hi AURORA
Chapter 1
ตลอดมา...
ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดวงแข็ง
“อั้ก...อึก...โอ๊ย! ..พอแล้ว..ยอมแพ้แล้ว! ..ไม่สู้แล้ว!”
ผมโบกไม้โบกมือร้องอ้อนวอนเป็นภาษาไทยโดยไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือไม่
หวังเพียงให้เท้าที่กำลังเหยียบย่ำลงมานั้นหยุดการกระทำเสียที..
ตอนนี้รู้แค่ว่าเจ็บจนเริ่มเบลอ
บางทีในร่างกายของผมอาจจะมีกระดูกหักสักสามซี่สี่ซี่แล้วก็เป็นได้
มันเป็นการแส่หาเรื่องของผมเองที่คิดจะไปวิ่งราวกระเป๋าของไอ้หน้าหวานแต่สันดานโหดนี่
ก็ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่ามันจะโหดสัสถึงเพียงนี้
โอย..เล่นกระทืบกันไม่ยั้งเลยนะพ่อคุณ
คิดบ้างไหมเนี่ยว่าผมจะเจ็บ?
แต่เอาเถอะ มันเป็นความซวยของผมเอง ผมจะไม่โทษว่าเป็นความผิดของใครแล้วกัน
แต่อยากจะบอกอะไรไว้อย่าง
เผื่อว่าคุณอาจจะเข้าใจผิด
นี่ไม่ใช่อาชีพหลักของผมหรอกนะ
ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นมิจฉาชีพ ปกติแล้วผมเป็นสุจริตชนคนธรรมดาที่หน้าตาโคตรจะดี
พอๆ กับดวงที่โคตรจะซวยของผมนั่นแหล่ะ อันที่จริงมันเป็นครั้งแรกของผมด้วยซ้ำที่คิดอะไรนอกลู่นอกทางได้ขนาดนี้
แต่ตอนนี้ผมไม่มีทางเลือก และก็คิดอะไรที่ประเสริฐกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ..ผมกำลังจนตรอก
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันผมยังสุขสบายดีที่เมืองไทยอยู่เลย
ผมใช้เงินเก็บทั้งชีวิตเกือบยี่สิบปีของตัวเองพาตัวเองบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงที่นี่..
เมืองผู้ดี ณ ลอนดอน
ผมถือวีซ่านักท่องเที่ยวเป็นระยะเวลาสามเดือน
แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักของผมก็คือเที่ยว
รองลงมาก็คือการได้ฝึกภาษาและหาตังค์ใช้..ตามลำดับ
บอกได้เลยว่าผมไม่ใช่ลูกคนรวย
ผมเคยมีพ่อกับแม่แต่พวกท่านก็ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกตายไปตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้
ยายเป็นคนที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนตอนนี้หอย..เอ้อ ผมไม่มีนี่หว่า
เอาเป็นว่ายายก็เลี้ยงผมมาจนโตเป็นควายให้ชาวบ้านได้กระทืบอย่างเต็มบาทาเหมือนอย่างตอนนี้แหล่ะ
นอกจากผมจะไม่ใช่ลูกคนรวยแล้วผมก็ยังไม่ใช่หลานคนรวยด้วย
ยายผมเป็นแม่ค้าขายขนมไทยมาตั้งแต่สมัยสาวๆ จากหาบเร่ เลื่อนขั้นมาเป็นแผงลอย
จนปัจจุบันมีร้านเป็นหลักเป็นแหล่งอยู่แถวสุขุมวิท กิจการดีพอสมควร
แต่ก็ไม่ใช่ร้านใหญ่โตอะไร
ยายมีแม่ผมเป็นลูกเพียงคนเดียวและเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
ส่วนสามีของยายนั้นระเหยไปนานแล้ว(ยายว่างั้น)
พอแม่เรียนจบก็ไปทำงานเป็นแอร์โฮสเตสอยู่พักใหญ่
จนกระทั่งได้เจอกับพ่อของผมที่เป็นลูกครึ่งรัสเซี่ยนอเมริกัน
พ่อทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ของบริษัทยาแห่งหนึ่งในอเมริกาที่มีสาขาในประเทศไทยด้วย
ทำให้ต้องเดินทางบ่อยๆ ทั้งคู่ตกหลุมรักและแต่งงานกัน
จนมีผมออกมาเป็นสักขีพยานแห่งรัก
‘ยูริ แฮตเชอร์’ ก็คือชื่อของผม
‘แฮตเชอร์’
เป็นนามสกุลของพ่อ ส่วน ‘ยูริ’
คือชื่อที่พ่อตั้งให้ แต่ผมยังไม่ทันโตพอที่จะได้ถามหาความหมาย ท่านก็ด่วนจากไปเสียก่อนในตอนที่บินไปเยี่ยมญาติที่นิวเจอร์ซี่พร้อมกับแม่
ผมก็เลยต้องโตมาโดยที่ไม่รู้ว่าชื่อของตัวเองมันแปลว่าอะไร?
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาจากภาษาของดาวไหน?
..แถมยังเป็นลูกครึ่งที่พูดภาษาอื่นไม่ได้นอกจากภาษาไทยอีก
มันค่อนข้างจะเป็นปัญหา..
ใช่ล่ะ และมันก็มันเป็นแบบนั้นมาตลอดตั้งแต่ผมเริ่มเข้าโรงเรียน
ก็ทั้งหน้าตาและนามสกุลของผมมันฝรั่งจ๋าขนาดนี้
แต่ผมกลับพูดภาษาฝรั่งไม่ได้เรื่องเลย
และผมก็ไม่เก่งกาจพอที่จะสปีคอิงลิชแบบคล่องปรื๋อทั้งที่เรียนโรงเรียนวัดมาตลอดชีวิตหรอก
โอเค.. คุณอาจเถียงว่าเด็กบางคนสามารถทำได้
ก็ใช่ แต่นั่นคงไม่ใช่ผม ไม่ใช่แน่ๆ ผมยอมรับตรงๆ
ก็ได้ว่าผมมันหัวทึบพอสมควร
เพราะสาเหตุนี้แหล่ะที่ทำให้ผมถูกล้อว่าเป็นฝรั่งขี้นกอยู่บ่อยๆ
หาว่าผมถูกเก็บมาจากกองขยะบ้างล่ะ และอีกสารพัดที่เด็กๆ
จะคิดค้นขึ้นมาล้อเลียนผมได้
แต่นั่นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก ปัญหาจริงๆ
มันอยู่ที่ชื่อของผมต่างหาก
‘ยูริ’ จะเรียกธรรมดาแบบผ่านๆ
หรือเน้นย้ำแบบหนักแน่น ไม่ว่ายังไงๆ มันก็ฟังเหมือนชื่อของเด็กผู้หญิงอยู่ดี
‘ยูริจัง’
คือชื่อล้อที่ผมได้ยินบ่อยที่สุด และมันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องย้ายโรงเรียนบ่อยที่สุดด้วย
อย่างที่คุณคิดนั่นล่ะ ผมต่อยปากพวกนั้น
และวันต่อมายายก็ถูกเชิญไปที่โรงเรียน
เป็นแบบนี้วนเวียนอยู่หลายครั้งกว่าผมจะจบมัธยมต้น
แต่พอขึ้นมัธยมปลายก็ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าเรียกชื่อนั้นให้ได้ยินอีกแล้ว
และผมก็ไม่ต้องถูกไล่ออกอีก ..เรื่องมันก็ประมาณนี้
หลังจบมัธยมผมก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพนั่นแหล่ะ
คณะวิทยาศาสตร์ สาขาจุลชีววิทยา มันไม่ใช่ว่าผมอยากจะเจริญรอยตามพ่อหรอกนะ
ผมเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี ผมไม่ใช่พวกที่มีความฝันอยากเป็นหมอ เป็นตำรวจ
เป็นครู หรืออยากกู้โลกแบบซุปเปอร์แมน สไปร์เดอร์แมน อะไรเทือกนั้น
แหงล่ะ ผมไม่ได้อยากใส่กางเกงในไว้ข้างนอก
หรือห้อยโหนไปมาระหว่างตึกสูงนี่นา
ผมค่อนข้างจะเป็นเด็กเฉื่อยๆ
ที่ชอบใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีจุดมุ่งหมายนัก ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เพราะค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ที่ยอมรับกันจากใบปริญญา
จบมาจะทำมาหากินได้จริงหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่อง
ก็ใช่ ผมแค่เรียนเอาใบปริญญาไปงั้น
มันฟังดูงี่เง่า?
ผมพอรู้ตัวน่า..
ระหว่างเรียนผมก็ทำงานไปด้วยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรบกวนเงินยายจนเกินไป
ก็ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดีรู้จักกตัญญูทดแทนคุณอีกนั่นแหล่ะ ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตอย่างอิสระ
อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ แต่ผมคงจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจแน่ ถ้าจะทำแบบนั้นโดยที่ยังแบมือขอเงินยายอยู่
ผมก็เลยต้องรู้จักหาเงินด้วยตัวเองบ้าง ผมเริ่มทำแบบนี้มาตั้งแต่มัธยมปลายแล้ว
หลังเลิกเรียนผมจะไปทำงานที่ร้านฟาสต์ฟู้ดใกล้บ้าน แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยผมก็เปลี่ยนไปทำงานที่บาร์ของคนรู้จักแทน
เพราะที่นั่นให้เงินดีกว่า ถึงจะต้องกลับบ้านดึกดื่นกว่าเดิมก็เถอะ
แต่ยังไงผมก็โตพอจะรับผิดชอบตัวเองแล้ว
หลังจากเก็บเงินมาพักใหญ่ผมก็ตัดสินใจมาที่อังกฤษ
มันเป็นเมืองที่ผมใฝ่ฝันอยากจะมาเห็นนานแล้ว
สมัยเด็กๆ ผมชอบอ่านนิยายนักสืบเรื่อง ‘เชอร์ล็อค โฮลมส์’ ของ ‘เซอร์อาร์เธอร์ โคแนน ดอยล์’ มากมาย ที่มานี่ก็เพราะอยากจะมาดูว่าเมืองที่นักสืบผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อยู่มันมีบรรยากาศเป็นยังไงกันแน่?
ถนนเบเกอร์มันอยู่ตรงไหน? แล้วบ้านเลขที่ 221B
มันมีอยู่จริงหรือไม่? ..ก็แค่นั้น
บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นแรงจูงใจที่ไร้สาระ
..ซึ่งผมเองก็คิดงั้น
แต่ยังไงมันก็เป็นความตั้งใจจริงของผมล่ะนะ
ผมมาที่นี่ทั้งที่ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับพิการซ้ำซ้อน
แถมยังไม่รู้จักใครเลย แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาเท่าไหร่(มองโลกในแง่ดีสุดๆ)
คุยกันภาษาปากไม่รู้เรื่อง ก็คุยเป็นภาษามือคงพอถูไถไปได้มั้ง?
อีกอย่างที่เคยบอกไปแล้ว ผมมั่นใจในดวงของตัวเองพอสมควร
เพราะที่ผ่านมามันก็เป็นแบบนั้น
ผมมักจะโชคดีเสมอเวลาเจอสถานการณ์ที่ย่ำแย่หรือเข้าตาจน ..จริงๆ นะ
ผมเตรียมตัวโดยการศึกษาสถานที่ที่ควรจะไป ร้านรวง
และถนนหนทางมาดีในระดับหนึ่ง
แต่ไม่ทันเตรียมใจว่าจะมาถูกปล้นกระเป๋าไปต่อหน้าต่อตาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกจากสนามบิน
มันเร็วเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน
เจ้าหน้าที่ช่วยอะไรผมไม่ได้นอกจากให้สัญญาว่าจะติดต่อมาเมื่อเจอกระเป๋าหรือจับคนร้ายได้
ผมต้องไปยังที่พักที่จองเอาไว้ทั้งที่ไม่มีกระเป๋าเสื้อผ้า
โชคดีที่เงินและเอกสารสำคัญอยู่ในเป้ที่สะพายติดตัว
ผมใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอยู่ที่นั่นเกือบสองสัปดาห์
ไปเที่ยวดูตามสถานที่แนะนำมาจนครบ เงินของผมก็ริ่มร่อยหรอ
กระเป๋าก็คงจะไม่ได้คืนถาวรแน่แล้ว ผมคิดว่าคงจะอยู่ที่เดิมต่อไปอีกไม่ได้
มันแพงเกินไป ถ้าผมยังอยากจะอยู่ให้ครบกำหนดวีซ่าผมก็น่าจะไปหาที่อยู่ใหม่ที่ถูกกว่านี้
และต้องหางานทำเสียที
คิดได้แบบนั้นผมก็ไปบอกยกเลิกห้อง
ตั้งใจจะไปหาห้องใหม่ ระหว่างที่เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนน ผ่านย่านไชน่าทาวน์ ความซวยก็มาเยือนอีกครั้ง
ผมโดนเด็กบอร์ดคนหนึ่งวิ่งราวกระเป๋าเป้..
พอเหอะ ผมจะไม่พูดถึงมันแล้ว
กลับเข้าเรื่องปัจจุบันกันเลยดีกว่า
ขณะที่ผมเดินหมดอาลัยตายอยากจากย่านไชน่าทาวน์มาจนถึงย่านโซโห
คิดไม่ตกว่าควรจะทำยังไงกับตัวเองต่อไปดี
ผมรู้ว่าผมควรไปติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หรือไม่ก็สถานทูต
แต่ก็นั่นแหล่ะ ผมยังไม่อยากกลับบ้าน
ผมเพิ่งมาได้แค่สิบกว่าวันเอง เงินเก็บทั้งหมดของผมส่งผมมาจนถึงที่นี่แล้ว
จะให้กลับไปง่ายๆ มันก็นะ..
ตอนนั้นแหล่ะที่ผมเห็นไอ้หมอนี่
มันเพิ่งจะเดินออกมาจากร้านหนังสือหน้าตาประหลาดร้านหนึ่ง
กำลังก้มหน้าก้มตาดูหนังสือที่อยู่ในมือโดยไม่สนใจใคร
บนไหล่มีกระเป๋าหนังสีดำใบใหญ่คล้ายๆ แบบที่พวกผู้หญิงเขาใช้กันพาดอยู่หมิ่นเหม่
หน้าตามันก็ดูเหมือนผู้หญิง รูปร่างสูงโปร่งค่อนไปทางผอม
ใส่เสื้อผ้าสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูเหมือนพวกเด็กร็อคอังกฤษทั่วไป กะจากสายตาก็น่าจะสูงกว่าผมแค่นิดหน่อย
ความคิดอกุศลของผมเริ่มขึ้นตอนนั้นเอง..
ในเมื่อคนที่นี่ปล้นผม
แล้วทำไมผมจะปล้นพวกมันบ้างไม่ได้..?!
ผมคิดว่ามันคงจะง่าย
ก็แค่เข้าไปแย่งกระเป๋ามันแล้วก็วิ่งหนีไป แต่..
“แค่ก..แค่ก..” คิดไม่ถึงว่ามันจะวิ่งไล่ตามมาจนทันแล้วกระชากผมลงไปกระทืบเหมือนที่เป็นอยู่นี่
สงสัยสถิติดวงดีตลอดสิบเก้าปีของผมต้องหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้แล้วล่ะ
แย่จังเนอะ ...เฮ้อ~
“เป็นคนไทยเหรอ?” เสียงหมอนั่นถามขึ้นอย่างแปลกใจ
ผมเองก็แปลกใจไม่แพ้มันหรอก
นี่ผมเดินทางไกลมาหลายพันไมล์เพื่อมาถูกคนไทยด้วยกันกระทืบเอาหรอกเหรอ?
แต่แหม.. บางทีมันอาจจะดีกว่าถูกฝรั่งเจ้าถิ่นกระทืบก็ได้นะ
อย่างน้อยผมก็ฟังออกล่ะถ้ามันจะด่าอะไรผมต่อจากนี้
แบบนี้ยังเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่าล่ะ? ฮ่ะๆ
“ฮื่อ.. เอ้า นี่ของคุณ เอาคืนไป” ผมส่งกระเป๋าหนังสีดำคืนเจ้าของทั้งที่ยังนอนแผ่อยู่บนพื้น
“แลกกับไม่จับผมส่งตำรวจได้หรือเปล่า?”
“หัวขโมยที่ถูกจับได้มีสิทธิ์ต่อรองด้วยหรือไง?” หมอนั่นถามกลับขณะรับกระเป๋าคืนไป
ผมมองหน้าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ก็เห็นเพียงความเฉยเมยในตาสีน้ำตาลคู่นั้น
บางที.. ผมอาจจะคาดหวังน้ำใจจากคนเชื้อชาติเดียวกันมากเกินไปหน่อยแฮะ
ท่าทางผมจะได้แวะไปกินข้าวแดงในคุกของที่นี่ก่อนกลับถึงบ้านซะล่ะมั้ง
..ว่าแต่ที่นี่เขามีข้าวแดงให้กินหรือเปล่า?
หรือจะมีแต่ขนมปังธัญพืชแข็งโป๊กอย่างเดียว แบบนั้นผมไม่ชอบนะ มันฝืดคอเกินไป
ผมชอบอาหารแบบไทยๆ มากกว่า แต่อาหารไทยที่นี่ก็แพงมากเสียด้วยสิ
แต่เดี๋ยวก่อน!
ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยอาหารในคุกก็ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อล่ะน่า
“แค่ขอความเห็นใจ..” ผมบอกก่อนจะไอออกมาอีกสองสามที
เหมือนกับมีบางอย่างมาจุกที่คอผม คงไม่ใช่ชิ้นส่วนของเครื่องในหรอกนะ
เกิดเป็นอะไรไปตอนนี้ผมไม่มีเงินพาไปรักษานา..คุณเครื่องใน
“ถ้ามีเหตุผลพอให้เห็นใจ” หมอนั่นบอกแล้วกอดอก
ก้มมองผมเหมือนรอคอยให้อธิบาย
ผมที่ไม่มีอะไรให้เสียแล้วก็เลยเล่าเรื่องผจญภัยสุดหรรษาของตัวเองให้หมอนั่นฟัง
ใส่สีตีไข่เพิ่มเล็กน้อยให้พอน่าสนใจ แต่หมอนั่นก็ยังยืนฟังด้วยสีหน้าเฉยๆ
ไม่เปลี่ยนแปลง บางทีเจ้านี่อาจจะเป็นพวกเส้นลึกก็ได้ ผมเดานะ แต่เอาเหอะ ผมก็ไม่ได้หวังจะเห็นปฏิกิริยาอะไรจากเขาหรอก
แค่ได้พูดกับใครสักคนที่พูดภาษาเดียวกันในดินแดนอันแสนห่างไกลบ้านเกิดแบบนี้ผมก็สบายใจแล้วล่ะ
“อ้อ..” หมอนั่นครางรับรู้หลังจากฟังจบ
ก่อนจะกลับหลังหันแล้วเดินจากไปพร้อมกับคำอวยพร “โชคดีแล้วกัน..”
“.........” เอาเถอะ
อย่างน้อยผมก็ได้ระบายความอัดอั้นตันใจของตัวเองออกไปบ้างล่ะ
“.........” ช่ายยย.. ผมไม่ได้หวังจะได้ความช่วยเหลือสักหน่อย
ไม่ได้หวังจะได้คำแนะนำอะไรสักข้อสองข้อเลย อืม
แค่คำพูดเห็นใจเล็กๆ น้อยๆ ผมก็ไม่เคยคิดหวังจะได้ยินจากหมอนั่นอยู่แล้ว ..ถูก
ทำไมผมจะต้องไปหวังอะไรจากคนแปลกหน้าด้วยล่ะ ก็แค่คนที่พูดภาษาเดียวกัน
ก็แค่..คนที่บังเอิญมาเจอกัน ..ก็แค่คนที่ผมจะขโมยกระเป๋าแต่ไม่สำเร็จ ..ก็แค่นั้น
“ฮะฮะ..”
ใจจืดชะมัด ไอ้บ้านั่น..
“ฮึก..”
ผมไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน
เฝ้ามองผู้คนเดินกันขวักไขว่หนาแน่นขึ้นสัมพันธ์กับท้องฟ้าที่เริ่มมืดมิด
มองไม่เห็นแม้ดาวสักดวงเช่นเดียวกับเมืองใหญ่ทั่วโลก
ผมไม่เคย..รู้สึกโดดเดี่ยวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
บางทีผมน่าจะเดินไปสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุดสักที..
เฮ้อ~
“มานั่งตรงนี้ไม่กลัวใครหิ้วไปหรือไง?
แถวนี้ยิ่งมีพวกตุ๊ดเกย์เยอะๆ อยู่”
จู่ๆ
เสียงที่เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนก็ดังขึ้นเหนือหัว
ผมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นไอ้หน้าหวานแต่ใจจืดเมื่อตอนเย็นกำลังก้มมองผมอยู่
“หรือกำลังรอให้มีคนมาหิ้วไป?” ใครอีกคนที่เพิ่งลงมาจากรถหรูยี่ห้อ
แอสตัน มาร์ติน สัญชาติเจ้าถิ่น
เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทไม่ผิดไปจากหน้าตาของมัน
อันที่จริงแล้วหน้าตาของหมอนี่ก็คล้ายๆ
กับไอ้หน้าหวานคนแรกนั่นแหล่ะ ผิดแต่ว่ามันมากันคนละแนวเลย
คนแรกผมเคยบอกว่ามาแนวร็อคใช่ไหม? แต่คนหลังนี่มาแนวฮิพฮอพเต็มขั้นกันเลยทีเดียว
ผมถักเดทร็อคสีทอง ใส่หมวกผ้าสีขาว สวมเสื้อยืดตัวโคร่งสีขาว เสื้อคลุมสีแดง
กางเกงยีนส์ไซส์หมี รองเท้าผ้าใบคู่โต ประมาณนี้ ..อ้อ
มีจิลสีเงินที่ริมฝีปากล่างด้านซ้ายด้วย
สไตล์เท่ๆ บวกกับท่าทางกวนๆ
นั่นทำเอาคนมองลืมเรื่องหน้าหวานๆ ของมันไปเลย ..ผมคิดงั้นนะ
“ลืมอะไรหรือไง?” ผมถามเพราะไม่คิดว่ามันจะกลับมาก่อประโยชน์อันใดให้ผมหรอก
..หรืออย่างน้อยหน้าตามันก็ไม่ได้บอกแบบนั้น
“ลืมขยะไว้ชิ้นนึง เลยแวะกลับมาดูหน่อยว่ามีใครเก็บไปทิ้งแล้วหรือยัง”
ไอ้เด็กร็อคตอบ
ผมหันซ้ายหันขวามองหาขยะที่ว่านั่น ..แต่ก็ไม่เห็นมี?
“เห็นๆ กันอยู่ว่ายัง” ไอ้เด็กฮิพฮอพพูดต่อพร้อมยกยิ้มมุมปาก
ก่อนที่มันจะหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถหรูคันเดิม
“ตามมาสิ” ไอ้เด็กร็อคบอกก่อนจะเดินตามไปขึ้นรถอีกคน
“.........” อืม ผมว่าผมเห็นขยะชิ้นนั้นแล้วล่ะ
ระหว่างทางที่นั่งรถมา สองคนนั้นไม่ค่อยได้พูดกับผมเท่าไหร่
พวกมันสนใจจะคุยกันเองมากกว่า แต่อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่าพวกมันชื่ออะไร
คนที่แต่งตัวแบบเด็กร็อคและเป็นคนเดียวกับคนที่กระทืบผมชื่อ ‘ซันชายน์’
ตอนแรกผมเห็นอีกคนเรียกมันว่า ‘ซันนี่’ แต่พอผมลองเรียกบ้างก็ถูกทำตาขวางใส่ ผมเลยรู้ว่านั่นไม่ใช่ชื่อที่ผมควรเรียก
ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะผมเองก็ไม่ชอบเวลาที่มีคนมาเรียกว่า ‘ยูริจัง’ เหมือนกัน
ส่วนเจ้าเด็กฮิพฮอพหัวทองนั่นชื่อ ‘ซินเซียร์’
พวกมันเป็นฝาแฝดกัน โดยที่ซินเซียร์คือพี่ และซันชายน์คือน้อง
มันสองคนอายุสิบเก้าเท่ากับผม เป็นนักศึกษาที่กำลังจะขึ้นปีสองเหมือนกัน
ยิ่งกว่านั้นก็คือมันเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผมด้วยล่ะ ..บังเอิญจริงอะไรจริง
ซินเซียร์บอกว่าพวกมันจะมาอยู่ที่นี่เฉพาะช่วงซัมเมอร์เท่านั้น
จะว่าไปแล้วก็แปลกดี ปกติผมเคยเห็นแต่พวกที่ถูกส่งมาเรียนต่อที่นี่
แล้วจะกลับเมืองไทยเฉพาะช่วงซัมเมอร์ เพิ่งจะเคยเห็นเด็กที่ถูกส่งไปเรียนเมืองไทย
แล้วกลับมาอยู่อังกฤษแค่ช่วงซัมเมอร์แบบนี้เป็นครั้งแรกนี่แหล่ะ
สงสัยว่าการศึกษาไทยจะไปไกลกว่าที่ผมคิดแล้วมั้งเนี่ย?
ถึงตอนนี้ผมแน่ใจแล้วล่ะว่าดวงของตัวเองยังแข็งอยู่
ถึงจะโดนกระทืบไปหลายที แต่แลกกับการมีคนให้ความช่วยเหลือมันก็คุ้มล่ะน่า
ว่าแต่ว่ามันจะช่วยผมจริงหรือเปล่าวะ?
คงไม่ได้จะเอาผมไปขายต่อหรอกนะ? แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกันเนี่ย?
“เอ่อ.. เรากำลังจะไปไหนกันเหรอ?” ผมถามทันทีที่รถเลี้ยวเข้าถนนสายหนึ่ง
ความจอแจของผู้คนเมืองผู้ดีเริ่มหายไป เปลี่ยนเป็นความสงบเงียบเข้ามาแทนที่
ร้านรวงเริ่มบางตากลายเป็นบ้านหลังใหญ่ไฮโซแทน
ดูก็รู้ว่าเป็นแหล่งที่อยู่ของพวกเศรษฐีชาวอังกฤษแน่ๆ
เพียงแต่ผมไม่แน่ใจว่ามันอยู่ส่วนไหนของลอนดอนเท่านั้นเอง
“นี่ถ้าถูกพาไปขายก็คงจะไม่รู้ตัวเลยสินะ”
ซินเซียร์หัวเราะลงคอ
“คงงั้น” ผมยอมรับตรงๆ
“ไอ้นี่มันแปลกคนดีนะ ซันนี่” ซินเซียร์หันไปหัวเราะต่อกับคนเป็นน้องที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ
“หึหึ..” อีกคนแค่หัวเราะโดยไม่ตอบอะไร
ผมว่าพวกมันเองก็ดูแปลกคนไม่แพ้ผมหรอก..
มีที่ไหน ช่วยคนอื่นมาแต่ไม่คิดจะถามอะไรเลยสักคำ
ขนาดชื่อผมมันยังไม่ถามเลย ผมต้องเสนอหน้าแนะนำตัวเองและเป็นฝ่ายถามพวกมันเสียอีก
มันดูไม่ค่อยสนใจผมเท่าไหร่
ปล่อยให้ผมทำตัวล่องลอยเป็นเพียงอากาศธาตุไร้ตัวตนอยู่บนเบาะหลัง ส่วนพวกมันก็คุยเล่นหัวกันไปตลอดทาง
ถามหน่อยเถอะว่าใครกันแน่ที่แปลก?
“ถึงแล้ว” ซินเซียร์ซึ่งเป็นคนขับรถพูดขึ้นหลังจากเลี้ยวเข้ามาจอดในคฤหาสน์สไตล์ยุโรปหลังหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านแอนเดอร์สัน” ซันชายน์หันมาพูดกับผมยิ้มๆ
ทันทีที่รถจอดก็มีผู้ชายคนหนึ่ง แต่งตัวเรียบร้อย
หวีผมแสกข้างเนี้ยบกริบ อายุประมาณห้าสิบหกสิบ หน้าตาใจดี เดินออกมาจากบ้าน
มาเปิดประตูฝั่งคนขับ
ซินเซียร์พูดอะไรกับเขาสองสามคำแล้วพยักพเยิดมาทางผม
หลังจากพวกเราลงรถหมดแล้ว ลุงคนนั้นก็ขับรถเข้าไปจอดที่โรงรถ
ผมได้รู้จากซันชายน์ตอนที่กำลังเดินเข้าบ้านว่าคนนั้นเป็นพ่อบ้านที่คอยดูแลความเรียบร้อยของบ้านหลังนี้
..ผมเลยแอบคิดเล่นๆ ว่าบางทีเขาอาจจะชื่อ ‘เซบาสเตียน’ ก็ได้(ผมเห็นในการ์ตูนบ่อยๆ น่ะ)
หลังจากพวกเราทั้งหมดเดินมานั่งที่โซฟาในห้อง..ซึ่งน่าจะเป็นห้องรับแขกล่ะมั้ง
สาวใช้สองคนในชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าคาดผ้ากันเปื้อนสีขาวก็ยกน้ำหวานมาเสิร์ฟ
พอได้จิบน้ำจนเป็นที่ชื่นใจแล้วพวกฝาแฝดถึงทำท่าสนใจในตัวผมขึ้นมาอีกครั้ง
“นายบอกว่ายังไม่อยากกลับไทยตอนนี้เหรอ?” ซินเซียร์เป็นคนแรกที่ถามผม
ผมก็พยักหน้าตอบ
“อยากมาเที่ยว มาฝึกภาษา
แล้วก็หางานพิเศษทำไปด้วย?” เขาถามอีก สายตาจับจ้องสำรวจผมเหมือนกับกำลังสัมภาษณ์
..หรือไม่ก็สอบสวน?
ถ้าเขาเอาโคมไฟข้างโซฟานั่นมาส่องหน้าผมคงจะได้อารมณ์กว่านี้มาก
“อืม ผมได้เที่ยวไปส่วนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็อยากฝึกภาษาอย่างจริงจังสักที
เอ้อ แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องหางานทำก่อน” ผมตอบตามที่วางแผนเอาไว้ในใจ
“ไปแจ้งตำรวจเรื่องพาสปอร์ตหายก่อนดีกว่าไหม?” ซันชายน์พูดพลางหลี่ตามองผม
ผมเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ ตอบไป
“เรื่องนั้นเดี๋ยวให้ฮัดสันจัดการให้ก็ได้” ซินเซียร์ว่า
แล้วหันมาบอกผม
“ฮัดสัน ก็ตาลุงคนเมื่อกี๊แหล่ะ”
ผมพยักหน้ารับรู้ ..อืม
เหมือนผมจะแอบผิดหวังนิดหน่อยแฮะ ที่เขาไม่ได้ชื่อ ‘เซบาสเตียน’
“ถ้านายอยากได้งานจริงๆ” ซินเซียร์พูดต่อ “ตอนนี้ในบ้านหลังนี้มีงานว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง
สนใจไหมล่ะ?”
“เฮ้!” น้องชายที่นั่งข้างกันร้องขัดขึ้น “เรารู้จักหมอนี่แค่ชื่อกับเรื่องที่มันเล่าเองนะ
ไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ผมเป็นคนดีนะ” ผมอดปากพูดแทรกขึ้นไม่ได้
“คนดีๆ ที่ไหนเขาวิ่งราวกระเป๋าชาวบ้านกันบ้าง?” ซันชายน์ตอกกลับซะผมสะอึกไปเลย
โอเค
เรื่องนั้นผมไม่เถียงและจะไม่แก้ตัวว่าเป็นเพราะความจำเป็นใดๆ ด้วย
แต่ก่อนหน้านั้นตลอดสิบเก้าปีที่ผ่านมาผมเป็นคนดีจริงๆ นะ
ถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบชกปากเพื่อนที่มันล้อชื่อล่ะก็..
เอ้อ แล้วนี่ผมจะเถียงในใจให้มันได้อะไรขึ้นมา?
..เฮ้อ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงนี่ก็ไม่ใช่บ้านของเรา”
ซินเซียร์พูดเหมือนคนไม่คิดมาก ก็เลยโดนคนเป็นน้องตบกะโหลกไปที
“ไอ้บ้า” ซันชายน์ด่าเบาๆ แต่คนถูกตีแถมถูกด่ากลับทำแค่ยักไหล่เหมือนไม่แคร์
“อีกอย่าง.. ถึงบ้านหลังนี้จะโดนยกเค้าสักครั้งสองครั้งก็ไม่ทำให้
มาร์ติน จนลงหรอกน่า” ได้ยินแบบนั้นคนเป็นน้องก็เลยได้แต่ส่ายหัว
แต่เดี๋ยวนะ
มันบอกว่านี่ไม่ใช่บ้านของพวกมันเหรอ?
“อ้าว แล้วนี่บ้านใคร?” ผมโพล่งถามออกไปเมื่อเพิ่งจะนึกได้
“ความรู้สึกช้าจัง” ซินเซียร์พึมพำเบาๆ หลังจากมองผมอึ้งๆ
อยู่พักหนึ่ง
“เป็นบ้านพ่อเลี้ยงเราเอง” ซันชายน์บอกหลังจากถอนหายใจหน่ายๆ
“แต่ช่วงนี้เค้าไปเจรจาธุรกิจที่เนเธอร์แลนด์ คงไม่ได้กลับมาอีกพักใหญ่”
“แล้วแม่พวกนายล่ะ?” ผมถือโอกาสถามต่อ
“แม่ไปธุระที่มิลาน อีกสองสามวันก็คงกลับมา
แต่ก่อนหน้านั้น...หมายถึงพรุ่งนี้น่ะ พี่ชายเจ้าปัญหาของพวกเราจะกลับมาก่อน
แต่..พี่เลี้ยงที่คอยดูแลเขาเพิ่งจะลาไปเยี่ยมญาติที่ลิเวอร์พูล
กว่าจะกลับมาคงอีกราวๆ สองวีค”
“แล้ว..?” ผมถามเกริ่นอย่างไม่แน่ใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“ถ้านายสนใจจะทำงาน.. นั่นล่ะคืองานที่เราอยากให้นายทำ”
ซินเซียร์ บอก “ได้เงินดีกว่าไปทำงานตามร้านอาหารแน่นอน คอนเฟิร์ม”
“หมายความว่าอยากให้ผมทำหน้าที่แทนพี่เลี้ยงเขา?”
ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“อือฮึ” ฝาแฝดก็พยักหน้า
“ส่วนเรื่องฝึกภาษา นายจะฝึกกับคนในบ้านนี้ก็ได้
ไม่มีใครพูดภาษาไทยหรอกนอกจากพวกเรา” ซันชายน์ว่า ก่อนจะเสริมอีก “แต่ถ้านายอยากให้เราพูดภาษาอังกฤษด้วยก็ไม่มีปัญหา”
“ไม่ๆๆ ผมพอใจจะพูดภาษาไทยกับพวกคุณมากกว่า” ผมรีบปฏิเสธ
“งั้นก็เป็นอันว่าตกลง” ซินเซียร์สรุป “ส่วนเรื่องรายละเอียดของงานเดี๋ยวจะให้
ฮัดสัน มาอธิบายให้ฟังอีกที”
ผมพยักหน้ารับ ..แต่ยังมีเรื่องคาใจอีกนิดหน่อย
“เอ่อ ..ผมคงไม่ต้องแต่งชุดแบบเดียวกับพวกสาวใช้ที่นี่หรอกนะ”
ผมถามอย่างนึกหวั่นใจ แฝดถึงกลับหัวเราะพรืดออกมา
“เราไม่อุตริขนาดนั้น” ซันชายน์ว่า
“แต่ถ้าเป็นพี่ชายของเราก็ไม่แน่”
ซินเซียร์พูดกลั้วหัวเราะ “หมอนั่นค่อนข้างจะจุกจิกแล้วก็เจ้าระเบียบน่ะ
บางทีเขาอาจจะอยากให้นายแต่งยูนิฟอร์มเพื่อความเรียบร้อยก็ได้”
“ผมหวังว่านั่นจะเป็นแค่เรื่องล้อเล่น” ผมพูดพึมพำ
ในขณะที่ใจข้างในเริ่มจะแป้ว บางที..ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ที่ตกลงรับงานนี้
แต่เอ้อ.. ใช่ว่าผมจะมีทางเลือกอื่นนี่นะ
“เราจะเอาใจช่วยนะ” ซันชายน์พูดเหมือนอยากให้กำลังใจ
ก่อนที่ทั้งพี่แฝดน้องแฝดจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
ผมว่านะ..
พวกเขาต้องหวังตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูดแหงๆ เลย
TBC.