hi AURORA
Chapter 14
“คุณแน่ใจนะว่าจะเล่น?” ผมแอบกระซิบถามคนที่ยืนต่อคิวอยู่ข้างหลังอย่างไม่แน่ใจ
อ้อ ผมขอสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ให้ฟังสั้นๆ
แล้วกัน..
ตอนนี้พวกเราทั้งหมด(สิบคน)กำลังเข้าคิวรอเล่นเครื่องเล่นที่ชื่อว่า
‘Rita - queen of speed’ ด้วยความตื่นเต้น..
ไม่เว้นแม้กระทั่งคุณซอล
“ผมจ่ายเงินไปแล้วนี่.. จ่ายให้ทุกคนด้วย” คนถูกถามยักไหล่
เขาจ่ายอย่างที่เขาว่าจริงๆ(พอดีว่า ‘Rita’
เป็นเครื่องเล่นที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มน่ะ)
ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรผลักดันให้เขาตัดสินใจแบบนั้น
ทั้งที่ตอนที่พวกเราคุยกันหลังจบมื้อกลางวันว่าจะไปเล่นอะไรกันดี เขายังดูเหมือนไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแท้ๆ
ผมหรี่ตามองเขาอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง
ก่อนยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ
“วันนี้คุณดูใจดีมากเลยนะ”
“เพิ่งรู้เหรอ?”
“มีแผนการอะไรหลังจากนี้หรือเปล่า?”
“ก็รอคิดบัญชีกับนายไง.. ทบต้นทบดอก”
“อ้อ” ผมพยักหน้าเข้าใจเจตนา
ถอยกลับมายืนตำแหน่งเดิม “งั้นช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าเรื่องไหนที่คุณอยากจะคิดบัญชีกับผม?
และเรื่องไหนที่ผมสมควรจะถูกคิดบัญชี? เรื่องที่ผมชวนคนอื่นมาด้วย?
เรื่องที่คุณออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในวันนี้ให้กับผม?
เรื่องที่ผมลากคุณไปเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว? เรื่องที่ผมชวนเพื่อนๆ ของคุณไปกินอาหารไทยที่บ้านโดยไม่ขอความเห็นคุณ?
หรือว่าทุกเรื่องรวมกัน?”
“ทุกเรื่องรวมกัน..” คราวนี้คุณซอลเป็นฝ่ายชะโงกเข้ามาพูดใกล้ๆ
ผมบ้าง
“รวมทั้งเรื่องที่นายทำให้ผมรู้สึก ‘หวง’ ด้วย”
“โห.. หลายกระทงเลยนะนี่” ผมหัวเราะร่วน
ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้คิดว่าเขาจะคิดจริงจังอย่างที่พูด
และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะขัดเขินนิดหน่อยกับข้อหาสุดท้ายที่เขากล่าวหา
“ใช่ นายโดนหลายกระทงแน่” เขารับมุขหน้าตาย
“แหม กลัวจัง”
แน่นอนว่าหน้าตากับคำพูดของผมมันสวนทางกันโดยสิ้นเชิง
“แต่กระผมขอแก้ต่างให้ตัวเองหน่อยได้ไหม
ท่านศาลที่เคารพ?”
“ศาลอนุญาตให้จำเลยแก้ต่างได้”
“ข้อหาแรกที่ท่านกล่าวหากระผมว่าชวนคนอื่นมาด้วยนั้น
ครั้งแรกเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หาได้มีเจตนากระทำการข้ามหน้าข้ามตาท่านไม่
ส่วนครั้งต่อมานั้นเพราะกระผมเห็นว่าคนมันก็เยอะอยู่แล้ว จะชวนมาเพิ่มอีกสักคนสองคนคงไม่แตกต่าง
และโปรดจงอย่าลืมว่าทั้งหมดที่มาด้วยกันครั้งนี้เป็นคนของท่านทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน น้องชาย รุ่นน้อง ลูกจ้าง รวมทั้งแฟนผู้แสนดีของท่านด้วย”
“แสนบื้อน่ะสิไม่ว่า” ได้ยินทางนั้นพึมพำ
แต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน
“ข้อหาต่อไป เรื่องที่ท่านกรุณาออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กระผม
อันนี้กระผมไม่ได้เรียกร้องแต่แรก ท่านเสนอว่าจะออกให้เอง เพราะท่านเต็มใจ
จึงไม่ถือว่าเป็นความผิดของกระผม และกระผมก็ทราบซึ้งใจในความเมตตากรุณาของท่านมาก
ส่วนข้อหาที่ว่ากระผมลากท่านไปเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวนั้น กระผมก็หาได้บังคับฝืนใจท่านไม่
แต่ท่านเลือกที่จะฝืนใจตัวของท่านเอง ฉะนั้นกระผมจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดเช่นกัน
และข้อหาที่ชวนเพื่อนท่านไปทานอาหารไทยที่บ้านโดย พละการ ก็...ไม่ดีหรือไง?
ท่านจะได้ภูมิใจว่ามีแฟนที่ทั้งแสนดีทั้งมีความสามารถ
ทั้งหมดล้วนเป็นประโยชน์ต่อตัวท่าน ดังนั้นกระผมก็ไม่น่าจะมีความผิด”
“แล้วข้อหาสุดท้ายล่ะ?”
“ข้อหาสุดท้าย.. มันช่วยไม่ได้ที่กระผมจะเกิดมามีเสน่ห์มากเกินความจำเป็น
ถ้าอยากจะโทษก็โทษว่าเป็นความผิดของธรรมชาติไปเถอะ โอ๊ย!!”
จบคำสุดท้ายผมก็โดนระเบิดมะเหงกลงกลางหัวเหม่งอีกครั้ง
..เจ็บ
“ฟังไม่ขึ้น! ไม่ว่ายังไงนายก็ดิ้นไม่หลุดหรอก คืนนี้ล้างคอรอรับโทษได้เลย” เขาจิ้มหน้าผากผมอีกทีแรงๆ
ส่งท้าย รุนแรงอีกแล้วอ่ะ
“คืนนี้?” ผมเอียงคอสงสัย ทำไมต้องคืนนี้?
“หึหึ” เขาหัวเราะลงคอเหมือนกำลังเป็นต่ออะไรผมสักอย่าง
อืม วางแผนอะไรไว้กันแน่นะ?
สงสัยคืนนี้ต้องปิดกระตูลงกลอนห้องนอนให้แน่นหนาซะแล้ว
กันไว้ดีกว่าแก้ เกิดเขาแอบย่องมาทำฆาตกรรมผมตอนหลับล่ะแย่เลย
“หึ” ผมหัวเราะแบบเหนือๆ
กลับไปบ้าง(ใครจะยอมให้ข่มขวัญอยู่ฝ่ายเดียว) เขาเลิกคิ้วประหลาดใจ
ผมได้ทีเลยตีตอกฝาโลงเขาซะเลย
“ไม่รู้หรอกนะว่าคุณวางแผนอะไรไว้
แต่ก่อนหน้านั้นก็คงต้องพยายามเอาชีวิตรอดจากคุณแม่ ‘ริต้า’ ของคุณไปให้ได้ก่อนก็แล้วกัน”
ผมหันกลับไปมอง ‘Rita - queen of speed’
ซึ่งเป็นเครื่องเล่นชวนหลั่งอะดรีนาลีนฮอตฮิตติดอันดับหนึ่งประจำสวนสนุกแห่งนี้
มันเป็นรถไฟเหาะที่ไม่ ตีลังกา
ไม่ม้วนหน้าม้วนหลัง เพียงแค่วิ่งตรงๆ แรงๆ
ด้วยความเร็วเริ่มต้นจากหยุดนิ่งจนขึ้นมาถึง 100
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 2.5 วินาที..
ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่ามันจะชวนให้สนุกสนานได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ที่แน่ๆ
คือคนที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้กรี๊ดกันสนั่นรางเลยเชียว
คุณซอลเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้ารถเปิดประทุนสีส้มอมแดงที่ซิ่งอยู่บนรางสีเดียวกัน
ก่อนพูดอย่างมั่นใจ
“จิ๊บจ๊อยมาก ก็แค่ความเร็วพอๆ กับรถที่ผมขับอยู่..
ถ้าไม่หมุนไม่เหวี่ยง สำหรับผมก็ไม่มีปัญหา”
“งั้นก็อย่าให้ขายขี้หน้าคนอื่นล่ะ” ผมทิ้งท้ายก่อนเดินไปตามเสียงเรียกของเจ้าหน้าที่
“ไม่มีทางซะหรอก” เสียงคุณซอลพึมพำตามหลังมา
แล้วไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น..
คุณซอลฟาผู้ทระนงก็ได้เรียนรู้ว่า
ไม่ควรสบประมาทเครื่องเล่นในสวนสนุกแห่งนี้
แม้ว่ามันจะไม่มีการหมุนการเหวี่ยงเลยก็ตาม..
“วู้! มันส์สุดๆ!!”
หลังลงมาจาก ‘Rita’
คนในแก๊งค์เราต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันด้วยความมันส์สะใจซึ่งยังหลงเหลือติดค้างอยู่ในห้วงอารมณ์
อ้อ แน่นอนว่ายกเว้นอย่างน้อยหนึ่งคน
..หรืออาจจะเป็นสองคน?
“อยากไปเล่นอีกสักรอบจัง” ใครสักคนพูดขึ้น
“แต่คิวยาวชะมัด เราน่าจะไปหาอย่างอื่นเล่นกันดีกว่า” ใครอีกสักคนว่า
“งั้นฉันขอไปเอารูปถ่ายเป็นที่ระลึกแป๊บนะ” เสียงนี้เป็นของเด็ฟป์แน่ๆ
แต่ก่อนจะได้เดินแยกตัวออกไป
เขาก็ถูกใครบางคนจับล็อคคอจากด้านหลังเสียก่อน
“ถ้าไปเอามา ผมฆ่านายแน่” คุณซอลเอ่ยข่มขู่ทั้งที่หน้ายังซีดไม่หาย
“อั้ก! มะ..มายสวีท.ซอล...นาย..ล็อคแน่น..เกินไปแล้ว..ฉัน..หายใจ..ไม่..อ๊อก” เด็ฟป์เริ่มหน้าเขียว
ไม่น่าเชื่อว่าแขนกล้ามปูของเขาจะง้างแขนกุ้งแห้งของคุณซอลไม่ออก
“อั้ก!!” เจเรมี่ที่ทำท่าจะย่องหนีไปเงียบๆ
กลับต้องประสบชะตากรรมเดียวกับรุ่นพี่ แต่คราวนี้เป็นฝีมือของมิกุมิกุ
“ถ้าไปเอามา ผมฆ่านายแน่” รายนี้ก็ถอดแบบคำพูดมาจากรุ่นพี่เปี๊ยบ
“มะ..มิคุ.นิ...คุณ..ล็อคแน่น..เกินไปแล้ว..ผม..หายใจ..ไม่..อ๊อก” ไดอะร็อกเดียวกัน อาการสภาพเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน
“อ๊ากกกกกก”
สองหนุ่มล่ำร้องลั่น เมื่อถูกสองกุ้งแห้งเพิ่มแรงล็อคให้แน่นขึ้นอีก
ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะสงสารใครดี?
“ฉันว่าเรามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันตรงนี้ก็ดีนะ” แฟร้งก์เสนอ
แล้วยกกล้องที่คล้องคอตัวเองอยู่ขึ้นมาถ่ายทันทีโดยที่สี่คนนั้น(ที่ฟัดกันอยู่)ยังไม่ทันตั้งตัว
หลังจากนั้นก็เป็นเทศกาลถ่ายรูปสนุกสนาน.. จริงๆ มันก็เริ่มมาตั้งแต่ช่วงพักกลางวันแล้วล่ะ
โดยเฉพาะพวกสาวๆ ที่ดูจะไม่เบื่อกับการแอ็คท่าถ่ายรูปเลย เดี๋ยวเปลี่ยนกล้องถ่าย
เดี๋ยวเปลี่ยนคนถ่ายกันอุตลุด ผมเองก็เก็กไปหลายท่าเหมือนกัน ฮ่ะๆๆ
พวกเราเดินเล่นเดินถ่ายรูปกันมาเรื่อยๆ
จนเข้าไปในปราสาทที่มีชื่อเดียวกับสวนสนุก ข้างในมีเครื่องเล่นที่อิงเข้ากับตำนานโบร่ำโบราณ
เห็นตามประวัติว่าปราสาทหลังนี้เป็นของเก่าของท่านดยุกหรือท่านลอร์ดในยุคก่อน
ก่อนหน้านี้จึงเคยมีคนอาศัยอยู่จริงๆ ..แล้ว..แล้วนอกนั้นผมก็ฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลย
เพราะโดนเครื่องเล่นหมุนกันจนงงไปหมด ขากลับออกมายังเบลอไม่หาย
จากนั้นเราก็มาเจอกับบู๊ทที่มีตุ๊กตาแขวนอยู่เต็ม
พวกสาวๆ ก็ร้องกรี๊ดกร๊าดว่า ‘เกรมลินส์น่ารักๆ’ ผมหันไปดูก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ตัวไหนมันคือ
‘เกรมลินส์’
แต่มีตัวนึงที่สะดุดตาผมมาก มันตัวสีเขียวๆ จะว่ากิ้งก่าก็ไม่ใช่
ไดโนเสาร์ก็ไม่เชิง มันดูก้ำกึ่ง หรือไม่ก็อาจจะเป็นลูกผสม
หน้าตาน่าเกลียดจนนึกไม่ออกว่าคนประเภทไหนจะยอมเสียเงินซื้อไปประดับบารมี
แต่คิดอีกทีอาจจะมีคนซื้อก็ได้นะ
เพราะเห็นมันมีแบบนี้หลายตัวแขวนเรียงรายอยู่ทั่วบู๊ทเลย
สุดท้ายเหล่าพวกผู้ชายก็ถูกลากเข้าไปในบู๊ทนั้นจนได้
จากนั้นผมถึงได้รู้ว่าถ้าอยากได้ตุ๊กตาต้องจ่ายเงินสามปอนด์ แล้วชู้ตบาสให้ลงห่วงสามลูก
ถ้าทำได้ตามนั้นอยากได้ตุ๊กตาตัวไหนในร้านก็อุ้มออกไปได้เลย(ตัวมันก็ใหญ่ประมาณหนึ่งล่ะ)
ฟังเหมือนจะง่าย แต่ถ้าไม่มีฝีมือเรื่องชู้ตบาสอยู่บ้างก็คงจะเสียเงินเปล่าแน่ๆ
ตอนแรกเจเรมี่กะโชว์พราว
แต่ดันพลาดลูกสุดท้ายเลยโดนหัวเราะเยาะเย้ยว่าไม่ได้เรื่องอย่างไม่ปราณี
เล่นเอาเจ้าตัวหน้าถอดสีหมดกำลังใจไปเลย
ต่อมาคู่แฝดขออาสาชู้ตล่าตุ๊กตาให้พวกสาวๆ(แต่ต้องจ่ายเงินกันเองนะ
พวกนั้นไม่ยอมควักตังค์จ่ายแทนใครแน่ๆ) คราวนี้ไม่พลาด ชู้ตกี่ลูกก็ลงทุกลูก
ทั้งซันทั้งซินแม่นเหมือนจับวาง สาวๆ ก็เลยได้เกรมลินส์ไปไว้ในครอบครองคนละตัว(ผมรู้แล้วล่ะว่าเป็นตัวไหน
หน้าตามันคล้ายๆ กับหนู มีหูใหญ่ๆ ตาโตๆ พุงกลมๆ แขนขาสั้นๆ เล็บมือเล็บตีนสีชมพู
แล้วก็ขนสีขาวกับสีน้ำตาล ไม่รู้ว่านึกภาพกันออกหรือเปล่า
แต่ก็ประมาณนั้นล่ะ)
“คุณไม่ลองชู้ตดูบ้างเหรอ?” ผมสะกิดถามคนข้างๆ
หลังจากเห็นเด็ฟป์ชู้ตจนได้ตุ๊กตาลูกแกะสีขาวน่ารักมาตัว
และตอนนี้กำลังพยายามจะยัดเยียดให้มิคุนิ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เต็มใจรับเท่าไหร่
คุณซอลทำท่าครุ่นคิด ก่อนหันมาถามผม
“นายมีตัวไหนที่อยากได้เหรอ?”
“ก็ไม่เชิง
แค่อยากรู้ว่าคุณจะสู้พวกแฝดได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”
“ผมก็ส่วนผม แฝดก็ส่วนแฝด
จะเอามาเทียบกันได้ยังไง” เขาขมวดคิ้ว
“พูดแบบนี้แสดงว่าฝีมือห่วย” ผมปรามาสยิ้มๆ
คุณซอลทำท่าฮึดฮัด ก่อนเดินเชิดๆ สวยๆ
ไปจ่ายเงินให้สต๊าฟของบู๊ท
ยุขึ้นด้วยแฮะ ฮ่ะๆๆ
“จะทำอะไรน่ะ ซอลลี่?” ซันถามอย่างแปลกใจเมื่อหันมาเห็นพี่ชายคนโตจับลูกบาสบ้าง
“พี่ไม่กลัวขายขี้หน้าหรือไง?”
ซินพูดแล้วหัวเราะชอบใจ
ผมก็พลอยแอบขำไปด้วย
“หุบปากน่า” คุณซอลหันไปแว้ดแฝดเบาๆ “ก็แค่โยนให้ลงห่วงใช่ไหม?
ไม่เห็นจะยากตรงไหน เดี๋ยวพวกนายจะได้เห็นถึงพรสวรรค์ของพี่ คอยดูให้ดีล่ะ”
และทันทีที่คุณซอลปล่อยลูกบาสออกจากมือไป
เสียงหัวเราะฮาครืนก็ดังลั่นบู๊ท ไม่ใช่แค่พวกเรา แม้แต่พวกสต๊าฟก็เอากับเขาด้วย
ฝีมือคุณซอลนั้นไม่ใช่ว่าห่วย.. แต่ห่วยโคตรพ่อโคตรแม่เลยล่ะ
ลูกแรกแรงเกินไปจึงลอยข้ามแป้น ลูกที่สองเบาเกินไปจึงไปไม่ถึง
ส่วนลูกที่สามกะน้ำหนักกับระยะได้ดีแล้ว แต่ทิศทางนี่เฉียงจนออกไปกระแทกกับขอบแป้นข้างๆ
ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง แต่ห่วยได้น่าประทับใจจริงๆ
“จบกัน สิ้นหวังแล้ว” ซันยกสองมือปิดหน้า
ส่ายหัวไปมาอย่างคนสิ้นหวัง
“อย่าไปบอกใครนะ ห้ามบอกเด็ดขาดว่าเป็นพี่ชายของพวกเรา”
ซินเองก็ทำท่าเดียวกัน
“.........” ส่วนตัวการนั้นดูเหมือนจะช็อคกับฝีมือของตัวเองไปแล้ว
ท่าทางว่าเขาจะไม่เคยรับรู้ถึงความสามารถอันเข้าขั้นหายนะของตัวเองมาก่อนนะเนี่ย
ฮ่าๆๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ขณะที่คนอื่นๆ
ยังตั้งหน้าตั้งตาอ้าปากหัวเราะกันต่อไป มีเพียงมิคุนิคนเดียวที่พยายามเก็บอาการให้มากที่สุดด้วยเกรงใจรุ่นพี่ที่เคารพ
ผมเดินไปจ่ายเงินให้สต๊าฟสามปอนด์
ก่อนเดินไปดันคุณซอลออกเบาๆ แล้วเข้าไปยืนแทนที่..
หลังจากชู้ตออกไปหมดทั้งสามลูก
ผมก็ได้ตุ๊กตาตัวสีเขียวหน้าตาน่าเกลียดมาไว้ในครอบครองหนึ่งตัว
“อ้ะ” ผมยื่นตุ๊กตาตัวนั้นให้คนที่ยังช็อคไม่หาย
“.........” เขารับไปอุ้มแบบงงๆ มองหน้าผมกับตุ๊กตาสลับกัน
เวลาทำหน้าเอ๋อๆ แบบนี้ เขาก็ดูน่ารักดีนะ ผมว่า
ผมแค่ยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไรอย่างที่ใจแอบคิด
แล้วจับเขากลับหลังหัน ผลักดันให้เดินตามคนอื่นๆ ออกจากบู๊ทไป..
เราปิดท้ายทริปสวนสนุกวันนี้ด้วยเครื่องเล่นอันดับสามใน
‘Top 5’
มันมีชื่อว่า ‘Oblivion’ หรือ ‘ภาวะที่ถูกลืมเลือน’
ซึ่งก็สมชื่อครับ เล่นเอาเกือบลืมหน้าแฟนหมาดๆ ไปเลยทีเดียว ฮ่ะๆๆ
‘Oblivion’ เป็นรถไฟเหาะเหมือนกัน
แต่มันไม่ได้ตีลังกาเหมือน ‘Nemesis’ ไม่ได้รวดเร็วเหมือน ‘Rita’
และไม่ได้ท่ายากเหมือน ‘Air’ แต่มันเสียวครับ
เน้นเสียวสุดๆ อยู่ประมาณสี่วินาที คือมันจะขึ้นไปสูงๆ แล้วก็ปล่อยลงมาตามแนวดิ่งแบบ 90 องศาเลย ลงไปในอุโมงค์
แล้วก็โผล่ขึ้นมาอีกฝั่งหนึ่ง..
เสียวอยู่สี่วิฯจริงๆ ตอนทิ้งดิ่งนั่นแหล่ะ
แต่ก็สนุกดี
กับเครื่องนี้คุณซอลไม่ได้เล่น แค่นั่งกอดตุ๊กตาหน้าตาน่าเกลียดรออยู่ข้างล่าง
คงจะยอมรับในสังขารของตัวเองแล้วล่ะ(ฮ่ะๆๆ)
แต่ก็ยังไม่วายปากดีแอบเกทับว่า..
“ผมทำให้นายเสียวได้นานกว่านั้นอีก”
ทีงี้ล่ะทำเก่ง.. ผมได้แต่แอบเหน็บในใจ
รู้งี้ลากขึ้นไปเสียวด้วยกันซะก็ดีหรอก เหอะ
กว่าเราจะออกจากสวนสนุกก็เย็นย่ำค่ำมืดแล้ว
เราตัดสินใจหยุดแวะทานมื้อเย็นกันที่ภัตตาคารอาหารจีนระหว่างทางที่กลับ
จู่ๆ ตอนนั้นซินก็เสนอขึ้นว่า ‘เรามาจับฉลากหาเจ้ามือกันไหม?’ โดยเอาตั๋วของสวนสนุกมาฉีกเฉพาะส่วนที่เป็นคำว่า ‘อัลตัน
ทาวเวอร์ส’ แล้วก็แยกทีละตัวอักษร
ซันเป็นคนอธิบายว่าถ้าใครจับได้ตัว ‘S’
ต้องจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ทั้งหมด
ทุกคนเห็นว่าน่าสนุกและมีสิทธิ์ได้กินฟรี(แต่ก็มีสิทธิ์หมดตูดได้นา
ผมว่า)เลยตอบตกลงโดยไม่คิดอะไร มีเพียงคุณซอลเท่านั้นที่หรี่ตามองแฝดคล้ายแคลงใจ
แต่แฝดทำไม่รู้ไม่ชี้ สุดท้ายคุณซอลก็ยอมจับฉลากโดยไม่พูดอะไร
ผลปรากฎว่าแจ็กพ็อตแตกที่เจเรมี่
ทุกคนเลยได้เฮกันสนั่นร้าน ยกเว้นแค่เจ้ามือที่นั่งหน้าเหี่ยว บ่นพึมพำว่า ‘ซวยทั้งวัน’
อย่างหมดอาลัยตายอยาก
หลังอิ่มหนำสำราญพวกเราก็นั่งรถกลับเข้าลอนดอนกันอย่างเบิกบานใจ
แฟร้งก์ เจเรมี่ และมิคุนิ ขอลงตรงสถานีรถไฟที่กลับอพาร์ตเม้นต์ได้สะดวก
ส่วนเด็ฟป์นั่งมาถึงบ้านแอนเดอร์สันเลย เพราะเขาจอดรถเอาไว้ที่นี่
และหลังจากเด็ฟป์ขับรถจากไป
พวกเราที่เหลือก็พากันกลับเข้าบ้านด้วยความอิ่มเอมพร้อมทั้งเหน็ดเหนื่อยจากวันหยุดสุดหรรษา
แล้วผมก็ลืมเรื่องปิดประตูลงกลอนห้องนอนไปเสียสนิทใจ..
“อื้อออออออ!!!!”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมที่กำลังปล่อยใจล่องลอยไปกับความฝันที่แสนจะผจญภัยต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาแหกปากร้องกลางดึก
“อื้ออออออออออออ!!!” ถึงจะพยายามแค่ไหนแต่ก็ร้องได้แค่นั้นเอง
เพราะใครบางคนมันแอบย่องเอาผ้ามามัดปิดปากตอนผมหลับ
พอจะขยับตัวถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ปาก
แต่มือทั้งสองข้างของผมก็ถูกมัดโยงไว้กับหัวเตียงด้วย!
นี่เป็นเพราะผมเหนื่อยจนหลับลึกเกินไป
หรือเพราะอีกฝ่ายมันเป็นตีนแมวมือชีพกันแน่เนี่ย?! เข้ามาทำอะไรตั้งแต่ตอนไหนไม่เห็นรู้ตัวเลย?
“ชู่ววว.. นายก็รู้นี่ว่าผมเป็นใคร
จะตกใจอะไรนักหนา?”
เงาตะคุ่มๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ โน้มลงมากระซิบ
ก่อนลากปลายลิ้นชื้นแฉะไปตามโหนกแก้มผม มือนิ่มๆ ลูบไล้ปาดป่ายจากหน้าอก
ลงไปหน้าท้อง จนถึงน้องชายผม โดยที่ยังมีกางเกงนอนคั่นอยู่
แต่เขาก็สามารถทำให้มันเริ่มผงกหัวขึ้นมาดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างแล้ว
“หึหึ ก็ตอบสนองดีนี่นา
นึกว่าจะไม่ชอบแบบนี้ซะอีก”
แม้ห้องจะมืดแทบสนิท
เพราะปิดทั้งหน้าต่างปิดทั้งม่าน
แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าดวงตาสีน้ำเงินอมเทาคู่นั้นกำลังเปล่งประกาย
ผมทำได้แค่บิดตัวซ้ายขวาเมื่อเขาเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าแล้วละเลงลิ้นไปจนทั่วทุกตารางนิ้วบนตัวผม
“อื้อออ..”
มั่นใจได้เลยว่าคืนนี้ไม่มีส่วนไหนในร่างกายผมที่ไม่เปื้อนน้ำลายของเขา..
“อืม..ยู..สุดยอดเลย...ทั้งตอดทั้งรัด..แน่นไปหมด”
เมื่อพอใจกับการชิม
เขาก็เริ่มกลืนกินผมแบบไม่เกรงใจ ทั้งเร่าร้อน รุนแรง หยาบโลน
ต่างจากครั้งแรกลิบลับ ทั้งที่ผมเคยบอกไปแล้วว่ายังไม่หายเจ็บจากคราวก่อน
แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจ
ยังคงเอาแต่ใจและมัดผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
หรือนี่จะเป็นการลงโทษที่เขาเคยขู่..?
“คะ.คุณ...ให้ผมไป.ก่อน..ไม่ได้.อึก..หรือ.ไง”
ผ้าที่เคยมัดปิดปากไว้เลื่อนหลุดลงไปที่คอ
ปากผมเป็นอิสระ แต่ก็ใช่ว่าจะออกเสียงได้ดังใจ
ผมจำไม่ได้แล้วว่าความตั้งใจแรกตอนสะดุ้งตื่นขึ้นมานั้นอยากพูดอะไร
แต่ตอนนี้ผมอยากพูดเรื่องนี้ก่อน
ปล่อยผมสักที มันทะลักทะล้นมาจนแทบถึงคอหอยผมแล้ว
ผมไม่รู้แล้วว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ตั้งแต่คุณซอลเริ่มบทลงโทษ
รู้แค่ว่าเขายังไม่หยุด และไม่มีท่าว่าจะยอมหยุด
ตอนนี้ผมรู้สึกแสบทั้งข้อมือที่ถูกเชือกบาด ทั้งข้างหลังที่ถูกเขาเล่นงาน
น้องชายผมก็ปวดหนึบไปหมดเพราะเขาไม่ยอมแตะต้องเพื่อปลดปล่อยมัน
แถมยังเอาอะไรไม่รู้ไปรัดคอมันเอาไว้อีกต่างหาก(ดูท่าว่าเขาจะไม่ได้พกมาแค่เชือกกับผ้าที่ใช้มัดปากผมซะแล้ว)
และผมก็ไม่สามารถช่วยอะไรตัวเองได้เลย
ผมอาจจะรู้สึกตัวช้าไป..
แต่ท่าทางว่าวันนี้ผมจะทำให้เขาโกรธจริงๆ
...ใช่ไหม?
แต่ตอนเย็นก็ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจตั้งแต่เช้าไปหมดแล้วนี่
พอกลับมาเขาก็ขึ้นไปอาบน้ำ
แถมยังเรียกให้ผมเข้าไปช่วยสระผมพร้อมทั้งขัดตัวให้อย่างที่ไม่ได้ทำมาพักใหญ่
เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนแห่งความงามทั้งหมดทั้งสิ้นเขาก็เข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม
ส่วนผมลงมาช่วยสองเมดสาวเก็บกวาดงานบ้าน กว่าจะกลับขึ้นห้องก็เลยสี่ทุ่มไปแล้ว
โทรศัพท์คุยกับยายพักหนึ่งก่อนไปอาบน้ำอาบท่า
รู้สึกว่าตอนขึ้นเตียงนาฬิกาดิจิตอลจะบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว พอหัวถึงหมอนผมก็คงจะผล็อยหลับไปเลย
พอตื่นขึ้นมาก็แจ็คพ็อตแตกอย่างที่เห็น..
ไม่คิดว่าเขาจะแค้นฝังหุ่นขนาดนี้
มารู้สึกกลัวคนคนนี้ตอนนี้ยังทันหรือเปล่านะ?
“ไม่ได้หรอก..หึหึ” เสียงกระซิบแหบพร่าตอบกลับมาท่ามกลางความมืด
ก่อนที่ลิ้นชื้นจะชอนไชเข้ามาในหู
“โธ่...” ผมได้แต่ครางทดท้อ
“ผมบอกแล้วไง..
ว่าผมทำให้นายเสียวได้นานกว่าเครื่องเล่นงี่เง่านั่น”
“คุณนี่..มัน..อ๊ะ”
“ถ้าจะขอบคุณกันล่ะก็ ขอเป็นเสียงครางเพราะๆ
แล้วกันนะ ..ที่รัก”
“คุณมัน..บ้า..อ่ะ..อ้า..”
“รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ”
“อื้ออ..”
“เจ็บมากหรือเปล่า?”
ยังมีหน้ามาถาม..
ผมเหลือบตามองคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ
เพราะตอนนี้เปิดไฟหัวเตียงเอาไว้
ผมเลยได้เห็นสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาขัดกับคำถามห่วงใยของเขา
ก็รู้แหล่ะว่าทำแบบนี้มันไม่ค่อยเหมาะกับหัวโล้นๆ ของผมเท่าไหร่
แต่เห็นแล้วก็อดแจกค้อนให้ไม่ได้จริงๆ
คนถูกค้อนหัวเราะลงคอเบาๆ
ขณะที่ผมเบนสายตากลับมามองข้อมือที่มีรอยห้อเลือดทั้งสองข้างของตัวเองเคืองๆ
“เล่นบ้าๆ” ผมจำไม่ได้แล้วว่าบ่นแบบนี้ออกไปกี่รอบ
“ก็เห็นนายมีอารมณ์ร่วมดีกว่าครั้งก่อนอีก”
“หุบปากไปเลย!”
ผมชักโมโหแล้วนะ เมื่อกี๊กว่าเขาจะยอมสงบศึกได้
เล่นเอาผมน้ำตาร่วงไปตั้งหลายแหมะ ไม่ใช่แค่ข้อมือ ตอนนี้ทั้งตัวไม่มีส่วนไหนอยากจะขยับให้กระทบกระเทือนเลยแม้แต่น้อยนิด
“คุณโกรธผมมากเลยหรือไง? ทำกันถึงขนาดนี้..”
“โกรธอะไร?” เสียงเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวจนผมต้องตวัดสายตาไปมองอีกรอบ
“ก็โกรธที่ผมขัดใจคุณเรื่องไปสวนสนุกไง สี่ห้าข้อหาที่คุณยัดเยียดให้ผมนั่นไง
จะอะไรซะอีก” จากที่โวยตอนแรกก็เริ่มแผ่วในตอนท้าย
นึกๆ
ย้อนดูแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองสมควรโดนหรือเปล่านะ?
ก็เล่นไปขัดใจเขาเอาไว้ซะขนาดนั้น ..งืมๆ
“อ้อ” เขาทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก
“นั่นผมไม่ได้ใส่ใจหรอก ก็แค่ขู่เล่นๆ ไปงั้นเอง”
“แล้วนี่มันอะไร?” ผมหยิบเชือกที่พันธนาการตัวเองไว้จนถึงเมื่อกี๊ให้เขาดูพร้อมรอยแดงๆ
บนข้อมือ “ถ้าจะล้อกันเล่นจริงๆ ก็น่าจะใช้อะไรที่มันหาได้ในห้องนอนก็ได้
อย่างผ้าขนหนู เสื้อ หรือสายผูกเอวก็ได้ เอ้อ แต่ไม่เอาเข็มขัดนะ แล้วนี่อะไร?
นี่มันเชือกชัดๆ ถ้าไม่ตั้งใจมัดกันจริงจังคงไม่ลงทุนไปหามาขนาดนี้หรอก ใช่ไหม?
หรือว่าของแบบนี้หาได้ง่ายๆ ในห้องนอนคุณ? ไหนจะไอ้วงแหวนบ้าๆ
ที่เอามารัดน้องชายผมอีก จะบอกว่านี่ไม่ใช่การลงโทษ
แต่เป็นรสนิยมปกติของคุณหรือไง? คุณเป็นซาดิสม์หรือไง คุณซอลฟา?”
“.........” เงียบ
“.........” เงียบแปลว่าอะไรวะครับ?(ชักหวั่นใจ)
“.........” ยังเงียบอยู่
“จะไม่แก้ตัวสักหน่อยเหรอ?”
ในที่สุดก็เป็นผมที่ทนไม่ไหวก่อน
“ฮื่อ” เขาถอนหายใจออกมายืดยาวหลังจากเงียบไปนาน
ก่อนจะยักไหล่ง่ายๆ ทำหน้าไม่ยี่หระราวกับมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“ไม่ล่ะ” แล้วเขาก็ว่างั้น
“แก้ตัวหน่อยเห๊อะ” ผมแอบหวังว่ามันจะไม่ใช่
มันไม่จริ๊งงงง
“ผมชอบของผมแบบนั้นจริงๆ”
อย่ามายอมรับง่ายๆ แบบนี้สิ ได้โปรด~
“แต่ผมไม่อยากมีแฟนโรคจิตนะ
แล้วผมก็ไม่ใช่พวกมาโซคิสม์ด้วย”
นี่มันไม่จริงใช่ไหม?
ใครก็ได้บอกผมทีว่าผมกำลังฝันอยู่
แต่ไม่ต้องมาตบให้ผมตื่นนะ
วันนี้ผมช้ำมามากพอแล้ว
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่เล่นถึงเลือดหรอก
เพราะผมไม่ชอบเลือด” เขาไถลตัวลงมานอนกอดผมเอาไว้อย่างอารมณ์ดี
“เดี๋ยวคราวหน้า ก่อนมัดผมจะหาผ้ามารองให้นะ”
“ขอบใจที่อุตส่าห์นึกห่วง”
เห็นทีจะไม่รอดแล้วมั้งเรา.. ผมได้แต่พยายามทำใจ
“ยังมีอะไรที่ผมต้องรู้อีกไหม?”
“หือ?”
“เช่นว่า.. นอกจากคุณจะโรคจิตแล้ว
คุณยังมีความลับดำมืดอะไรซ่อนเอาไว้อีก ไหนๆ ก็จะต้องตกใจแล้ว
ผมขอตกใจให้มันหมดไปเลยทีเดียวแล้วกัน”
“ฮ่ะๆๆ ค่อยๆ เรียนรู้กันไปก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน”
เขากระชับอ้อมกอดขึ้นอีก
ขณะที่ผมถอนหายใจยืดยาวแบบคนปลงตก
“สงสัยผมต้องขอขึ้นค่าแรงแล้วมั้งเนี่ย”
“อีหนูอยากได้เท่าไหร่?” ไม่พูดเปล่า
แต่เขายังบีบก้นผมด้วย
ให้ตายสิ
ทำไมนิสัยถึงขัดกับรูปร่างหน้าตาได้ขนาดนี้นะ?
“พูดแบบนี้เดี๋ยวก็เรียกหมดตัวซะเลย”
“หมดตัว แถมหัวใจด้วยยังได้”
“เลี่ยนไปแล้ว ออโรร่า.. แล้วนี่คุณต้องไปขึ้นเครื่องแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?”
ผมเหลือบมองนาฬิกา เพิ่งนึกได้ว่าเขาต้องไปนิวยอร์กเช้านี้นี่นา
“จะตีสี่แล้ว..” พอเห็นแบบนั้นผมก็รู้สึกง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้นซะเฉยๆ
อะไรกัน ง่วงจัง..
“อืม เดี๋ยวตีห้าก็ต้องไปแล้ว”
“แต่คุณยังไม่ได้นอนเลยนะ” ตาผมปิดไปแล้ว
แต่ยังพอมีสติเหลืออยู่บ้าง
“ผมนอนตอนหัวค่ำแล้ว
แล้วก็มีเวลาไปนอนต่อบนเครื่องอีกเป็นสิบชั่วโมง”
“เหรอ..”
“ไม่ต้องห่วง นายนอนไปเถอะ ฝันดีนะ..”
ผมรู้สึกว่าเขาจุ๊บที่หน้าผาก ที่เปลือกตา
ที่ริมฝีปาก..
หลังจากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว
ฝันดีเหมือนกันครับ.. คุณซอล
TBC.