hi AURORA
Chapter 9
“.........”
ผมเงยหน้ามองคนที่เพิ่งมาถึงอย่างประหลาดใจ ทั้งหน้าตาแดงก่ำ
เหนื่อยหอบหายใจแทบไม่ทัน เหงื่อโทรมกาย ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับเยิน..
ดูยังไงก็ห่างไกลจากคุณซอลฟาผู้รักความสวยงามทุกวินาทีคนนั้น
แต่จะปฏิเสธก็คงไม่ได้ เพราะถึงยังไงคนที่รีบร้อนมาปรากฏตัวต่อหน้าผมตอนนี้ก็คือคุณซอลฟาคนนั้น
..จริงๆ
“ค่อยยังชั่ว” คุณซอลพูดทั้งที่ยังหอบไม่หาย
“นึก..นึกว่าจะไม่..ทัน.ซะแล้ว”
“ใจเย็น..” ผมบอกให้เขาค่อยๆ หายใจ
“ผม..เครื่องที่ผมนั่ง..มันดีเลย์...แล้ว..อุบัติเหตุแถวถนน..คิงส์..ทำให้รถติดยาว..แทบไม่ขยับเลย”
ผมพยายามเรียบเรียงเรื่องราวจากประโยคกระท่อนกระแท่นของเขา
อืม.. เขาบอกว่าเครื่องดีเลย์ ..ดีเลย์เหรอ?
แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลาลงจอดของไฟท์ที่เขาแจ้งพ่อบ้านเอาไว้ด้วยซ้ำ
หรือเขาเลื่อนไฟท์?
ก็น่าจะเป็นงั้น.. แล้วจากนั้นถนนคิงส์ก็รถติด?
อันที่จริงบ้านแอนเดอร์สันตั้งอยู่บนถนนบิวฟอร์ตซึ่งเชื่อมกับถนนคิงส์อีกที
ถ้ารถที่เขานั่งมันไม่สามารถขยับได้
เดี๋ยวนะ รถเหรอ? แล้วเขามารถอะไร? ลุงพ่อบ้านเพิ่งจะออกจากบ้านไปครู่เดียวเองนี่
ไม่น่าจะพาเขากลับมาได้เร็วขนาดนี้นะ เผลอๆ อาจจะยังติดแหง็กอยู่ที่ถนนคิงส์ด้วยซ้ำ
“คุณขึ้นรถอะไรมาน่ะ?”
“แท็กซี่”
“แต่คุณไม่ชอบขึ้นแท็กซี่..”
เขาเคยบอกแบบนั้น ผมจำได้
ถึงจะไม่เคยถามถึงเหตุผลก็เหอะ แล้วตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันผมก็ยังไม่เคยเห็นเขาขึ้นมันสักครั้ง
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสาธารณะชนิดไหนเขาก็ไม่ใช้บริการทั้งนั้นแหล่ะ
ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าเขามารถไฟใต้ดินมันอาจจะเร็วกว่านี้ก็ได้นะผมว่า
“มันจำเป็น” เขาส่ายหัว
ก้มตัวลงแล้วเท้ามือลงไปบนหัวเข่าทั้งสองข้างอย่างอ่อนแรง
“แล้วจากนั้น..” ผมเกริ่นนำให้เขาพูดต่อ
“รถมันติด”
“คุณก็เลยลงจากรถแล้ววิ่งมา?”
ดูจากสภาพเขาแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
“ผมไม่มีทางเลือก” เขายืดตัวขึ้นตรงตามเดิม
ดูเหมือนระบบหายใจจะเริ่มกลับสู่ปกติแล้ว “ผมต้องมาให้ถึงที่นี่ก่อนนายจะไป..”
นี่เขารีบวิ่งมาหาผมงั้นเหรอ?
เพื่อผม..?
“..ฮุ” ผมพยายามจะเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้
แต่เก็บอาการสั่นของร่างกายไม่ได้จริงๆ ก็ดูสภาพเหงื่อโทรม หัวกระเซิงของเขาสิ
หลุดมาดขนาดนี้ผมเพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกนี่แหล่ะ
ดูไม่ได้เอาซะเลย
“อะไรกันนายนี่..” คุณซอลหน้าหงิก เขายกมือขึ้นเท้าเอว
อ้าปากคล้ายอยากจะด่า แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นระบายลมหายใจพลางเสยผมลวกๆ
“ปกติแล้วต้องซาบซึ้งประทับใจกับความทุ่มเทของผมสิ
ไม่ใช่มาหัวเราะตัวงอแบบนี้.. ให้ตาย เสียมู้ดหมด”
“โทษทีๆ” ผมพยายามจะหยุดหัวเราะ
แต่มันก็ไม่ง่ายนัก
“เฮ้อ.. เอาเหอะ” อีกฝ่ายพูดแบบปลงๆ
“ยังไงก็มาทันเวลาพอดี”
“ถึงคุณมาช้ากว่านี้ คุณก็จะยังเจอผม” ผมบอกหลังหยุดหัวเราะได้แล้ว
ก่อนจะลุกขึ้นยืน คุณซอลมองมาอย่างไม่เข้าใจ
“ผมรอคุณอยู่น่ะ
มีเรื่องอยากจะคุยด้วยสักหน่อย...ก่อนไป”
เพราะผมไม่อยากมีเรื่องติดค้างในใจ
จึงตั้งใจจะเคลียร์กับเขาก่อนไป
หลังจากเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางที่พ่อบ้านยกให้แล้ว
ผมก็เลยออกมานั่งรอเขาตรงบันไดหน้ามุขนี่ล่ะ
เช้านี้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับผมสองเรื่อง..
เรื่องแรกคือตำรวจเพิ่งจะเอาเอกสารสำคัญที่ถูกขโมยไปมาให้
ตามที่ลุงพ่อบ้านเคยพาไปแจ้งความไว้ ทั้งพาสปอร์ต วีซ่า และบัตรประจำตัวอื่นๆ
ได้กลับคืนมาทั้งหมด พวกนั้นบอกว่ามีพลเมืองดีเก็บได้และส่งมันมาให้ตำรวจ
แม้ของมีค่าอื่นๆ จะไม่อยู่แล้ว แต่ผมก็ดีใจที่อย่างน้อยก็ได้เอกสารพวกนั้นกลับคืนมา
ส่วนอีกเรื่องคือ
ผมได้รู้ว่าคุณซอลอุตส่าห์รีบร้อนมาหาผมจนลืมสนใจตัวเอง ทั้งที่ผมมักคิดอยู่เสมอว่าในโลกนี้คงไม่มีใครที่จะทำให้เขาสนใจได้มากกว่าที่เขาสนใจตัวเองแน่ๆ
แต่วันนี้เขาสนใจผมมากว่า นั่นทำให้ผมดีใจ
แม้วันนี้จะต้องจากไป
ผมก็หวังว่าเราคงจะจากกันด้วยความรู้สึกดีๆ
“รอเดี๋ยว..” คุณซอลยกมือเป็นเชิงห้าม ผมเลยต้องหุบปากที่กำลังจะเอ่ยเข้าประเด็น
“ขอผมขึ้นไปเอากุญแจรถก่อน แป๊บเดียว”
กุญแจรถ..?
“เอ่อ.. นี่เรากำลังจะไปไหนกันเหรอ?”
ผมหันซ้ายแลขวามองออกนอกหน้าต่างก็เห็นแต่ข้างทางที่ไม่ชินสายตา
ไม่มีความคลับคล้ายคลับคลาเลยว่าเคยผ่านมาก่อน
ที่ไหนกัน?
เมื่อสักพักนี้คุณซอลพาผมขึ้นรถออกจากบ้านแอนเดอร์สันมาโดยไม่ได้บอกอะไรสักคำ
เขาใช้เส้นทางเลี่ยงเพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญรถติดใหญ่โตบนถนนคิงส์
ระหว่างทางได้แวะร้านดอกไม้เพื่อซื้อดอกลาเวนเดอร์ล้วนๆ มาหอบใหญ่
ก่อนขับรถไปต่อโดยไม่แจ้งจุดหมายปลายทางเช่นเคย
“สุสาน” คำตอบสั้นๆ ทำเอาผมชักใจไม่ดี
“อ่า.. คุณคงไม่ได้คิดจะเอาผมไปฝังหรอกใช่ไหม?”
ถึงผมจะไม่มีพ่อแม่แล้ว
แต่ผมก็ยังมียายอยู่ทั้งคนนะ
“จะกลัวอะไร? นายไม่ได้ไปในฐานะศพสักหน่อย” คนขับรถพูดยิ้มๆ
ตายังจับจ้องที่เส้นทางเบื้องหน้า
“และคุณคงจะไม่พยายามผลักดันให้ผมไปอยู่ในฐานะนั้นหรอก..ใช่ไหม?”
ผมพูดอย่างไม่แน่ใจนัก
เมื่อวานเพิ่งจะโทรบอกยายว่าสบายดีด้วยสิ
แต่ท่าทางวันนี้จะไม่ค่อยสบายแล้วแฮะ
“หึ” เขาส่งเสียงออกมาแค่นั้น
ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
“คุณโกรธที่ผมหัวเราะเมื่อกี๊เหรอ?” ผมเอียงคออย่างไม่ค่อยแน่ใจว่าความคิดนี้จะถูกต้อง
..ก็แค่หัวเราะเองอ่ะ
“แต่บ้านผมไม่นิยมฝังนะ พ่อกับแม่ผมก็ใส่เตาเผา..
ถ้าคุณจะกรุณาล่ะก็ ช่วยส่งกระดูกผมกลับไปให้ยายด้วย”
คุณซอลหันมามองผมคล้ายตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ครู่เดียวก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ
“พ่อกับแม่นายไม่อยู่แล้วเหรอ?”
“อือ เครื่องบินตกระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ
ตั้งแต่ผมได้สองขวบแล้วล่ะ”
หน้าตาเป็นยังไงก็จำไม่ได้แล้ว
เห็นแค่ในรูปถ่ายก็ไม่ต่างอะไรจากเห็นรูปคนแปลกหน้า
เพราะผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่หลงเหลืออยู่เลย
บางครั้งอยากจะคิดถึงแต่ก็นึกภาพช่วงที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่ไม่ออก สุดท้ายก็เลยไม่รู้จะคิดถึงยังไง
แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจที่พวกท่านจากไปแล้วด้วย
“เสียใจด้วยนะ” น้ำเสียงของคุณซอลแสดงความจริงใจ
ผมส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องใส่ใจ..
ผมเชื่อว่าพวกท่านไปดี เพราะถ้าไม่ดีก็คงจะกลับมานานแล้วล่ะ
ยายเคยบอกผมแบบนั้น..
“ตอนนี้นายอยู่กับยายงั้นเหรอ?”
“ครับ ผมอยู่กับยายสองคน”
“แล้วคุณตาล่ะ?”
“ระเหยไปแล้ว”
“อะไรนะ?”
“ยายว่างั้น”
คนฟังพยักหน้า แม้จะยังดูงุนงงอยู่ไม่น้อย
“ญาติพี่น้องคนอื่นล่ะ?”
“ไม่เคยได้ยินยายพูดถึง”
ตั้งแต่จำความได้ คนที่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดก็มีเพียงผมกับยายเท่านั้น
นอกนั้นก็มี ป้าจุ๊ พี่แจง พี่มล ซึ่งเป็นลูกมือและพนักงานในร้านขนมไทยของยาย
แล้วก็เพื่อนบ้านรอบข้างอีกหลายหลังที่รู้จักคุ้นเคย เพื่อนร้านข้างเคียง
บางคนก็เป็นลูกค้าขาประจำ
อืม รอบตัวผมก็มีประมาณนี้แหล่ะ
ถ้าไม่นับเพื่อนฝูงของผมล่ะก็นะ
จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบกันไปพักใหญ่
จมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง..
“เอ้อ แล้วตกลงเราจะไปทำอะไรกันที่สุสานเหรอ?”
ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าบรรยากาศในรถเข้าสู่สภาวะวังเวง จึงเอ่ยทำลายความเงียบ
“ผมมีเพื่อนคนนึงที่อยากแนะนำให้นายรู้จัก”
“เพื่อน?”
เพื่อนคุณซอลอยู่ที่สุสาน...
เขาเป็นสัปเหร่อหรือไง??
นั่งรถมาได้อีกราวครึ่งชั่วโมง..
คุณซอลก็เลี้ยวเข้าสุสานแห่งหนึ่งอย่างที่บอกไว้จริงๆ
แม้จะดูร่มรื่นประหนึ่งสวนสาธารณะ
แต่บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงก็สะท้อนภาพความเป็นสุสานได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
ป้ายแผ่นหินเรียงรายมากมายนับไม่ถ้วนบ่งบอกถึงความนิยมของสุสานแห่งนี้..
ไม่รู้ว่าในบรรดาเจ้าของชื่อที่สลักอยู่บนแผ่นหินเหล่านี้
มีสักกี่รายที่รู้ว่าที่พำสักสุดท้ายของตัวเองอยู่ที่ไหน ..แล้วใครบ้างที่เต็มใจอยากมาอยู่
ขณะเดินเข้าเขตสู่สุสาน
เราทั้งคู่ต่างไม่ปริปากพูดอะไร อาจเป็นเพราะมนต์ขลังของสถานที่
หรืออาจมีเหตุผลอื่น.. จึงได้แต่เดินเคียงข้างกันไปอย่างเงียบเชียบ
ลมวูบหนึ่งหอบเอากลิ่นชื้นของดิน(ซึ่งน่าจะเป็นเพราะฝนเมื่อคืน) กลิ่นหญ้าสด
และเศษใบไม้แห้งโชยมาแตะจมูก ผมสูดเข้าไปเต็มปอด
รู้สึกดีกับอากาศบริสุทธิ์และความสุขสงบของที่นี่ไม่น้อย
ถ้าตายแล้วได้มาอยู่ในที่แบบนี้ ก็คงไม่เลวนัก..
ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“ถึงแล้ว..” เสียงคนข้างๆ เรียกผมออกจากภวังค์
ก้มมองตรงหน้าก็เห็นป้ายแผ่นหินขนาดเดียวกับอันอื่นๆ
ตั้งอยู่ อักษรสีดำซึ่งตัดกับสีขาวเทาของแผ่นหินสลักคำว่า ‘TIM J. NORTON’
วันเวลาตายถูกระบุไว้ว่าเป็นช่วงเดียวกันนี้ของสามปีที่แล้ว
“นี่..?”
“ทิมมี่.. เพื่อนผมเอง” คุณซอลแนะนำ
เขาก้มลงไปวางดอกลาเวนเดอร์ไว้บนแผ่นหินอย่างเบามือ
ก่อนกลับมายืนเคียงข้างผมตามเดิม
“ทิมมี่ชอบลาเวนเดอร์
เขาบอกว่ากลิ่นของมันทำให้รู้สึกผ่อนคลายคล้ายเวลาที่ได้ขี่มอเตอร์ไบค์..”
‘ทิม เจ. นอร์ตัน’ เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมของคุณซอล เขาเป็นนักแข่งมอร์เตอร์ไซค์ทางเรียบมือสมัครเล่น
เมื่อสามปีก่อนระหว่างที่เขาไปขี่รถเล่นแถวถนนเรียบฝั่งแม่น้ำเธมส์
รถของเขาเกิดอุบัติประสานงากับแท็กซี่ที่ขับสวนมา..
เสียชีวิตคาที่
“วันนั้นผมก็ไปกับเขาด้วย เขามาชวนผมที่บ้าน
เราขี่ออกไปพร้อมกัน แต่ผมตามหลังเขาอยู่นิดหน่อย พอออกนอกเขตชุมชนเขาก็เริ่มเร่งเครื่องจนทิ้งระยะห่างจากผมมากขึ้น
เขามักจะทำแบบนั้นเสมอ แต่ผมเองก็ชอบเวลาที่ได้มองตามแผ่นหลังของเขาเหมือนกัน.. ตอนถึงโค้งก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ
รถของเขาลับหายไปจากระยะมองเห็นของผม ผมรีบเร่งเครื่องตามเพราะไม่อยากให้คลาดสายตา
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นผมได้ยินเสียงปะทะดังสนั่น
ใจของผมกระตุกจนเกือบทำรถเสียหลัก พอตั้งสติได้ก็รีบบิดคันเร่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ในใจก็ภาวนาให้เสียงนั่นไม่ได้มาจากรถของเขา”
แต่พระเจ้าก็ไม่ได้รับฟังคำอ้อนวอนของคุณซอล..
“เหตุการณ์หลังจากนั้นผมก็จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่..”
“คุณคงเสียใจมาก” ผมนึกคำอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออก
“เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม”
“คุณรักเขา?” ผมหันมองเสี้ยวหน้าของคนที่ข้างๆ
“ผมหลงรักเขาข้างเดียว..” ดวงตาคู่สีน้ำเงินอมเทาเหม่อมองไปยังป้ายแผ่นหินเบื้องหน้า
สิ่งที่เขาเห็นคงไม่ใช่แค่แผ่นหิน แต่เป็นอดีตอันแสนไกล..
คุณซอลเจอกับทิมครั้งแรกเมื่อฤดูร้อนตอนอายุสิบสี่
เขาเพิ่งมาอยู่ลอนดอนได้ไม่นาน
ตอนนั้นต้องเขาเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อปรับพื้นฐานเตรียมสอบเข้าโรงเรียนของที่นี่
ทิมเองก็เพิ่งจะย้ายตามพ่อมาจากออสเตรเลีย
เลยต้องเข้าเรียนปรับพื้นฐานคลาสเดียวกับคุณซอล
และสภาพการณ์หลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน ทั้งเป็นเด็กต่างถิ่น พ่อแม่หย่าร้าง
เวลาที่พ่อ(แม่)ออกไปทำงานก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว ต้องรับผิดชอบตัวเอง
ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
มันก็เลยทำให้ทั้งคู่เข้าอกเข้าใจและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
“ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ทิมมี่สนใจเรื่องมอเตอร์ไบค์..
เขามีความรู้มากมายเกี่ยวกับมันอัดแน่นอยู่ในหัว และพูดถึงมันได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ
มีการแข่งขันเมื่อไหร่ก็ไม่เคยพลาดที่จะไปชมสักครั้ง พออายุครบที่จะทำใบขับขี่ได้
เขาก็ใช้เงินเก็บทั้งหมดที่สู้อุตส่าห์ไปทำงานพิเศษมาซื้อมอเตอร์ไบค์คันแรก ไทรอัม
โทรฟี่ 1200 ซีซี สีแดงสด
เขาซื้อต่อมาจากคนรู้จักอีกที แต่มันยังอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยม
ตอนเห็นครั้งแรกผมยังตกใจเลย รถบ้าอะไรใหญ่ชะมัด
มันออกจะดูเทอะทะเกินไปด้วยซ้ำสำหรับคนร่างเล็กอย่างเขา แต่เวลาที่เขาขึ้นขี่มันกลับดูเข้ากันอย่างน่าประหลาด
ตอนที่ทิมมี่ขับมันมาอวดผมถึงบ้าน ผมยังจำสีหน้าภาคภูมิใจของเขาได้อยู่เลย..”
ทั้งที่ไม่เคยมีความสนใจมาก่อน แม้จะที่ถูกเพื่อนพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน
แต่เมื่อได้ลองนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของทิมครั้งแรก ความรู้สึกเย็นสบายและอิสระเสรีท่ามกลางสายลมก็ทำให้คุณซอลนึกอยากจะขี่มันขึ้นมาบ้าง
“ผมขอให้เขาสอนขี่มอเตอร์ไบค์ ตอนนั้นทิมดีใจใหญ่
เขาว่าในที่สุดก็สามารถทำให้ผมสนใจในเรื่องเดียวกับเขาได้สำเร็จ เขาเต็มใจสอนผมอย่างกระตือรือร้นเลยล่ะ”
“แล้วคุณมีรถเป็นของตัวเองหรือเปล่า?”
“อือ” คุณซอลพยักหน้า “แต่ก็หลังจากนั้นหลายปีอยู่
ผมอยากจะรู้สึกถึงความภาคภูมิใจอย่างที่ทิมมี่ภูมิใจกับมอเตอร์ไบค์ของตัวเอง
เลยพยายามจะเก็บเงินซื้อด้วยตัวเองน่ะ ก็พอดีกับช่วงนั้นผมเริ่มเป็นนายแบบด้วย
หลังจากเก็บเล็กผสมน้อยอยู่พักใหญ่ก็ได้มอเตอร์ไบค์มาเป็นของตัวเองในที่สุด.. มันสนุกมากเวลาที่เราได้ออกไปขี่รถเล่นด้วยกัน”
ถึงทิมจะชอบขี่มอเตอร์ไซด์มาก
แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นนักแข่งมืออาชีพ เขารักความเร็ว
แต่ไม่อยากถูกกะเกณฑ์ด้วยเส้นชัย ดังนั้นจึงชอบที่จะขับรถเล่นไปเรื่อยๆ มากกว่า
ส่วนการแข่งขันนั้นมีบ้างนานๆ ครั้ง
“ทิมมี่อยากเป็นวิศวะกร
เขาอยากมีส่วนร่วมในการสร้างมอเตอร์ไบค์ที่เขารัก
หลังจบไฮสคูลเขาจึงตั้งหน้าตั้งตาสอบเข้ามหา’ลัยเพื่อไล่ตามฝันของตัวเอง ทั้งอิสระ แต่ก็หนักแน่น
ตรงนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมชอบเขา”
“แล้วเขารู้หรือเปล่า.. ว่าคุณรู้สึกยังไง?”
“อืม ดูเหมือนจะรู้ แต่ทำเป็นไม่สนใจ
ผมเคยพยายามจะบอกกับเขาหลายครั้ง แต่เจ้าตัวก็เลี่ยงที่จะฟังตลอด.. เขาคงอยากเป็นเพื่อนกับผมมากกว่า”
คุณซอลเว้นช่วง สายตาเหม่อมองออกไปยังทุ่งแผ่นหิน “ช่วงเวลาที่เป็นเพื่อนกัน
ผมเคยได้ว่าเขามีแฟนสาวหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ยินจากปากเจ้าตัวเองหรอก แล้วก็ไม่เคยพามาให้ผมเจอเลยสักครั้ง
ทิมมี่คงไม่อยากทำร้ายจิตใจผม เขาแคร์ผมมาก แต่ก็ไม่ใช่ในฐานะที่ผมอยากให้เป็น”
“แล้วคุณทำยังไงต่อ?”
“ก็..ทำอย่างที่เขาอยากให้ทำ.. เป็นเพื่อนกันต่อไป”
คุณซอลหันมายิ้มบางให้ผม คล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร “มันโอเค..
แม้จะมีช่วงเวลาที่อึดอัดทรมานบ้าง แต่ช่วงเวลาที่รู้สึกดีนั้นมีมากกว่า”
“ผม..เหมือนเขาคนนั้นมากเลยเหรอ?” ผมตัดสินใจถามในสิ่งที่สงสัยมาตลอด
“คุณหน้าเหมือนใครที่เรารู้จักหรือเปล่างั้นเหรอ? อืม..
มีหรือเปล่านะ เอลลี่? อ๊ะใช่! ฉันตงิดๆ ใจมาตั้งนานแล้วว่าหน้าตาคุณดูคุ้นๆ
เหมือนเคยเห็นที่ไหน.. คนนั้นไงเอลลี่ คนที่เมื่อก่อนชอบขี่มอเตอร์ไบค์คันใหญ่ๆ
มาจอดที่หน้าบ้านเราน่ะ”
“อ๋อ.. ใช่ๆ!
เพื่อนคุณซอลฟาใช่ไหม ฉันนึกออกแล้ว ชื่ออะไรน้า?
แต่เขาไม่ได้มาที่นี่นานหลายปีแล้วด้วยสิ สงสัยจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วมั้ง
เมื่อก่อนพวกเขาชอบออกไปขับรถเล่นกันบ่อยๆ น่ะ
แต่ตั้งแต่เขาเลิกมาที่นี่เราก็ไม่เห็นคุณซอลฟาออกไปขี่มอเตอร์ไบค์อีกเลย เอ..
ชื่ออะไรนะจีน?”
“อืม.. ฉันก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน” จีนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
เอลลี่ก็เช่นกัน “เราไม่เคยคุยกับเขาหรอก แต่ท่าทางเขาดูเป็นคนเฮฮาร่าเริงดีนะ
มาบ้านนี้ทีไรก็เห็นแต่เขาพูดจ้อไม่หยุด ส่วนคุณซอลฟาก็ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ นานๆ
ทีก็มียิ้มหรือพยักหน้าตอบบ้าง แต่ทั้งคู่ก็ดูเข้าขากันดี”
“แต่จะว่าเหมือนคุณก็ไม่เชิงหรอกนะ
แค่อะไรบางอย่างมันให้รู้สึกว่าคล้ายๆ น่ะ”
“ใช่ๆ ไม่เหมือนซะทีเดียวหรอก
แต่ถ้าเคยเจอผู้ชายคนนั้นแล้วมาเจอคุณก็คงอดรู้สึกไม่ได้ว่าคล้ายๆ กัน”
ดูเหมือนสองสาวจะไม่ค่อยรู้เรื่องของคุณซอลอย่างที่เคยบอกจริงๆ
ถึงไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นตายไปแล้ว ไม่ใช่แค่ย้ายที่อยู่อย่างที่เอลลี่สันนิษฐาน
“ตอนที่เล่าให้ซินฟังว่าเจอนาย จู่ๆ
หมอนั่นก็นึกสนุกอยากดูปฏิกิริยาของซอลลี่ขึ้นมา ก็เลยคะยั้นคะยอให้เราพากลับไปรับนาย..
เราเองก็ผิดด้วยแหล่ะที่ไม่คิดห้าม แถมยังเห็นดีเห็นงามไปด้วย
ไม่ทันคิดว่าจะดึงนายให้มาเจอเรื่องยุ่งยากใจ ตอนที่เห็นซอลลี่มีท่าทีสนใจนาย เราก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน..
โทษทีนะ”
จุดเริ่มต้นของผมแท้ที่จริงแล้วมันเริ่มมาจากการเล่นสนุกของแฝด
แต่ถ้าไม่ได้แฝดวันนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้จะเป็นยังไง
แม้พวกนั้นจะผิดที่คิดล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น
แต่ยังไงก็คงต้องขอบใจ..
คุณซอลเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
เขามองหน้าผมด้วยความประหลาดใจ แต่ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา
“คงไปได้ยินอะไรมาล่ะสิ?”
“นิดหน่อย” ผมตอบกว้างๆ
คุณซอลมองผมอย่างชั่งใจคู่ใหญ่
ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่หรอก.. นอกจากหัวโล้นๆ นี่แล้วก็แทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย”
คนพูดเอื้อมมือมาจับหัวผมโคลงไปมา “ทิมมี่ไม่เฉื่อยชาอย่างนายสักหน่อย”
“เหรอ..” ผมตอบออกไปอย่างไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ
แล้วเราก็ต่างคนต่างเงียบกันไปพักหนึ่ง..
“หลายวันมานี้ผมพยายามจะทบทวนความรู้สึกของตัวเอง”
คุณซอลเริ่มเปิดปากพูดอีกครั้ง ส่วนผมยืนฟังเงียบๆ
“ผมสนใจนายเพราะอะไร? จริงๆ
แล้วคนที่ผมคิดถึงคือทิมมี่หรือนายกันแน่? ผมอยากแน่ใจ เลยพยายามอยู่ห่างๆ จากนาย”
“.........” เพราะแบบนี้เองสินะ ช่วงหลังๆ
เขาถึงได้ทำตัวต่างจากเดิม
“คำถามของนายในวันนั้นทำให้ผมเริ่มฉุกคิด
เลยตั้งใจว่าจะเคารพการตัดสินใจของนาย ถ้านายไม่ยอมให้ผมยุ่งเกี่ยว
ผมก็จะไม่เข้าไปยุ่ง มันคงไม่ยากหากจะเลิกสนใจนาย
เพราะผมเองก็ไม่ได้คิดจริงจังตั้งแต่แรกอยู่แล้ว.. ก็แค่นึกสนุก ก็แค่ช่วงนี้ผมไม่มีใครให้สนใจเป็นพิเศษ..”
“.........” แม้จะพอเดาได้อยู่แล้ว
แต่พอมาได้ยินจากปากเขาจริงๆ มันก็อดหวั่นไหวไปกับคำพูดพวกนั้นไม่ได้
แต่ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรหรอก ยู..
อีกนิดเดียวมันก็จะจบแล้ว แค่นี้สบายมาก..
“แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดถนัด”
!!
“พอได้ถอยห่างจากนาย ก็เหมือนว่าผมจะมองเห็นอะไรชัดขึ้น..
นอกจากครั้งแรกแล้ว ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมนึกถึงทิมมี่อีกเลย ผมแทบจะลืมเขาไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมบอกตัวเองว่าแค่นึกสนุก แต่ก็หยุดมองตามนายไม่ได้..
ผมบอกตัวเองว่าเป็นเพราะช่วงนี้ผมไม่มีใครให้สนใจเป็นพิเศษ..
แต่ทุกเรื่องราวของนายกลับหมุนวนซ้ำไปซ้ำมาในหัวของผม..
ผมบอกว่าไม่ได้คิดจริงจัง..
แต่กลับรู้สึกหึงหวงทุกครั้งที่เห็นนายให้ความสนใจคนอื่นมากกว่า.. ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรไปแล้ว”
ผมเองก็คงบ้าเหมือนกัน
ที่รู้สึกลิงโลดใจกับคำพูดพวกนั้น
อืม บ้าไปแล้ว..
“เราคงบ้าพอกัน” ผมพึมพำเบาๆ
แต่เชื่อว่าเขาคงได้ยิน
เพราะรู้สึกได้ถึงร่างเกร็งนิ่งของคนข้างๆ ผมยกมือขึ้นไหว้ป้ายหลุมศพ
ก่อนหันหลังเดินจากมาเงียบๆ
ขอบคุณนะ ทิมมี่ ถ้าคุณไม่คล้ายผม
แฝดก็คงจะไม่พาผมมาเจอคุณซอล แล้วคุณซอลก็คงจะไม่นึกสนใจผมตั้งแต่แรก
ผมดีใจที่ได้รู้ว่าคุณเคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นะ...
เราทั้งคู่เดินออกมาจากสุดสานด้วยความเงียบเชียบ
เสียงย่ำเท้าของคุณซอลยังดังตามมาในจังหวะที่สม่ำเสมอ เขาไม่ได้เข้ามาใกล้
หรือปล่อยให้ผมทิ้งห่าง เพียงแค่เดินตามมาเรื่อยๆ เท่านั้น
จนกระทั่งผมถึงรถก่อน เขากดรีโมทปลดล็อคให้
ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งรอ ครู่เดียวเขาตามเข้ามา
บรรยากาศในรถยังคงความเงียบเชียบเอาไว้..
“ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองเป็นแค่เงาของใคร” ในที่สุดผมตัดสินใจพูดขึ้นก่อน
“แต่ตอนนี้ผมคิดว่าจะลองเชื่อใจคุณดูสักครั้ง”
“คิดดีแล้วใช่ไหม?” เขาถามกลับเสียงราบเรียบ “ผมเป็นเกย์นะ
ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่นายชอบ”
“อือ ลองเป็นเกย์ดูหน่อยก็คงไม่เสียหลาย.. สักครั้งในชีวิต”
ผมหันไปยักคิ้วให้เขา “ถ้าไม่ชอบใจค่อยกลับไปเป็นผู้ชายเหมือนเดิมก็ได้”
“งั้นก็คงเป็นที่หน้าของผมที่ต้องทำให้นายหลงจนหาทางกลับไม่เจอสินะ”
คุณซอลพูดยิ้มๆ
“ทำได้หรือเปล่าล่ะ?” คราวนี้ผมยักคิ้วให้เขาอีกสองทีซ้อน
“มาคอยดูกัน”
จากนั้นเราทั้งคู่จึงหัวเราะออกมา..
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น รถเริ่มเคลื่อนตัว
สุสานที่เห็นทางกระจกข้างค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตาในที่สุด
เสียงเพลงจากวิทยุเปลี่ยนเป็นเพลงใหม่ ของใครผมก็ไม่รู้จัก
รู้แค่ว่าเป็นเสียงผู้หญิงที่ฟังแผ่วเบา หงอยเหงา แสนเศร้า..
Flames to dust, Lovers to friends
Why do all good things come to an end...
“คุณยังมีมอเตอร์ไซด์อยู่หรือเปล่า?” เย็นวันเดียวกันนั้น
ผมเอ่ยถามคุณซอลซึ่งกำลังนั่นแปรงขนให้แสงดาวอยู่ในห้องนั่งเล่น
ผมตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปจนกว่าจะถึงเวลากลับเมืองไทย..
และดูเหมือนการตัดสินใจของผมจะทำให้หลายคนดีใจ พ่อบ้านจะยังมีคนสอนทำอาหารไทยต่อไปอีกสักพัก
สองเมดสาวก็จะมีเพื่อนเม้าท์และได้ชิมอาหารไทยอร่อยๆ ที่พวกเธอชื่นชอบต่อไปอีกสักพัก
ฟรานเชสก้าจะมีคนคอยแบ่งเบาภาระหน้าที่ ไม่ต้องมานั่งคิดเมนูอาหาร คำนวณปริมาณแคลอลี่ไปอีกสักพัก
ส่วนคุณซอลก็จะมีผมอยู่ข้างๆ ไปอีกสักพักเช่นกัน
แต่ผมขอย้ายไปนอนห้องรับรองแขกที่ฟรานเชสก้าเคยนอน
ด้วยเหตุผลสองข้อ ข้อแรก..เพราะแสงดาวกลับมาแล้ว, ส่วนข้อสอง..ก็เพราะแสงดาวกลับมาแล้วนั่นล่ะ ..อืม
ตามนั้น อย่าให้ต้องอธิบายเพิ่ม
ดูเหมือนเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้คุณซอลไม่ค่อยพอใจ
แต่จะค้านก็ไม่ได้ แสงดาวไม่ปลื้มขี้หน้าผม มันไม่ยอมนอนห้องเดียวกับผมแน่นอน
แต่จะให้มันไปนอนห้องอื่น
ทั้งที่รู้ว่าเจ้านายอยู่ในห้องที่มันเคยนอนประจำมันก็ไม่ยอมอีกเช่นกัน เผลอๆ
จะพาลไม่ยอมกินประท้วงเจ้านายด้วยซ้ำ(ได้ยินว่ามันเคยทำมาแล้ว)
เรื่องก็เลยง่ายขึ้น ผมได้แยกออกมานอนคนเดียวสมปรารถนา
“อืม
แต่ผมไม่ได้แตะมันอีกเลยหลังจากเกิดเรื่องคราวนั้น” คุณซอลเงยหน้าขึ้นมาตอบ “ทำไมเหรอ?”
“ลองขี่มันอีกครั้งไหม? ผมอยากซ้อนท้ายคุณ”
คุณซอลทำหน้าตกใจกับคำขอของผม
“แต่ผม..” เขาอึกอักลังเล
“พาผมซ้อนท้ายไปด้วยนะ” ผมพูดด้วยสายตาแน่วแน่
“.........” คุณซอลทำหน้าหนักใจ
แต่ราวยี่สิบนาทีต่อมาเขาก็อยู่ในชุดเตรียมพร้อม
รองเท้าหนัง กางเกงยีนส์เข้ารูป เสื้อเชิ้ตตัวบางที่สวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนังสีดำ
ถุงมือสำหรับขี่มอเตอร์ไซด์ ผมยาวสีบลอนด์ถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง.. เขากำลังยืนเหม่อพิงผนังโรงเก็บรถ
มือหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกมือคีบบุหรี่ ปากก็พ่นควันสีเทาขมุกขมัวออกมาเป็นระยะ ข้างกันนั้นมีบิ๊กไบค์สีดำเงาวับจอดนิ่งประดับฉาก
อย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสาร..
ผมเพิ่งรู้สึกว่าเขาช่างดูเท่ห์สมกับที่เป็นนายแบบก็วันนี้แหล่ะ
“คุณเครียดเหรอ?” ผมเดินเข้าไปใกล้พลางร้องถาม
เขาหันมาตามเสียงเหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์
“นิดหน่อย.. ผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
นายไม่กลัวเหรอ?” เขาดูเป็นกังวล แต่ก็กวาดตามองเครื่องแต่งกายของผม ก่อนพึมพำเบาๆ
“ไม่เลวนี่”
“ผมบอกแล้วไงว่าจะลองเชื่อใจคุณ” ผมยิ้มกว้างให้
คุณซอลหัวเราะลงคอ เขาดับบุหรี่ สาวเท้าเข้ามาใกล้
“งั้นขอพลังหน่อยสิ” เขาไม่ได้รอคำตอบ
แต่โฉบเข้ามาจูบผมเบาๆ แล้วผละออก
ทิ้งไว้เพียงกลิ่นเมนทอลของบุหรี่มาร์ลโบโร่อบอวลอยู่ใต้จมูกของผม..
คุณซอลเดินกลับไปหารถ
เขาหยิบหมวกกันน็อคแบบเต็มใบยื่นให้ผม ก่อนจะสวมอีกใบลงบนหัวตัวเอง
ผมเห็นข้างตัวรถเขียนว่า ‘DUCATI ST3’
ถึงจะใหญ่ แต่ก็สวยชะมัด
ดูคาติ งั้นเหรอ?
อืม ใช่ไอ้ที่เขาเรียกกันว่า ‘เฟอร์รารี่สองล้อ’ หรือเปล่านะ?
ท่าทางก็น่าจะแรงพอตัว
ไม่อยากจะคิดถึงราคามันเลยแฮะ
“มันขับได้ไม่มีปัญหาใช่หรือเปล่า?”
เห็นเขาบอกว่าไม่ได้แตะมันมาตั้งแต่เกิดเรื่อง
ก็แปลว่ามันไม่ถูกใช้งานมาร่วมสามปีแล้วสินะ จะยังวิ่งได้หรือเปล่า?
“อืม ดูเหมือนฮัดสันจะดูแลมันอย่างดี” คุณซอลตอบขณะหันมาช่วยผมใส่หมวกกันน็อค
หลังจากขึ้นไปวอร์มรถจนได้ที่
คุณซอลก็พยักหน้าให้ผมขึ้นไปซ้อน
ตอนแรกผมรู้สึกเกร็งเพราะไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ขนาดนี้
แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะเอามือไปจับตรงไหนด้วย ดูเหมือนคุณซอลจะมองออก
เขาเลยจับมือผมให้ไปกอดเอวเขาไว้ แต่ผมดึงมือกลับให้เหลือแค่เกาะเอวก็น่าจะพอ
จะให้กอดเลยมันก็ยังไงอยู่ แต่ตอนออกตัวคุณซอลกลับทำรถกระตุก
ผมเลยรีบกอดเอวเขาไว้ตามสัญชาตญาณ ได้ยินเขาหัวเราะลงคอก็รู้เลยว่าตั้งใจทำแน่ๆ
ถึงจะน่าเจ็บใจนิดหน่อย แต่ไหนๆ ก็กอดไปแล้ว ก็เลยตามเลยแล้วกัน
ตอนนั้นผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าแผ่นหลังของเขาก็ดูกว้างขวางไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คือผู้ชายคนหนึ่งสินะ
ระหว่างที่ขับออกมาจนเริ่มห่างไกลจากเขตชุมชน ผมเปิดช่องหมวกกันน็อคออกเล็กน้อย
สายลมเย็นสบายพัดมาปะทะใบหน้า ให้ความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมหลับตาลงซึมซับความรู้สึกแสนสบายนี้เอาไว้
จู่ๆ
เพลงที่ได้ฟังตอนนั่งรถกลับจากสุสานก็ผุดขึ้นมาในหัว..
Flames to dust, Lovers to friends
Why do all good things come to an end..
อีกไม่นาน..
ฤดูร้อนที่ดีที่สุดของผมก็ต้องจบลงเหมือนกัน
แต่ผมตัดสินใจว่าจะลืมเรื่องนั้นไปก่อน...
TBC.