่ากูชอบใส่เอง!”
“แต่กูไม่ชอบ”
เขาสวนทันควัน
“อ้าว มึงเป็นคนเปิดประเด็นลูกไม้มา
กูก็นึกว่ามึงจะชอบเหมือนกันซะอีก”
“กูไม่ชอบที่มึงไปชอบผู้หญิงนั่นแหล่ะ”
“ทำไม? กูไม่ใช่เกย์นี่หว่า” พูดไปแล้วก็กลืนน้ำลายตัวเอง
อย่างผมไม่เกย์ แล้ว... ใครแม่งเกย์วะ?
“ซันนี่หลายใจ”
เออ ใช่! ไอ้นี่แหล่ะเกย์
มันเกย์ก่อน แล้วเอามาติดผม...
“อะไรเล่า! กูก็แค่ชอบ
ไม่ได้หมายความว่ากูนอกใจมึงสักหน่อย”
“ชอบคนอื่นนอกจากแฟนไม่เรียกว่านอกใจได้ไง?”
“มันไม่เหมือนกัน”
“แล้วมันต่างกันยังไง?”
“.......”
นี่ผมต้องมาดีเบตกับมันด้วยเรื่องไร้สาระนี้แบบนี้จริงๆ
เหรอวะ?
“มึงชอบแตงโมนี่ไหม?”
ผมเห็นว่าแตงโมในมือเขาหมดแล้ว ก็เลยหยิบชิ้นใหม่ส่งให้
ฟ้าพยักหน้า พร้อมยื่นมือออกมารับแตงโมไปกิน
“มึงก็นอกใจกูเหมือนกันแหล่ะ” ผมกล่าวหา
เขาเหลือบตามอง
แววตาของเขาบ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูด
“ถ้าใช้ตรรกะเดียวกับมึง ตอนนี้มึงก็กำลังนอกใจกูไปหาแตงโม”
“ฮึ” เขาส่ายหัวดิกทั้งที่หลักฐาน(แตงโม)เต็มปาก
ผมเท้าคางมองเขายิ้มๆ รู้สึกเอ็นดูแปลกๆ ฮ่ะๆๆ
“ก็เหมือนกันแหล่ะ ที่กูชอบผู้หญิง หรือมึงชอบแตงโม มันก็เป็นแค่เรื่องของความชอบ
เรื่องของรสนิยม ไม่เกี่ยวกับเรื่องนอกใจสักหน่อย เอาไว้กูไปมีอะไรกับผู้หญิง
หรือมึงไปมีอะไรกับแตงโมเมื่อไหร่สิ นั่นล่ะถึงเรียกว่า ‘นอกใจ’
”
“แต่กูไม่เคยมีอารมณ์กับแตงโมนะ”
“ฮ่ะๆๆ งั้นเหรอ...”
ผมยื่นนิ่วไปเช็ดเศษแตงโมที่เรอะแก้มเขา แล้วเอามาเลียซะเอง
..อืม หวาน
“ซันนี่...”
ฟ้าโน้มหน้าเข้ามาหา
คงเพราะต้านทางแรงยั่วที่ไม่ได้ตั้งใจ(??)ของผมไม่ไหว แต่ก่อนที่ริมฝีปากของเราจะได้สัมผัสกัน
เสียงไอของหมอเคอิก็ดังขัดคอชุดใหญ่
“แค่กๆๆๆ.ๆ..ๆ”
“แหม นอกจากเป็นไข้แล้วยังมีปัญหากับปอดด้วยมั้งเนี่ย” ผมแกล้งว่า
“สสัยจะตายเร็วๆ นี้แหล่ะ” มานะวินิจฉัยจากอาการ
“ไปสู่ที่ชอบๆ นะ”
ฟ้าช่วยสวดส่งวิญญาณ(ล่วงหน้า)
“ไม่ แค่ก... ผมยังไม่ตาย! ผมจะอยู่ให้ได้ 120 ปี!...แค่กๆๆ..โอยย แค่กๆๆๆ”
“คงจะไม่รอดจริงๆ แล้วว่ะ”
“ไม่น่าเลย หมอ...”
“เคอิจัง...”
“แค่กๆๆๆ”
“บอสฟา”
พอกลับมาถึงคฤหาสน์ ก็มีผู้หญิงสองคนมาหาฟ้า
รูปร่างหน้าตาสะสวยทั้งคู่ ท่าทางดูเหมือนพวกคุณหนูไฮโซ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเธอเป็นใคร
แต่รู้สึกว่าคุ้นหน้า เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ...ที่ไหนล่ะ? อืมม
“สวัสดีตอนกลางวันค่ะ ...โอ้ เด็กพวกนี้ลูกใครกันคะ
หน้าตาน่ารักจัง”
ผู้หญิงคนแรกเข้ามาหยอกเจ้าหนูเดลที่ฟ้าอุ้มอยู่ด้วยท่าทางสนิทสนม..
ผมหมายถึง เธอดูสนิทสนมกับฟ้าน่ะ(ใครวะ?) ส่วนผู้หญิงคนที่สองเพียงแค่ยิ้มแล้วค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการทักทายพวกเรา
อย่าหาว่าหลงตัวเองหรืออะไรเลย(ถึงจะจริงก้เหอะ) แต่ผมว่าเธอคนนั้นเจาะจงส่งยิ้มมาที่ผมเป็นพิเศษนะ
อย่างกับว่าเราเคยรู้จักกันงั้นแหล่ะ ...แต่ก็คุ้นหน้าจริงๆ
นะ
“หลานของซัน...” ฟ้าชะงักไปนิดนึง “...ซันชายน์ นี่ซันชายน์”
เขาพยักพเยิดมาทางผมเป็นเชิงแนะนำให้ผู้หญิงคนนั้นรู้จัก
“โอ้ ฉัน ชินเซีย สฟอร์ซา ค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จัก”
เธอยื่นมือมาจะจับกับผม
แต่ผมไม่เหลือมือว่างสำหรับเธอเลย(ข้างหนึ่งอยู่ในผ้าคล้องแขน อีกข้างอุ้มเจ้าชิพเข้าเอว)
เราก็เลยต่างคนต่างเก้อไปทั้งคู่
“ยินดีครับ”
“ค่ะ.. อ้อ นั่น ชีร่า น้องสาวฉันค่ะ”
เธอผายมือไปทางสาวคนข้างหลังที่ทำเพียงส่งยิ้มให้ผมเหมือนเดิม
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพวกเธอเป็นใคร
พี่น้องสฟอร์ซาที่อยู่ในข่าวลือเรื่องหมั้นของฟ้าไงล่ะ ที่ผมนึกไม่สักทีเพราะคืนนั้นผมเห็นพวกเธอแค่ไกลๆ
แถม...คุณก็รู้ พวกผู้หญิงน่ะแปลงร่างได้ โดยใช้เวทมนต์ที่ชื่อว่า ‘เมคอัพ’ ไง แค่เปลี่ยนเมคอัพก็เหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว
“เพื่อนคุณเหรอคะ?
ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
ชินเซียหันกลับไปคุยกับฟ้าที่พยักหน้าแทนการตอบคำถาม
“หลานของคุณน่ารักจังเลยค่ะ”
เธอหันมาพูดกับผมอีก
เอื้อมมือมาจะจับแขนเจ้าชิพเหมือนที่เคยทำกับหนูเดล แต่เจ้าดื้อมันบิดแขนออก
ไม่ยอมให้จับ เธอก็ยิ้มเหมือนไม่มีอะไร แล้วปรายตามองไปทางฟ้าแบบเขินๆ
ตอนพูดประโยคถัดมา
“ฉันเองก็อยากมีลูกน่ารักๆ แบบนี้เหมือนกันค่ะ”
นี่หวังจะให้เขาทำลูกให้หรือไง แม่คุณ?
อคติทำให้ผมเห็นความสวยของผู้หญิงตรงหน้าลดน้อยลงไปทุกวินาที
“พี่” ชีร่าส่งเสียงเรียกพี่สาวเบาๆ
นั่นทำให้ชินเซียเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ พวกคุณปู่ให้ฉันมาตามคุณไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันค่ะ”
ฟ้าหันมามองผมเล็กน้อย
คงเพราะเมื่อกี๊เขาบอกว่าจะไปทานมื้อเที่ยงกับผมที่ห้อง แต่ตอนนี้เราคงต้องเปลี่ยนแผนกันแล้วล่ะ
“คุณด้วย?” ฟ้าถามหญิงสาวตรงหน้า
“ค่ะ คุณพ่อของฉันกับคุณแม่ของคุณด้วย”
“คุณแม่ด้วย...” เขาดูเหมือนไม่รู้อะไรเลย
ขณะที่ผมชักสงหรณ์ใจไม่ดี อย่าบอกนะว่า...
“ใช่ค่ะ ตอนนี้พวกผู้ใหญ่กำลังคุยเรื่องหมั้นของเรากันอยู่”
“.......”
อย่างที่คิดเลย...
“นี่~” เจ้าชิพทุบไหล่ผมเรียกร้องความสนใจ
“ว่าไง?” ผมถามหลาน
“ชิพ...หม่ำ...”
เจ้าตัวเล็กอ้อน
“ชิพอยากหม่ำแล้วเหรอ?”
“หม่ำ หม่ำ”
มันพยักหน้าหงึกๆ
ถึงเวลากินแล้วด้วยนี่นะ... ผมมองหลานอย่างนึกอิจฉานิดๆ เป็นเด็กนี่ก็ดีนะ
ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย หิวก็เรียกหาของกิน ง่วงก็นอน อยากได้อะไรก็แค่อ้อน...
ถ้าวันนี้ผมอ้อนให้ฟ้าเลือกไปทานมื้อเที่ยงกับผม เขาก็คงจะไป
แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อผมก็ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการครอบครองเขาอยู่ดี
‘แบบนั้นจะต่างอะไรจากขโมยล่ะ?’
มาดามวาเนสซาพูดถูก
ที่ผมกำลังทำอยู่นี่มันไม่ได้ต่างจากขโมยเลย
คนที่ได้แต่แอบลักกินขโมยกินแบบนี้ยังจะไปปากดีพูดเรื่องศักดิ์เรื่องศรีกับคนอื่นอีก
น่าขำ..
“ฟ้า เอาเดลมาเหอะ กูจะได้พาเด็กๆ ไปกินข้าว
ส่วนมึงก็...”
ผมพยักพเยิดไปทางชินเซียร์เป็นเชิงบอกให้ฟ้าไปกับเธอ
ผมแอบหวังว่าเขาจะอิดออด แต่ก็เปล่า ตอนนี้เขาดูเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายมากกว่าผมซะอีก
เขายอมปล่อยเดลลง เจ้าหนูเดินเตาะแตะมาหาผมอย่างว่าง่าย
“เสร็จแล้วจะไปหานะ”
ฟ้าบอกเป็นเชิงสัญญา
ผมพยักหน้ารับ ทั้งที่ในใจร่ำร้องว่า อย่าไป อย่าไป...
กลับมา...
“ชีร่า?”
ชินเซียหันกลับมาเรียกน้องสาวที่ยังยืนอยู่กับที่
“พี่ไปกันเถอะ ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ
ว่าจะเดินเล่นอยู่แถวนี้แหล่ะ”
ชีร่าได้รับสายตาไม่พอใจจากพี่สาวตอบกลับมาหลังพูดไปแบบนั้น
“ไม่เอาน่า จริงๆ เรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้วนี่”
“ตามใจ”
ชินเซียเดินเคียงคู่กับฟ้าไปโดยไม่สนใจน้องสาวอีก
“.......”
ผมเกลียดภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้
ใครที่ได้มาเห็นเหมือนผมก็คงจะคิดว่าพวกเขาช่างดูเหมาะสมกัน
และผมเกลียดความคิดแบบนั้นที่สุด
“ขอตัวนะครับ” ผมหันไปลา ชีร่า สฟอร์ซา ตามมารยาท
“พวกเราก็ไปกินข้าวกันดีกว่า” ผมพูดกับหลาน
“เข้า! เข้า!”
เจ้าพวกลูกหมูพอได้ยินเรื่องของกินก็คึกคักกันขึ้นมาทันที
“เดี๋ยวก่อน”
เสียงเรียกของชีร่าทำให้ผมต้องหันกลับไป
“ครับ?”
“จริงๆ แล้วคุณคือคนรักของบอสฟาสินะ?”
!?
“คุณอาจจะไม่รู้ตัว
แต่สายตาที่คุณใช้มองพี่สาวฉันมันไม่น่ารักเอาซะเลย”
เธอพูดยิ้มๆ ท่าทางเหมือนไปรู้อะไรมามากกว่าจะแค่สังเกตเอาจากสายตาของผม
แต่ผมก็เดาไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ดี
“ผมว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ” ผมจ้องตาอีกฝ่ายตรงๆ
“ไม่ต้องตั้งการ์ดกับฉันขนาดนั้นก็ได้ ฉันเป็นพันธมิตรของคุณนะ”
“.......”
พันธมิตร?
โปรดติดตามตอนต่อไป.......

มาต่อไวๆนะคะ ^^
ตอบลบเพิ่งได้มาอ่านภาคต่อฮือค้างมากกกก ดีน้าที่ตัดสินใจจองไป2ภาคมาต่อไวๆนะค่ะ คิดถึงฟ้ามาก(โดนซันนี่ตบ;w;) รออ่านต่อค่ะ รอหนังสือด้วยอยากได้มากอดแล้ววววววว *0* *o*
ตอบลบ