วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[นิยาย] MADAME MAFIA chapter 1









MADAME   MAFIA





chapter 1





เนเปิลส์, อิตาลี.
9.35 น., ท่าอากาศยานฯ


อั้ก.. ปวดแขนไม่หายสักทีวะ”

ผมปรายตามองคนที่บ่นกระปอดกระแปดมาตั้งแต่ตื่นนอน จนนั่งรถยนต์จากเมย์แฟร์มาฮีทโธรว์ นั่งเครื่องบินจากอังกฤษมาอิตาลี จนป่านนี้ก็ยังบ่นไม่หยุด

ไงล่ะ เสล่ออยากให้กูนอนหนุนแขนเอง

ผมใช้มือนวดต้นคอที่รู้สึกปวดอยู่เหมือนกัน เมื่อเช้านึกว่าจะคอเคล็ดด้วยซ้ำ ไม่เอาอีกแล้วเด็ดขาดเลยหนุนแขนหนุนขาอะไรเนี่ย ยังไงหนุนหมอนก็ดีที่สุด

“จะพิการไหมกูเนี่ย..”

ซินยังบ่นเป็นหมีกินผึ้งต่อไป มือหนึ่งทุบต้นแขนตุ้บๆ อีกมือลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เช่นเดียวกันกับผม ตอนนี้พวกเราอยู่ในอาคารผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินนานาชาติเนเปิลส์ หลังลงจากเครื่องฯ ผ่าน ต.ม. รอกระเป๋า ผ่านด่านศุลกากร ใช้เวลาไปร่วม 30 นาที ในที่สุดก็หลุดมาถึงทางออกจนได้

“เฮ้ย ซันนี่ ถ้าเกิดเลือดมันไม่ไหลเวียน แล้วแขนกูเน่าขึ้นมา กูก็ต้องตัดแขนทิ้งแล้วกลายเป็นเดชไอ้ด้วนสิวะ เฮ้ย ซันนี่ แขนขวากูด้วยนะ แขนขวาเลยอ่ะ!

“อา..”  ผมคำรามในคออย่างนึกรำคาญ

“หือ?”  ซินเอียงคอมองผมงงๆ


“มึงก็ฝึกใช้มือซ้ายไว้ให้คล่องสิ”  ผมพยายามช่วยแก้ปัญหาให้

“ได้ไง!? กูไม่ยอมตัดใจจากแขนขวาง่ายๆ หรอกนะเว้ย ว่าแต่...” 

ซินหันมองไปรอบๆ ตัวอย่างสำรวจ 

“ไหนไอ้คนที่จะมารับพวกเราล่ะ? ไม่เห็นโผล่มาสักตัว...”

นี่ล่ะสาเหตุจริงๆ ที่กำลังกวนใจผม ทั้งที่เที่ยวบินผมก็บอกไปชัดเจนแล้ว กว่าผมจะออกมาถึงประตูนี่ พวกเขาควรจะมายืนรอรับผมอยู่ก่อนแล้วสิ ไม่ใช่มองไปทางไหนก็มีแต่คนแปลกหน้าแบบนี้ แล้วจะให้ผมไปยังไงต่อล่ะ เคยมาซะที่ไหน

“ซันชายน์! ช่วยจับชิพไว้ที!

เสียงจากคนข้างหลังเรียกให้ผมหันไปมอง แต่ไอ้ตัวที่ผมถูกขอร้องให้ช่วย จับไว้ มันวิ่งดุ๊กๆ ผ่านขาผมไปซะแล้วนี่สิ

กลับมานะเฮ้ย!

ผมไม่มีเวลาให้มัวยืนสับสนนานนัก ก่อนที่ไอ้หลานจอมซนจะวิ่งหายไปจากสายตา ผมก็ใช้ขายาวๆ ของตัวเองไล่กวดตามขาสั้นๆ ของมันไปติดๆ


วิ่งดิ ชิพ วิ่ง! ฮ่าๆๆๆ”  แว่วเสียงซินหัวเราะชอบใจไล่หลังมา(ไอ้บ้านี่ก็..)

ไอ้ตัวแสบ ชิพ หนึ่งในลูกชายฝาแฝดของ ซอลลี่ พี่ชายคนโตของผม เดือนที่ผ่านมามันเพิ่งจะมีอายุครบขวบครึ่ง แต่ความแสบความซนของมันล้ำหน้าอายุไปไกลอย่างเหลือเชื่อ วีรกรรมเด็ดสุดคือตอนอายุ 11 เดือน มัน(กับแฝดน้องของมัน)ไปท้าตีกับเด็ก 2 ขวบ แถมยังชนะกลับมาอีก แล้วดูตอนนี้สิ ขนาดมาเยือนต่างถิ่น ท่ามกลางคนแปลกหน้า มันยังกล้าวิ่งลั้ลลาออกไปเล่นราวกลับอยู่สนามหลังบ้านตัวเองไม่มีผิด ไม่รู้ว่าตอนปั้นพระเจ้าลืมใส่ผง ความกลัว ให้มันมาหรือไงนะ

แล้วทำไมไอ้เด็กนี่ถึงมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้? เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้ ณ ที่นี่ มีพ่อจ๋า ยูริของมันอยู่ด้วยยังไงล่ะ ยูริก็เดินทางมาพร้อมผมและซินด้วย ยูริเป็นคนรักของซอลลี่ หมอนี่เป็นผู้ชาย ซอลลี่เองก็เป็นผู้ชาย แล้วยังไง? ก็คนมันรักกัน ส่วนไอ้เรื่องที่ว่าแล้วมันเบ่งลูกออกมาจากรูไหน รายละเอียดยิบย่อยพรรค์นั้นผมไม่มีเวลามานั่งสาธยายหรอก ตอนนี้ต้องไอ้ตัวแสบนั่นไว้ให้ได้ก่อน!

“อ๊า”  ไอ้ชิพถีบขาดิ้นแด่วๆ ตอนถูกผมคว้าตัวยกลอย

“จะไปไหน ไอ้ตัวแสบ” 

ผมรัดพุงกลมๆ ของหลานอย่างหมั่นเขี้ยว เอาคางถูๆ กับหัวของมันแรงๆ หวังแกล้งให้ร้องสักหน่อย แต่มันดันชอบใจเพราะสนุกที่ได้เล่นไล่จับกับผมซะงั้น

ไม่รู้หน้ามึนเหมือนใครสิน่า

“แล้ว...”  ผมเงยหน้ามองสำรวจไปรอบตัว แล้วก็ตระหนักได้ว่าผมจำทางที่เราวิ่งมาไม่ได้เลย จะมุมไหนก็ดูคล้ายกันไปหมด

“ดูเหมือนจะหลงซะแล้วสิ พวกเรา” 

“หลง! นี่-หลง~ ฮิฮิ” 

“ชิพก็หลงเหมือนกันแหล่ะน่า”  ผมเอาหัวโขกพุงเจ้าลูกหมูเบาๆ

โอเค...

จะทำไงต่อล่ะ ทีนี้?





“นี่-หม่ำ หม่ำ~”

หลังจากเดินวนไปวนมายังไม่ทันถึง 5 นาที ไอ้ตัวป่วนที่ผมกระเตงไว้ก็เริ่มออกอาการอยู่ไม่สุขเพราะท้องว่าง แต่เสบียงอะไรก็อยู่ที่พ่อของมันหมด แล้วผมจะทำยังไงดี? ทั้งที่เมื่อกี๊คิดว่าเดินกลับมาถูกทางแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เจอใครเลย ผมมั่นใจว่าผมออกมาจากประตู 3 นะ หรือว่าผมจะจำผิด? หรือว่าพวกนั้นเดินไปที่อื่นกันแล้ว? แล้วทำไมถึงไม่รอผมล่ะ? อย่างน้อยโทรบอกผม... หือ? จริงสิ! โทรศัพท์ไง! ผมใช้โทรศัพท์โทรหาพวกนั้นก็ได้นี่หว่า เอ๊ย ทำไมไม่คิดได้ตั้งแต่แรกว้า? เซ่อจริง!

หือ? 

ผมล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต ทั้งที่แน่ใจว่าเก็บโทรศัพท์ไว้ตรงนี้ แต่กลับไม่เจออะไรนอกจากพาสปอร์ต ลองค้นกระเป๋าอื่นก็ไม่เจอ กระเป๋ากางเกงก็ไม่มี

แล้วโทรศัพท์ผมหายไปไหน?

“นี่-หม่ำอ่า หม่ำ!”  เจ้าชิพเริ่มเขย่าเสื้อผม ทวงถามหาของกิน

“เดี๋ยว.. ชิพ เดี๋ยว”  ผมลองค้นตัวเองอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้พลาดกระเป๋าไหนไป แต่ไม่ว่าจะค้นยังไงผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม คือมันหายไป

ได้ไง!?

เดี๋ยวสิ! หรือว่าจะเป็นตอนที่ผมชนเข้ากับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเมื่อกี๊? ตอนนั้น
ผมมัวแต่กลัวจะคลาดสายตากับเจ้าชิพ ก็เลยรีบขอโทษแล้วผละออกมา แต่พอมาลองคิดดูตอนนี้... ไม่ใช่ว่าหมอนั่นจงใจเข้ามาชนผมเองหรอกเหรอ? เพราะคนก็ไม่ได้เบียดเสียดกันจนเลี่ยงหลบไม่ได้นี่นา แล้วก็เหมือนทางนั้นจะมามือเปล่าด้วย ไม่ได้ดูเหมือนคนที่กำลังอ่านอะไรหรือจดจ่อกับอย่างอื่นจนลืมสนใจทางเดินสักหน่อย...

เฮ้ย ..!?

จู่ๆ ก็มีมือเพิ่มขึ้นมา มือข้างนั้นลูบวนไปมาแถวกระเป๋าหลังด้านซ้ายของผมคล้ายกำลังช่วยค้นหาโทรศัพท์อีกแรง... ไม่สิ มันกำลังลูบคลำแก้มก้นของผมอยู่ต่างหาก! ก็กางเกงของผมตัวนี้มันมีกระเป๋าหลังด้านซ้ายซะที่ไหน!

ที่สำคัญ มันเป็นมือของใครวะ!? ผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..ไม่ๆๆ จะเพศไหนถ้ามาลูบตูดคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนมันก็โรคจิตทั้งนั้นแหล่ะวะ!

ฮึ่ม!

ผมรีบตะปบมือที่ถือวิสาสะข้างนั้นไว้ ตั้งใจว่าว่าถ้าหันไปเจอโรคจิตเป็นผู้หญิง(ที่ไม่ตรงสเป็คผม)ผมจะด่าให้อับอายสักเล็กน้อยแล้วจะยอมปล่อยไป แต่ถ้าเป็นผู้ชายผมจะขวาตรงเน้นๆ เอาให้เห็นดาวลูกไก่ แล้วค่อยลากมันไปส่งตำรวจ แจ้งความจับข้อหาล่วงละเมิดทางเพศแม่งซะเลย

“.......”

แต่พอเอาเข้าจริง ที่ผมทำได้กลับไม่มีอะไรมากไปกว่ายืนบื้อมองหน้าหล่อๆ ของไอ้โรคจิตนั่นด้วยความรู้สึกสับสนงุนงง

โอเค... โรคจิตนั่นเป็นผู้ชาย

แถมยังเป็นผู้ชายที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาสุดๆ

“ไฮ~”

การทักทายกับน้ำเสียงเนิบเฉื่อยอันเป็นเอกลักษณ์นี่ก็สุดแสนจะคุ้นเคย

แต่ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่ามึงมีงานอดิเรกอย่างการเที่ยวไล่จับตูดชาวบ้านเขาตามสนามบินแบบนี้ด้วย

ฟ้าประทาน !!






“ไม่เห็นต้องต่อยเลย”

เจ้าของร่างสูงที่เดินเคียงคู่มากับผมบ่นด้วยหน้าตูมๆ ไม่ชอบใจ โหนกแก้มซ้ายของเขาเห็นรอยแดงเป็นปื้นอันเกิดจากหมัดขวาตรงของผมที่แตะถูกบริเวณนั้นไปเพียงเฉียดๆ ถือเป็นโชคดีของ ไอ้โรคจิต อย่างเขาแล้วล่ะที่ยังอุตส่าห์หลบได้ทันแบบหวุดหวิด ไม่งั้นก็คงจะเข้าเบ้าตาอย่างที่ผมตั้งใจไว้แต่แรกแน่

“ใครใช้ให้ทักทายพิสดารแบบนั้นล่ะ...” 

ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะชกเขาหรอก ตั้งแต่เห็นว่าเป็นเขาคนนี้ ความโกรธที่มีมาก่อนหน้าก็หายวับไปกับสายลมแอร์แล้ว แต่ปฏิกิริยาตกค้างของร่างกายผมมันยังมีอยู่นี่สิ ร่างกายมันเคลื่อนไหวไปเอง ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

ถือว่าเป็นผลกรรมก็แล้วกัน

“ทีหลังถ้าทำแบบนี้อีกจะโกรธจริงนะ” 

ผมใช้น้ำเสียงจริงจัง พร้อมสายตาคาดโทษ แต่ดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยเมื่ออีกฝ่ายถามกลับมาแทบจะทันที แบบไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองทำอะไรผิดด้วย

“ทำอะไร?” 

“ก็ที่จับ... ที่มาจับตูดนี่ไง!

“ขี้งก”

ผมมองเห็นเขาทำตาคว่ำ หน้ามู่ ปากจู๋ ผมสีน้ำตาลเทาหยิกหยอยชี้โด่เด่อย่างเอาแต่ใจไม่แพ้เจ้าของ แต่ทั้งหมดนั่นคงเป็นเพียงจินตนาการของผมเองแหล่ะ

“มันไม่เกี่ยวกับงกไม่งกสักหน่อย มันแค่เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ!” 

ผมเริ่มสับสนว่าตัวเองกำลังเถียงอยู่กับคนอายุ 25 หรือเด็ก 5 ขวบกันแน่

“แต่ตูดซันนี่เป็นอะไรที่รอมาตลอดสี่ปีเลยนะ” 

“.......”

ผมมองเห็นเสา อืม ต้นใหญ่ดีทีเดียว และถ้าไม่ติดว่ากลัวคนอื่นจะคิดว่าผมบ้า ผมคงจะเดินตรงไปหาเสาต้นนั้น แล้วเอาหัวโขกมันสักทีสองทีให้สาแก่ใจ เผื่อมันจะช่วยให้ลืมไปได้บ้างว่าเมื่อกี๊ผมเพิ่งได้ยินอะไรมา...

“ซันนี่?” 

“.......”

ไม่ๆ ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

“มาสักที นึกว่าเปลี่ยนใจกลับลอนดอนไปแล้ว”

“ซิน!”  ผมถลาเข้าไปหาพี่ชายฝาแฝดด้วยความคิดถึง

อาจฟังดูเว่อร์ไปหน่อย แต่ผมกำลังรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ กับ ฟ้าประทาน ที่ไม่ได้เจอกันมาสี่ปี เขาก็ยังคงรับมือยากสำหรับผมเหมือนเดิม(ความจริงแล้วเราเพิ่งเจอกันครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่มันก็เป็นเวลาเพียงสั้นๆ ดังนั้นผมจะไม่นับ)

ตอนนี้การมีซินอยู่ข้างๆ นั้นช่วยให้ผมอุ่นใจได้มากที่สุด

“เกือบดีใจเก้อแล้วไงกู”  ซินพูดยิ้มๆ

“โอ้ ชิพ! ไปไหนมาลูก?”

ยูริเข้ามารับลูกชายจอมซนด้วยสีหน้าโล่งใจ เจ้าหนูชิพที่เงียบมาได้ตลอดทางขากลับก็เพราะได้ช็อคโกแล็ตบาร์จากฟ้าช่วยอุดปากไว้ แต่พอเห็นหน้าพ่อจ๋าของมันก็เริ่มส่งเสียงหนวกหูขึ้นมาอีกรอบ(เพราะช็อคโกแล็ตหมดแล้วด้วย)

“จ๋า~ หม่ำ หม่ำ”

ตอนนี้นอกจากซินเซียร์กับยูริที่รอพวกเราอยู่ ก็ยังมีชายชุดดำแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน หนึ่งในนั้นช่วยยูริอุ้มเจ้าหนู เดล แฝดผู้น้องของเจ้าชิพเอาไว้

ส่วนผู้ชายชุดดำคนที่สาม ผมค่อนข้างคุ้นหน้าดี...

“หน้าไปโดนอะไรมา?”

มานะ ยกมือขึ้นแตะโหนกแก้มข้างที่เป็นรอยแดงช้ำของฟ้าอย่างระมัดระวัง ทั้งสีหน้าท่าทางแลดูสนิทสนมเกินกว่าคนที่เป็นเพียงเจ้านายกับลูกน้อง ถ้าผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าความจริงแล้วมานะเป็นบอดีการ์ดของฟ้า ผมคงจะนึกว่า...

“เมียใหม่มันเหรอ?”  เสียงซินผ่าทะลุกลางปล้อง

ผมหันขวับไปมองมันในเสี้ยววินาที ก็ไม่รู้แหล่ะว่าตอนนั้นตัวเองทำหน้ายังไง แต่มันทำให้ซินหัวเราะก๊ากออกมาได้ทันทีที่เห็นเลยล่ะ

“อะไรเล่า!” 

ผมตวาดเสียงค่อย รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้าตอนที่ฟ้ากับมานะหันมามองพวกเรางงๆ ตกลงมึงอยู่ข้างกูแน่หรือเปล่าเนี่ย ซินเซียร์!?

“ไอ้นั่น...”  นิ้วเรียวยาวของฟ้ายกชี้มาทางซิน

ก่อนหันมาถามผม  “มันมาทำอะไร?”

หน้าตาที่บ่งบอกว่าเพิ่งจะสังเกตเห็น ทำซินถึงกับคิ้วกระตุก

“เสียมารยาทว่ะ ที่บ้านไม่สอนหรือไงว่าอย่าเที่ยวเอานิ้วไปชี้หน้าคนอื่น?”

ซินก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย ส่วนสูงที่ต่างกันเล็กน้อยทำให้ซินต้องเชิดหน้ามอง แต่สีหน้ายียวนกับแววตาท้าทายของซินก็ไม่เคยเฟลที่จะทำให้ฟ้าหงุดหงิดเช่นกัน

“ที่บ้านไม่เคร่งเรื่องมารยาท”  ฟ้าตอบหน้าตาเฉย

ถ้านี่เป็นการ์ตูนผมคงได้เห็นรอยยั้วะขึ้นบนหน้าซินไปหลายรอยแล้วล่ะ

แรกเริ่มเดิมทีสองคนนี้ก็รู้จักกันจากการบาดหมางใจ เพราะครั้งหนึ่งซินเคยไปคั่วผู้หญิงที่ฟ้าควงอยู่ตอนนั้น แล้วฟ้าก็ตามมาเอาเรื่องกับผมเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซิน ไปๆ มาๆ ดันกลายเป็นว่าฟ้ามาถูกใจผมซะงั้น และยิ่งกว่านั้นคือผมดันหลงรักเขาซะอีก(ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่พลาดที่สุดของเรื่องเลย)

แล้วหลังจากนั้นก็มีอีกหลายๆ เรื่องยุ่งตามมา...

จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถ้าซินจะไม่ชอบฟ้าผมก็พอเข้าใจได้ แต่ทำไมฟ้าเองก็ไม่ชอบซิน อันนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน หรือบางทีพวกเขาอาจจะเป็นศัตรูโดยธรรมชาติของกันและกัน ...ล่ะมั้ง?

“ไม่ได้เตรียมห้องไว้ให้หรอกนะ”

หลังจ้องตาจนกระแสไฟฟ้าลั่นเปรี๊ยะๆ(ในจินตนาการของผม) ฟ้าก็เป็นฝ่ายตัดใจหันหลังให้ก่อน แต่เขาคว้าเอาเอวของผมไปโอบเดินคู่กันด้วย

“ไม่เป็นไร กูตั้งใจจะนอนกับน้องกูอยู่แล้ว”

ซินคว้าคอผมไว้ เอาคางเกยกับไหล่ผม ไม่ยอมให้ฟ้าพาผมไปง่ายๆ ทั้งคู่เลยได้เปิดฉากปล่อยกระแสไฟผ่านสายตากันอีกรอบ

จะว่าไป เรื่องที่ซินจะมาที่นี่ผมก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เอง จนถึงเมื่อวานผมสาบานว่าผมยังเห็นมันหัวหมุนกับงานตัวเองอยู่เลย แล้วเมื่อคืนยังมีท่าทีหวั่นไหวที่จะต้องแยกจากผมอีก? ใครจะไปนึกว่าทั้งหมดนั่นเป็นเพียงละครตบตาหวังให้ผมตายใจ..?

แต่ก็เอาเถอะ นานๆ ซินเซียร์ผู้จริงใจนึกอะไรก็ออกมาทางปากหมดคนนั้น จะวางแผนอะไรที่มันซับซ้อนกับเขาบ้าง ผมจะยอมให้อภัยสักครั้งแล้วกัน

“พอเลย”  ผมใช้มือทั้งสองข้างยันหน้าซินกับฟ้าออกไปคนละทาง

“จะไปกันได้ยัง?”  ประโยคหลังผมหันไปถามเจ้าถิ่น

ฟ้ามองไปทางมานะ หมอนั่นอมยิ้มด้วยแววตาขบขัน(เห็นมันแอบขำผมมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้วล่ะ) ก่อนจะผายมือนำทางให้พวกเราทุกคน

อืมมม...มานะ มอนติ หมอนี่เปลี่ยนไปเยอะเลยแฮะ จากที่เห็นครั้งสุดท้าย.. รู้สึกว่าเมื่อก่อนก็ตัวพอๆ กับผมนี่ล่ะ ทั้งส่วนสูงแล้วก็มวลสารร่างกาย เอ่อ ที่จริงก็ออกจะดูบึกบึนกว่าผมนิดหน่อยนะ แต่ตอนนี้ผมมั่นใจว่าหมอนี่ตัวเล็กกว่าผมแน่ๆ แล้วที่กลายเป็นแบบนี้คงเพราะการนอนหลับที่ยาวนานนั่น...

ก่อนหน้านี้ คือผมหมายถึงเมื่อสี่ปีที่แล้ว มานะเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการต่อสู้เพื่อปกป้องบอสของเขา(ก็ฟ้าประทานนั่นแหล่ะ) ถึงจะสามารถรอดชีวิตมาได้แบบหวุดหวิด แต่ก็ต้องนอนเน่าเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เกือบปี กว่าจะได้สติกลับคืนมา ผมเดาว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ มานะคงต้องอดทนพยายามทำอะไรหลายๆ อย่างทีเดียว กว่าจะทำให้ร่างกายจะกลับมาดูแข็งแรงเป็นปกติอย่างนี้ได้

อ้อ แล้วก็... ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมมีความรู้สึกว่าหมอนี่มันดูสวยขึ้นยังไงไม่รู้ บางทีอาจเป็นเพราะผมบ๊อบแสกข้างสีดำธรรมชาตินั่นล่ะมั้ง เลยทำให้หน้าดูหวานขึ้น? หรือเพราะเมื่อก่อนตัดผมซอย ย้อมสีน้ำตาลทอง หน้าเลยดูดุ?

อืมม ทรงผมเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน อย่างที่ใครเขาว่าคงจะจริงล่ะมั้ง

พูดถึงเรื่องย้อมสีผมก็อดเหลือบไปมองทางฟ้าประทานไม่ได้ ตอนที่รู้จักกันครั้งแรกผมของเขาเป็นสีเงินสว่างเลยล่ะ เด่นน่าดู อีกทั้งสูง ทั้งหล่อ(..ถึงจะน่าเจ็บใจนิดหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาหล่อจริงๆ) เขามักจะตกเป็นประเด็นให้สาวๆ ในมหาวิทยาลัยพูดถึงอยู่ไม่ขาด ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจใครบนโลกใบนี้เลยสักนิด ตาสีดำสนิทของเขาก็แทบจะไม่สะท้อนเงาของสิ่งใด ราวกับหลุมลึกที่ไร้ก้นบึ้ง ทั้งให้ความรู้สึกถึงอย่างสิ่งที่อันตราย และบางอย่างที่น่าค้นหาไปพร้อมๆ กัน ตอนที่ผมสังเกตเห็นว่ามันกำลังสะท้อนเงาของผมครั้งแรก ก็เป็นตอนที่เขาทำให้ใจผมเต้นผิดไปหลายจังหวะแล้วล่ะ

อาาา...!!”  ซินคำรามเสียงต่ำอย่างหงุดหงิด

เสียงคำรามต่ำๆ คล้ายรำคาญใจของซินทำให้ผมรู้สึกตัวว่ากำลังนั่งจ้องหน้าฟ้าอยู่ และฟ้าที่นั่งอยู่อีกฟากฝั่งก็กำลังจ้องมองมาทางผมอยู่เช่นกัน ไม่รู้เลยว่าพวกเรานั่งมองตากันมานานแค่ไหน แต่คนที่นั่งคั่นกลางระหว่างพวกเราต้องรู้แน่ๆ

กูไม่นั่งตรงนี้แล้วก็ได้ แม่ง!” 

ซินปีนข้ามเบาะไปนั่งตรงที่ว่างข้างคนขับด้วยสีหน้าเซ็งเกินจะทน ตอนแรกที่หมอนั่นยืนกรานจะนั่งคั่นตรงกลางระหว่างผมกับฟ้าก็เพราะอยากจะหาเรื่องกวนประสาทฟ้าเท่านั้น คงไม่นึกว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้(...เอิ่ม ที่จริงผมเองก็ไม่ได้นึกเหมือนกัน ดันเผลอจ้องหน้าฟ้าเพลินไปซะได้ น่าอายจริงเชียว)

ไม่เห็นจะสนุกเลย...”  ซินบ่นงึมงำอย่างผิดหวัง 

ผมเบือนหน้าหนีไปมองทิวทัศน์ริมทางเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาขบขันของมานะที่มองผ่านกระจกมองหลังมา และสายตานิ่งเงียบของฟ้าที่แม้จะถูกซินทำเสียบรรยากาศไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังจ้องตรงมาที่ผมอย่างไม่ลดละ

ทำเอาร้อนผ่าวไปทั้งหน้าทั้งหูเลยล่ะ... ให้ตายสิ

อ๊ะ นั่น...

ผมสังเกตเห็นว่ารถที่ยูริและเด็กแฝด กับบอดีการ์ดชุดดำอีกสองคนของฟ้านั่งมา ตามรถของพวกเราทันแล้ว ก่อนหน้านี้มานะเล่าให้ฟังว่าที่พวกเขามาถึงสนามบินช้ากว่าพวกเราก็เพราะมีอุบัติเกิดบนเส้นทางสายหลักที่จะไปสนามบิน ทำให้การจราจรค่อนข้างติดขัด ขากลับพวกเขาก็เลยเลือกใช้อีกเส้นทางหนึ่ง

“พิซซ่ามีต้นกำเนิดมาจากอิตาลีใช่ไหมล่ะ แล้วพิซซ่าอิตาลีก็มีต้นกำเนิดมาจากนาโปลีนี่ล่ะ เพราะงั้นร้านพิซซ่าโบราณของปู่ไมเคิลเลยถือว่าเป็นสุดยอดพิซซ่าต้นตำรับโลกที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปลองให้ได้ไงล่ะ”

บทสนทนาระหว่างซินกับมานะดึงความสนใจของผมกลับเข้ามาในรถ ซินตาเป็นประกายวาววับเมื่อได้ฟังเรื่องของกิน มันหันมาถามผมอย่างกระตือรือร้น

“กินพิซซ่ากันไหม ซันนี่?”

“เอ้อ.. อืม เอาดิ” 

ผมตั้งตัวไม่ทันในทีแรก และอันที่จริงผมก็ไม่ได้โปรดปรานพิซซ่าสักเท่าไหร่ แต่เห็นซินอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็ไม่อยากจะทำให้เสียบรรยากาศอีก เลยตอบเออออไป

“เย้~ งั้นไปร้านปู่ไมเคิลกัน!

“ถ้าไปตอนนี้... กว่าจะได้กินก็อย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังจากจับบัตรคิว”

“นานแท้!”  ซินตาโต

“สุดยอดพิซซ่าไง สุดยอดพิซซ่า ฮ่ะๆๆ”  มานะเน้น

“แต่มันนานไปอ่ะ ใช้เส้นสายบอสหน้ามึนของมึงลัดคิวให้ไม่ได้เหรอ?”

“ว่าไง บอส?”  มานะเหลือบมามองฟ้ายิ้มๆ

“กูไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียพรรค์นั้นหรอก” 

ฟ้าปฏิเสธเนิบๆ ด้วยหน้ามึนๆ ของเขา ทำให้ซินจิ๊ปากขัดใจ ส่วนมานะหัวเราะ ก่อนหมอนั่นจะหยิบวิทยุสื่อสารในรถขึ้นมาพูดเป็นภาษาอิตาเลียนไม่กี่คำ

“ให้ใครสักคนไปร้านปู่ไมเคิลที”

หลังได้ยินเสียงตอบรับกลับมา มานะวางสายแล้วหันไปให้ความหวังกับซิน

“คิดว่าหลังไปถึงคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีไม่นาน พิซซ่าก็น่าจะมาส่ง”

“มึงนี่มีประโยชน์มากกว่าบอสของมึงอีก ฮ่าๆๆ มาทำงานกับกูดีกว่าไหม?”

ซินตบไหล่มานะอย่างถูกใจ เห็นอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ง่ายแบบนี้ แถมยังมีลุคเหมือนพวกนอกกฎหมายเสียยิ่งกว่ามาเฟียตัวจริง แต่ความจริงยิ่งกว่าจริงคือหมอนี่เป็น รักษาการณ์ประธานบริษัท ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับดอกไม้แบบครบวงจรที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในลอนดอนเชียวล่ะ(...ส่วนประธานฯตัวจริงเป็นพ่อเลี้ยงของพวกเราเอง ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างเที่ยวรอบโลกกับแม่ของพวกเรา)

“ให้เงินเดือนเท่าไหร่เหรอ?”  มานะก็รับมุขซินอีก

ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปตลอดทาง ตั้งแต่เรื่องพันธุ์ของหมาที่ยืนรอจะข้ามถนน(พร้อมเจ้าของ) หรือคนท้องถิ่นที่นี่ดูเหมือนจะชอบขี่มอเตอร์ไซด์(ดูๆ ไปก็อย่างกับถนนในกรุงเทพฯแน่ะ) ไปจนถึงเรื่องสถานการณ์ในยุโรปช่วงนี้

ผมถูกดึงให้มีส่วนร่วมบ้างเป็นบางครั้ง ระหว่างนั้นก็รู้สึกถึงมือเย็นเยียบที่มากุมมือผมไว้ พอหันไปมองเจ้าของมือ ก็เห็นดวงตาสีดำสนิทกำลังจ้องมองผมอยู่ และผมรู้ว่ามันจ้องอยู่แบบนั้นมาตลอด แต่ต่อให้เป็นผมก็คงบอกไม่ได้ว่าเบื้องหลังสีมืดมิดนั่นได้ซุกซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง แต่มันก็ไม่ให้ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ

ผมยิ้มให้เขา...

ฟ้าเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ปฏิกิริยานั่นทำให้ผมประหลาดใจเช่นกัน นี่เขาไม่คิดว่าผมจะยิ้มให้เขางั้นเหรอ? หรือเขาคิดว่าผมยังเคืองเรื่องที่สนามบินอยู่?

แววตาของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง ดูเหมือนเขากำลังอ้อนผมผ่านทางสายตา อย่างกับลูกหมาที่อ้อนขออะไรบางอย่างจากเจ้าของแน่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่คิดว่าเขาจะแสดงความรู้สึกผ่านทางดวงตาได้ขนาดนี้ แต่แบบนี้มัน... น่ารักชะมัด!!

อยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวยุ่งๆ นั่นเหลือเกิน... ฮืมม

“มึงทำหน้าหื่นมากอ่ะ ซันนี่”

ห๊ะ!?

ซินนั่งกอดพนักพิงเบาะตัวเองขณะเอี้ยวตัวมองผมด้วยสายตาเฉยๆ เสียงขวานผ่าซากของมันทำลายบรรยากาศดีๆ ของผมซะป่นปี้เลย ไม่รู้ว่าเลิกคุยกับมานะแล้วหันมาสนใจพวกผมตั้งแต่เมื่อไหร่สิน่า...

ผมยกมือจับหน้าอย่างสงสัยว่าซินพูดจริงหรือเปล่า หรือว่าผมกำลังทำหน้ายังไงอยู่กันแน่? พอลองเหลือบมองเงาสะท้อนบนกระจกประตูก็ได้ยินเสียง คึ!’ แล้วรถก็แฉลบเกือบชนที่กั้นทางเพราะมานะเผลอยกมือขึ้นอุดปากตัวเองไว้

“เฮ้ย มึงขับรถดีๆ ดิวะ เดี๋ยวได้ตายห่าทั้งคันหรอก”  ซินหันไปบ่นมานะ

“โทษทีๆ”  เสียงหมอนั่นสั่นจากการพยายามไม่หัวเราะ

“ขับแบบนี้ไม่ต้องมาสมัครงานกับกูแล้วนะ ไม่จ้างแล้ว”

“แหม เสียดายจัง~”

“ไม่จ้างเด็ดขาด”

“เสียดายจริงๆ นะ~”

นี่คงต้องขอบคุณมานะหรือเปล่าที่ช่วยเบนความสนใจของซินไปจากผม?

“.......”  ไม่อ่ะ เมื่อกี๊มันเพิ่งหัวเราะผม

ผมหันไปมองเจ้าของมือเย็นที่บีบมือผมเบาๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่เลยเลยว่าใครจะพูดยังไง แววตาของเขายังคงสะท้อนแค่เงาของผม ผมก้มมองที่มือ แล้วพลิกหงายฝ่ามือ สอดนิ้วประสานกับนิ้วเรียวของเขา ก่อนจะเงยหน้าแล้วส่งยิ้มให้

แล้วผมก็ได้รอยยิ้มดีใจตอบกลับมา...

คงไม่มีใครนึกหรอกว่าบอสใหญ่แห่ง แบร์ลุสโคนี จะยิ้มแบบนี้ได้ด้วย






โอ้วววว...

ความตื่นตาตื่นใจของผมกับซินเซียร์เกิดขึ้นทันทีที่ได้เห็นประตูรั้วบ้านอันใหญ่โตและเก่าแก่ อบอวลไปด้วยมนต์ขลังของแบร์ลุสโคนีผู้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

ของจริงว่ะ ซันนี่...” 

ซินชะโงกออกไปนอกรถ พึมพำเสียงกึ่งทึ่งกึ่งประทับใจ ระหว่างรอให้ประตูใหญ่นานนั้นเปิดกว้างให้พวกเราผ่านทางเข้าไปข้างใน

ผมพยักหน้าเห็นด้วย สายตาไล่มองไปยังตราประจำตระกูลอันเก่าคร่ำครึเหนือประตูรั้วเหล็กที่สูงกว่าสามเมตรนั่น เดาไม่ออกเหมือนกันว่ามันถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษไหน แถมสัญลักษณ์ที่ใช้ก็ชวนให้พิศวงไม่น้อย

บาซิลิสก์ สัตว์ร้ายในตำนานที่เชื่อกันว่าเป็นตัวแทนของซาตาน แต่บนหัวกลับสวมมงกุฎดอกลิลลี่ สัญลักษณ์ที่มักใช้เพื่อสื่อถึงศาสนจักร ตัวแทนของพระเจ้า

หลังผ่านเขตรั้วเข้ามา ยังต้องนั่งรถผ่านหมู่แมกไม้ที่ขึ้นหนาทึบตลอดสองข้างทางต่อมาอีกเป็นไมล์(ผมกะเองคร่าวๆ) คฤหาสน์โบราณที่ปลีกวิเวกแยกจากโลกภายนอกแทบจะสิ้นเชิงของแบร์ลุสโคนีจึงยอมเผยโฉมอวดสู่สายตาพวกเรา

วินาทีแรกที่เห็นตัวอาคาร ผมเผลอคิดไปว่าป่าไม้ที่เรานั่งรถผ่านมาเมื่อครู่ความจริงแล้วมันคืออุโมงค์กาลเวลาหรือเปล่า? ผมรู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลากลับมาในยุคเรเนซองส์รุ่งเรืองก็มิปาน ตัวคฤหาสน์นั้นดูโบราณสไตล์เรเนซองส์ กึ่งๆ กอธิค สร้างเป็นรูปตัวยูโดยหันปีกทั้งสองข้างไปทางด้านหลัง แถมยังมีมุมที่สามารถมองเห็นได้ทั้งวิวอ่าวเนเปิลส์และภูเขาไฟวิสุเวียสที่ยังครุกรุ่นอยู่อีกด้วย

สุดยอด...

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับซินอีกครั้ง ถ้ามีแค่ตัวคฤหาสน์สไตล์นี้ผมก็เคยเห็นผ่านตาในอังกฤษมาบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยเจอที่ไหนที่อยู่ในสุดยอดภูมิประเทศเท่าคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีมาก่อนเลยจริงๆ แถมด้านหน้าตัวตึกยังมีสวนสวยที่สวยไม่แพ้สวนในพระราชวังวินเซอร์ของราชวงศ์อังกฤษ(แม้ไม่ใหญ่โตเท่า) คอยทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนได้อย่างน่าประทับใจอีกต่างหาก ทุกอย่างที่ผมมองเห็นตอนนี้มันอย่างกับภาพเขียนที่เกิดจากจินตนาการของศิลปินมากกว่าจะมีอยู่จริง

จะว่าไป.. ตึกเก่าแบบนี้คงต้องจ่ายค่าดูแลรักษาเยอะน่าดูเลยสิ

ถ้าเป็นที่อังกฤษ ตึกโบราณขนาดนี้ถ้าไม่ตกเป็นสมบัติของชาติ ก็มักจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ขององค์กรนั่นนี่ หรือไม่ก็โรงแรมหรูของเอกชน แทบไม่มีแล้วที่จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว เพราะค่าดูแลรักษากับภาษีมรดกที่ต้องจ่ายให้รัฐมันค่อนข้างมหาศาลเลยทีเดียว คิดยังไงก็ไม่คุ้มที่จะอยู่ สู้ขายแล้วซื้อหลังใหม่ดีกว่า

ก็ไม่ได้เก่าอย่างที่คิดหรอก”  ฟ้าบอกเนิบๆ

คฤหาสน์หลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปลายศตวรรษที่สิบเก้าน่ะ แค่ราวๆ สองร้อยปี เป็นการสร้างตามแบบแปลนของเก่าที่เคยถูกไฟไหม้ไปก่อนหน้านั้น

มึงใช้คำว่า แค่กับช่วงเวลากว่า 200 ปี เหรอ มานะ?

ถ้าได้ยินมาไม่ผิด ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษคนหนึ่งของฟ้าจะได้รับที่ดินผืนนี้มาจากดยุกแห่งบูร์บง ในช่วงที่ราชวงบูร์บงขยายเขตปกครองเข้ามาในนาโปลี ..?”

มานะเหลือบมองฟ้าเป็นเชิงถามความถูกต้องของข้อมูล พอได้รับการยืนยันโดยการพยักหน้า หมอนั่นก็ให้ข้อมูลกับพวกเราต่อ

ส่วนตัวคฤหาสน์หลังเก่าคาดเดากันว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่สิบห้า ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่เจ้าของคนสุดท้ายเป็นเลดี้ผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง ว่ากันว่าเธอเป็นคนที่สวยมาก แต่โสด และมันอาจจะฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผล แต่เธอคนนั้นแหล่ะที่เป็นคนจุดไฟเผาคฤหาสน์หลังเก่าในปลายศตวรรษที่สิบแปด ทำให้พวกสาวใช้กับคนงานที่พักในตัวตึกหลายสิบชีวิตตายเกือบหมด ก่อนที่เธอจะหายตัวไปอย่างลึกลับ จากนั้นไม่นานก็เริ่มมีข่าวลือเกี่ยวกับวิญญาณร้ายที่ออกมาหลอกหลอนชาวบ้านในละแวกนี้ บางครั้งก็มีคนได้ยินเสียงกรีดร้องออกมาจากซากปรักหักพังของคฤหาสน์ ทั้งเดี่ยวบ้าง ประสานเสียงเป็นหมู่คณะบ้าง นานวันเข้าที่ดินผืนนี้ก็เลยกลายเป็นพื้นที่อาถรรพ์ขวัญผวาไปโดยปริยาย

จะ..จริงเหรอ?”  หน้าซินเริ่มซีดมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้วล่ะ

จริงสิ ลองมองไปรอบๆ นะ ตอนแรกพื้นที่ไม่ได้กว้างขนาดนี้หรอก แต่หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น ชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่รอบๆ ก็ทยอยย้ายหนีออกไป แบร์-ลุสโคนีที่มาทีหลังเลยกว้านซื้อเอาไว้ ตอนนี้ก็กลายเป็นป่าอย่างที่เห็นนี่ล่ะ

ซินกลืนน้ำลายระหว่างสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวงหมอนี่น่ะเป็นโรคกลัวผีขึ้นสมองเลยล่ะ(แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังชอบฟัง) ผมไม่รู้ว่ามานะจงใจหรือเปล่า แต่รอยยิ้มเล็กๆ ที่จุดขึ้นบนมุมปากฟ้าทำเอาผมไม่แน่ในว่ามีความจริงอยู่ในตำนานเรื่องเล่านั้นแค่ไหนกันเชียว

คงไม่ใช่ว่ารู้ว่าพี่ผมกลัวก็เลยหาเรื่องแกล้งหลอกกันหรอกนะ?

แล..แล้วตอนนี้ยังได้ยิน...เสียงแปลกๆ กันอยู่ไหม?”

มีนะ”  ฟ้าตอบหน้าตาย

แต่ซินอ่ะ กำลังจะตายหน้าแทบไม่มีสีเลือดแล้วนั่น

ฮ่ะๆๆ แต่คงไม่เจอง่ายๆ หรอก ถ้าไม่แจ็คพอตจริงๆ น่ะ”  ดูเหมือนข้อมูลจากมานะจะไม่ได้ช่วยให้ซินใจชื้นขึ้นเลย

เราอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนก็ได้ ถ้ามึงกลัว”  ผมบอกซิน

ซันนี่~”  ซินรีบคว้ามือผมไปกุมไว้ด้วยสายตาซาบซึ้ง

แต่คืนนี้คงไม่มีเสียงอะไรหรอก”  ฟ้ากลับคำ

เขาคงเริ่มรู้ตัวแล้วล่ะว่าไม่น่าเอาประเด็นนี้มาแกล้งซิน เพราะถ้าซินติดหนึบอยู่กับผม เขาก็จะไม่มีโอกาสอยู่ตามลำพังกับผมแค่สองคนด้วยไงล่ะ

แน่ใจได้ไง?”  ผมปรายตามอง นึกอยากแกล้งคนขี้แกล้งบ้าง

เออ แน่ใจได้ไง!?”  ซินพยักหน้าเห็นด้วย มือยังจับผมไม่ปล่อย

เชื่อกูน่า”  ฟ้ายืนกรานข้างๆ คูๆ

กูไม่เชื่อ!”  ซินก็ยืนยัน

ไอ้หัวฝักข้าวโพดขี้ป๊อด”  เขาตั้งชื่อเล่นใหม่ให้พี่ชายผม

ก่อนหน้านี้เขาเคยเรียกซินว่า ไอ้หัวหลอดตามลักษณะเส้นผมที่ม้วนเป็นหลอดๆ ของทรงเดดร็อคสีทองที่ซินเคยทำ ตอนนี้กลายเป็น ไอ้หัวฝักข้าวโพดก็เพราะซินทำผมเดดร็อคเปียสีดำเห็นเป็นแนวสลับกับหนังหัวสีขาวเรียงตัวคล้ายฝักข้าวโพดล่ะมั้ง ...จะว่าไป ซินเองก็เคยเรียกฟ้าว่า ไอ้หัวหงอกเหมือนกันนะ

ไอ้หัวรังนกหน้ามึน!”  ซินสวนกลับด้วยชื่อเล่นใหม่ที่เพิ่งตั้งให้ฟ้าเช่นกัน

พอที...”  ผมชักจะปวดหัว

ถึงแล้วคร้าบ~” 

เสียงรายงานของมานะเป็นดังระฆังช่วยชีวิตผมไว้พอดี







 โปรดติดตามตอนต่อไป......