hi AURORA
Chapter 2
“..หรือเปล่า?”
“หือ? ครับ?” ผมที่เพิ่งหลุดจากภวังค์หันไปมองคนข้างตัวซึ่งกำลังบังคับพวงมาลัยรถอยู่ด้วยความงงงวย
“คุณว่าไงนะ? ผมไม่ทันฟัง”
“ผมถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า? เห็นท่าทางเหม่อๆ ตั้งแต่อยู่ในงานแล้ว”
ตอนนี้เราอยู่ในรถสปอร์ตสีเหลืองอ๋อยของคุณซอล
บนถนนสแตรนด์ กำลังมุ่งหน้าไปเซลซีอันเป็นที่ตั้งของบ้านแอนเดอร์สัน
แน่นอนว่างานแฟชั่นโชว์ได้จบลงไปแล้ว..
“อือ ก็..ไม่รู้สิ ผมคง..เมากลิ่นน้ำหอมของคนในงาน..มั้ง”
ผมตอบส่งเดช
เพราะความจริงแล้วผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
ตั้งแต่ได้เห็นคุณซอลฟาเดินบนแคทวอล์ค...มันก็..
ไม่รู้สิ เหมือนภาพนั้นมันยังติดอยู่ในหัว
สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ..ทำไมนะ?
แถมตอนนั้นผมยังรู้สึก...แปลกๆ ด้วย
“งั้นเหรอ..” ดูท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่ได้ติดใจจะสาวความต่อ
“แล้วตกลงเย็นนี้เอาไง? จะไปหรือเปล่า?”
“ไปไหน?” ผมหันไปมองคนข้างตัวตาปริบๆ
“ไม่ได้ฟังกันเลยสินะ” คุณซอลถอนหายใจยาว “เย็นนี้จะมีอาฟเตอร์ปาร์ตี้ของวาเลนติโน
ผมเลยถามว่านายจะไปด้วยกันหรือเปล่า?”
“อาฟเตอร์ปาร์ตี้?”
“ก็เป็นปาร์ตี้ฉลองที่งานสำเร็จลงด้วยดีนั่นล่ะ แต่จะเชิญเฉพาะพวกคนที่สนิทคุ้นเคยกับวาเลนติโน
โมเดล แล้วก็เซเลปฯบางคน ..นายสนใจไหม?”
“งั้นเหรอ..” ผมเสียเวลาคิดนิดหน่อยก่อนตอบ “ไม่ล่ะ
ผมไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องสักหน่อย จะให้ทะเล่อทะล่าเข้าไปได้ยังไง แค่วันนี้ผมก็รู้สึกผิดที่ผิดทางจะแย่แล้ว”
“ผิดที่ผิดทาง?” คุณซอลเลิกคิ้วทั้งที่ตายังจับจ้องถนนเบื้องหน้า
“นายรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น..แบบนั้นใช่ไหม?”
“ใช่” ผมพยักหน้า
ได้ยินเสียงอีกคนระบายลมหายใจออกมา
“รู้อะไรไหม คุณหัวลูกชิ้น..”
“ผมชื่อ ยู”
“วงการแฟชั่นคือวงการแห่งความแตกต่าง
ยิ่งต่างมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งโดดเด่นและถูกสังเกตเห็นได้ง่ายมากเท่านั้น.. ถ้าวันนี้นายรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก
ไม่เหมือนใคร นั่นก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้วนะ”
“นั่นเป็นตรรกะของคนในวงการแฟชั่น หรือตรรกะของคุณคนเดียวกันล่ะนั่น?”
ผมไม่เห็นจะเข้าใจ
แล้วอย่างผมนี่จะเด่นไปเพื่ออะไร?
ผมไม่ได้อยากดังสักหน่อย
คุณซอลไม่ได้สนใจคำถามของผม
เขายังพูดต่อไปเรื่อยๆ “บางที.. ในกลุ่มที่มีแต่คนแข่งกันเด่น
คนที่ดูธรรมดาที่สุดอย่างนาย ก็อาจจะกลายเป็นคนที่เด่นที่สุดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้”
“ผม?” ผมชี้หน้าตัวเอง
คุณซอลหันมามองแว้บนึง แล้วหันกลับไปทางเดิม
“นายอาจจะไม่รู้ตัว
แต่วันนี้นายเป็นจุดสนใจของทุกคนตอนที่นั่งอยู่หลังเวทีเลยนะ”
“ไม่ใช่ว่าเขาสนใจเพราะเห็นผมมากับคุณหรอกเรอะ?”
ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่แอบมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
หรืออะไรก็ตามแต่
แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเพราะคุณซอล
มากกว่าจะเป็นเพราะตัวผมเอง ก็เลยได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้
นั่งมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย
“ตัวผมก็อาจจะมีส่วน.. แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก” เขาละสายตาจากถนน
หันมามองผมยิ้มๆ “เชื่อสิ”
“ตกลงวันนี้คุณพาผมมาทำอะไรกันแน่เนี่ย?”
ผมถามเสียงงึมงำ
จริงๆ คือแค่รำพึงกับตัวเอง
แต่ทางนั้นดันหูดีเสียอีก
“พามาเปิดตัวล่ะมั้ง” เขาหันมายกยิ้มยั่ว
เลยถูกผมเบะปากใส่
“ทำไมไม่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลยล่ะ?
ผมขี้เกียจตอบคำถามสื่อหลายรอบ”
“เข้าใจพูด..” แล้วเขาก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
พอกลับมาถึงบ้าน..
ขึ้นมาบนห้องก็เจอนางสาวจีนกำลังเตรียมน้ำอุ่นใส่อ่างให้คุณชายซอลฟาพอดีเลย
ดูเหมือนเขาจะโทรมาบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะกลับมาอาบน้ำสระผมที่บ้าน
แน่นอนว่าวันนี้ผมก็ต้องช่วยเขาสระผมตามระเบียบ
“วันนี้น้ำใส..” ผมยืนจ้องมองน้ำในอ่างอย่างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยถึงปานกลาง
เมื่อเห็นว่าน้ำมันไม่ใช่สีขุ่นเหมือนคราวแรกที่ผมเข้ามาช่วยอาบให้เขา
แต่วันนี้มัน..ใสจ๋องมองเห็นตัวปลาเลย(?)
“ผมไม่ได้แช่น้ำนมทุกวันนี่นะ” คุณซอลในชุดคลุมอาบน้ำมองมาเหมือนจะเข้าใจว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“ที่จริงแล้วนายน่าจะดีใจ
ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะได้เห็นเรือนร่างอันงดงามของผมได้เต็มตาแบบนี้”
“เรือนร่างอันงดงาม?” ผมทำหน้าประหนึ่งคนท้องผูกมาครึ่งเดือน
เขากล้าพูดออกมาได้ยังไง? เรือนร่างอันงดงาม..?
เขาพูดถึงตัวเองแบบนั้น??
ผมสงสัยว่าจะสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่กล้าพูดแบบเขา?
“.........” มัวแต่ปล่อยความคิดล่องลอยไปไกลถึงยอดเขาสูงในทิเบต
กว่าจะถึงสติกลับมาได้ สายตาก็กำลังจับจ้องอยู่ที่ก้นขาวๆ ของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
คุณซอลถอดเสื้อคลุมพาดไว้ แล้วค่อยๆ
ก้าวลงอ่างอย่างระมัดระวัง
“จ้องกันขนาดนั้น..
ไม่คิดว่าผมจะเขินบ้างหรือไง?” คนที่ลงไปนั่งในอ่างเรียบร้อยแล้วเหลียวมาถามยิ้มๆ
ด้วยแววตาล้อเลียน
ท่าทางดูเหมือนคนขี้เขินมากเลยนะ เขาน่ะ
“ผมไม่คิดว่าคำคำนั้นจะมีบัญญัติไว้ในพจนานุกรมส่วนตัวของคุณหรอก”
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านพลางเดินมานั่งประจำตำแหน่ง
พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วเพ่งสมาธิไปที่ผมสีบลอนด์เพียงจุดเดียว
“จีนเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อก่อนคุณเคยไว้ผมสั้น..”
ผมพยายามหาอะไรขึ้นมาพูด ไม่ใช่เพื่อดึงความสนใจของเขา แต่ต้องการดึงความสนใจของตัวเองมากกว่า..
จู่ๆ ภาพบนแคทวอล์คก็ผุดขึ้นมา
แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอีก..
“ทำนองนั้น” คนตอบกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงขอบอ่าง
หลับตาพริ้ม
“แล้วอะไรดลใจให้คุณหันมาไว้ผมยาวล่ะ?”
“อนาคตล่ะมั้ง..
ผมอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพที่ตัวเองรัก เลยพยายามมองหาจุดเด่นให้ตัวเอง
แล้วก็ได้ค้นพบว่า ‘ความสวยงาม’ นี่แหล่ะ คือพรสวรรค์ของผม”
“คุณใช้เวลาตั้งสี่ปี.. เท่าที่ผมฟังมาน่ะ”
“อืม ผมเสียเวลาลองผิดลองถูก.. แล้วช่วงแรกๆ
ก็ไม่ได้จริงจังนัก เพราะผมยังเรียนหนังสืออยู่”
“ตอนนี้คุณเรียนจบแล้วเหรอ?”
“ผมจบไฮสคูลแล้วออกมาทำงานเต็มตัวเลย.. เพราะไม่คิดว่าความรู้ในมหาวิทยาลัยจะมีประโยชน์อะไรต่อผมมากนัก
ก็เลยทุ่มมาทางนี้เต็มที่ ครอบครัวผมก็สนับสนุนด้วย”
“ดีจังเลยนะ..” ผมหลุดรำพึงกับตัวเอง
แต่ก็เหมือนเดิม คนหูดีอย่างเขาย่อมได้ยิน
“หือ?” เขาลืมตาขึ้นข้างหนึ่งพร้อมเลิกคิ้วสูง
“คุณรู้ว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการแบบไหน
แล้วคุณก็พุ่งตรงไปทางนั้นอย่างคนมีเป้าหมาย.. ในขณะที่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการอะไร
มีเป้าหมายแบบไหน ก็เลยได้แต่ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยไปวันๆ
..ผมถึงได้พูดว่าดีจังเลยนะ คุณน่ะ”
“นายเข้าเรียนมหา’ลัย..”
“คณะวิทยาศาสตร์”
“ทำไมถึงเลือกคณะวิทยาศาสตร์?”
“เพราะผมไม่รู้จะเลือกคณะอะไร”
คราวนี้เขาลืมทั้งสองตาขึ้นมองหน้าผม
“ผมจบ ม.ปลาย สายวิทย์-คณิตมา
ก็เลยคิดว่าน่าจะเลือกคณะที่เกี่ยวกับวิทย์และน่าจะสอบติด ..ก็เท่านั้นล่ะ อันที่จริงผมเลือกคณะที่สูงกว่านี้ไว้อีกสองอันดับ
แต่ไม่ติด.. ก็เลยต้องมาติดแหง็กอยู่ที่คณะนี้ไง”
“แล้ว..ทำไมตอนแรกถึงเลือกเรียน ม.ปลาย
สายวิทย์?” คุณซอลถามด้วยสีหน้าไม่แน่ใจนัก
คงไม่แน่ใจว่าจะได้คำตอบที่เข้าท่านัก..
ซึ่งผมก็คิดงั้น
“ตอน ม.ต้น ผมเรียนได้เกรดอยู่ในเกณฑ์ดี
พอเห็นเพื่อนส่วนใหญ่เลือกต่อ ม.ปลาย สายวิทย์ ผมเลยคิดว่าตัวเองน่าจะพอเรียนได้
ก็เลยเลือกบ้าง..”
“แค่นั้น?” เขากระพริบตาปริบๆ
“แค่นั้นแหล่ะ” ผมพยักหน้าพลางล้างฟองแชมพูออกจากหัวเขา
“เฮ้ออออ..” ไม่ต้องมีคำบรรยายความรู้สึก
แค่เสียงถอนหายใจยาวเหยียดราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุดของเขา
ก็ทำให้ผมนึกสะท้อนใจกับความเรื่อยเปื่อยของตัวเองแล้ว
“พอเถอะ..” ผมบอกให้เขาหยุดลากลมหายใจสักที
ยิ่งได้ยินแล้วยิ่งหดหู่ชอบกล..
“ฮ่ะๆๆ” แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาจนผมตามอารมณ์ไม่ทัน
“...?...”
“แต่นายก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือไง?”
เขาถามแบบนั้นทั้งที่ยิ้มเต็มหน้า
มีความสุขดีงั้นเหรอ?
จะว่าไปมันก็ใช่ล่ะนะ
ปกติผมก็ไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรกับใครเขาอยู่แล้ว ก็แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เฉื่อยๆ
เฉิ่มๆ
แล้วแต่สภาพอารมณ์และสภาพอากาศ ณ ขณะนั้น
“งั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง?” คุณซอลพูดต่อ เขายิ้มจนตาหยี
“ถ้าเป้าหมายมันไม่ได้ทำให้นายมีความสุข ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีเลยนี่นา
..เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”
“.........” แบบนี้...ดีแล้วงั้นเหรอ?
“อะไร?” คนในอ่างเลิกยิ้ม
แล้วเปลี่ยนมาย่นคิ้วแทนเมื่อเห็นผมเอาแต่จ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
“เปล่า.. ผมแค่คิดว่าคุณมีวิธีมองโลกที่ดีจัง” ผมตอบออกไปตามตรง
แล้วเขาก็ส่งยิ้มยั่ว(โมโห)กลับมา
“เริ่มตกหลุมรักผมแล้วล่ะสิ?”
“ฝันกลางวันหรือไง?” ผมเอื้อมมือไปหยิบทรีทเม้นต์มาละเลงหัวเขาต่อ
“จะโดดลงไปดีๆ หรือจะให้ผมจับมัดแล้วโยนลงไป?” เขาหลี่ตาถามผม
“อะไร?” แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจ
“หลุมรักผมไง?”
“ต่อให้คุณถีบผมลงไป ผมก็จะตะเกียกตะตายกลับขึ้นมาจนได้แหล่ะ”
ผมแค่นเสียงขึ้นจมูก “นอกจากว่าคุณจะเอาแบ็คโฮมากลบปิดหลุมซะเลย”
“ฟังดูน่าสนใจ..” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก จนกระทั่งเสร็จพิธีกรรม..
ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรอเขาหรือเปล่า?
แต่ในเมื่อเขาเป็นเจ้านาย(คนจ่ายตังค์จ้าง)
เขายังไม่กลับมานอน.. มันคงดูไม่ค่อยเหมาะหากผมจะหลับฝันดีล่วงหน้าเขาไปก่อน
อีกอย่างเราก็ใช้ห้องเดียวกันด้วยนี่นะ
แต่ปัญหาคือ.. เขาจะกลับมาหรือเปล่าล่ะ?
เขาออกจากบ้านตอนราวๆ สามทุ่ม
โดยไม่ได้สั่งอะไรไว้เป็นพิเศษ ส่วนตัวผมเองก็ลืมถามไปเสียสนิทใจ
ตอนนี้ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี?
“.........” ผมเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง พบว่าอีกห้านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว
กว่าปาร์ตี้จะเลิกก็น่าจะอีกหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ..
เขาจะไปต่อที่ไหนกับใครหรือเปล่านะ?
“.........” แต่ถ้าจะไม่กลับมาก็ไม่แปลกหรอก..
ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่า ‘ขาดเซ็กส์’
นี่นะ ถ้าจะใช้โอกาสนี้ตามสิ่งที่ขาดหายไปกลับคืนมาก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่.. ผมควรจะอยู่รอหรือเปล่าล่ะ?
“ฮ้าวววว” ผมเปิดปากหาวตามคำอุทรของร่างกาย เริ่มรู้สึกถึงหนังตาที่มีน้ำหนักมากขึ้นทุกขณะ
คิดว่าถ้ายังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงแบบนี้คงได้หลับคาแม็คบุ๊คนี่ล่ะ
ก็เลยตัดสินใจปิดมันแล้วลงจากเตียงมายืนบิดขี้เกียจอยู่พักหนึ่ง
ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างเผื่อว่าจะมีอะไรให้ทำ..
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
ผมเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องทำงานของลุงพ่อบ้าน(อยู่ถัดจากห้องครัว)
เพราะเห็นว่าไฟยังเปิดอยู่ก็เลยเดินมาดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า
ห้องส่วนใหญ่ในบ้านหลังนี้ปิดไฟเงียบไปหมดแล้ว
เหลือเพียงไฟตามทางเดินและในสวนเท่านั้นที่ยังสว่างอยู่
“อ้าว.. คุณยูริ?” ลุงฮัดสันที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่เหนือสมุดเล่มหนึ่งเงยขึ้นมามองผมอย่างประหลาดใจ
“ผมกำลังทำสรุปบัญชีรายจ่ายของเดือนที่ผ่านมาน่ะ ..คุณยังไม่นอนหรือครับ?
มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?”
“ผมก็ว่าจะมาถามแบบนั้นกับคุณพ่อบ้านอยู่เหมือนกัน
พอดีผมกำลังรอคุณซอลฟาน่ะ แต่ถ้ารออยู่บนห้องผมต้องหลับก่อนเขากลับมาแน่ๆ
เลยลงมาดูข้างล่างเผื่อว่าคุณจะมีอะไรให้ผมช่วย”
“อืม ไม่มีหรอกครับ นี่มันเวลาพักผ่อนแล้ว” ลุงพ่อบ้านยิ้มอย่างมีเมตตา
“คุณซอลฟาบอกเอาไว้หรือเปล่าว่าเขาจะกลับมาตอนไหน?”
ผมส่ายหัวแทนคำตอบ
“งั้นผมว่าคุณกลับขึ้นไปนอนเถอะครับ
ส่วนใหญ่ถ้าไม่บอกเอาไว้ว่าจะกลับดึก เขาก็จะกลับมาตอนเช้าทีเดียวเลยน่ะ”
“งั้นเหรอ..” ผมพยักหน้ารับรู้
คุยกับพ่อบ้านอีกสองสามคำก็ขอตัวกลับ
แต่เดินออกมาได้แค่ไม่กี่ก้าวเสียงโทรศัพท์ในห้องพ่อบ้านก็ดังขึ้น
แค่กริ๊งเดียวก็เงียบไป
ถัดจากนั้นอีกไม่เกินอึดใจลุงพ่อบ้านก็เดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเอง
พอเห็นว่าผมยังยืนอยู่แถวนั้นลุงแกก็พยักหน้าให้เล็กน้อยคล้ายกับจะขอตัวแล้วเดินแซงออกไปทางหน้าบ้าน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมก็เลยยังรีๆ รอๆ
อยู่แถวหน้าบันได ไม่รีบร้อนเดินกลับขึ้นไปชั้นบน
เลยได้ยินเสียงรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน เสียงคนคุยตอบโต้กันสองสามคำ ก่อนที่คนหนึ่งในนั้นจะเดินเข้าบ้านมา
ซันชายน์นั่นเอง..
จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ได้เห็นหน้าหมอนี่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่นา
จำได้ว่าเจอครั้งสุดท้ายคือตอนมื้อเที่ยงของเมื่อวาน จากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย ส่วนพี่ชายฝาแฝดของหมอนั่นยิ่งแล้วใหญ่
เพราะผมเห็นมันครั้งสุดท้ายตั้งแต่มื้อเช้าของเมื่อวานแล้ว
ซันชายน์ชะงักเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นผมยืนอยู่บนบันไดขั้นแรก
วันนี้หมอนั่นแต่งตัวด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกับทุกที
แต่ที่ทำให้รู้สึกว่าแปลกตาไปก็คงจะเป็นเคสใส่กีตาร์ที่สะพายอยู่บนบ่านั่นล่ะ
“ยังไม่นอนอีกเหรอ?” หมอนั่นถามผมโดยไม่ได้หยุดเดิน
“อือ รอพี่ชายนายนั่นแหล่ะ” ผมตอบพลางก้าวตามขึ้นบันได
“ซิน..ไม่..ซอลลี่นี่หว่า”
อีกฝ่ายพึมพำคล้ายพูดคนเดียว “อาฟเตอร์ปาร์ตี้อีกล่ะสิ”
“อือ นายไปเล่นดนตรีมาเหรอ?” ผมถามด้วยความสนใจ “เป็นนักดนตรีหรอกเหรอ?”
“แค่ทำเป็นงานอดิเรกน่ะ” ซันเหลือบมองเคสกีตาร์บนบ่าของตัวเองก่อนพูดต่อ
“แต่กีตาร์นี่ของซิน เรามีหน้าที่ร้องอย่างเดียว”
“แล้วซินไปไหนล่ะ? ไม่เห็นกลับมาพร้อมกัน?”
“พวกสาวๆ ชวนไปต่อน่ะ พอดีเราเหนื่อยๆ
ก็เลยกลับมาก่อน ..แล้วซอลลี่จะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ?”
“ไม่รู้ ไม่ได้บอกไว้”
“ถ้าไม่ได้บอกไว้ก็ไม่ต้องรอหรอก
หมอนั่นคงกลับเช้าโน่นล่ะ” ซันพูดเหมือนที่พ่อบ้านพูดเป๊ะ
หมอนั่นเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูห้องตัวเองซึ่งอยู่ก่อนถึงห้องคุณซอลสองห้อง
หันมายิ้มให้ผมนิดนึง ก่อนเปิดเข้าไป
“ราตรีสวัสดิ์” แล้วหมอนั่นก็ปิดประตูห้องตัวเองทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ตอบอะไรสักคำ
อะไรกัน? คนเขาอยากคุยด้วยสักหน่อย
ยังไม่ทันถามเลยว่าไปเล่นดนตรีแถวไหน? ..อืม ไม่คิดว่าแฝดจะมีงานอดิเรกเป็นนักดนตรีนะเนี่ย
เท่ห์ชะมัดเลยแฮะ ว่าแต่เล่นเพลงแนวไหนกันนะ? ถ้าดูจากการแต่งตัวของซันชายน์ก็น่าจะเป็นแนวร็อค
แต่ถ้าดูซินเซียร์ก็ต้องเป็นแนวฮิพฮอพ แต่ใช้กีตาร์โปร่งก็น่าจะเป็น อะคูสติคหรือเปล่า? ..อะคูสติคร็อค
..อะคูสติคฮิพฮอพ..?..เอิ่ม..อันหลังนี้ไม่น่าจะมีนะ หรือจะเป็นอะคูสติคป๊อป..แจ๊ส
ฮื่อ ไว้ค่อยถามวันหลังแล้วกัน
แต่ท่าทางมันไม่ค่อยอยากจะคุยกับผมเท่าไหร่เลยแฮะ
หรือจะแค่เหนื่อยอย่างที่บอก? ..หรือจริงๆ
แล้วหน้าตาผมมันไม่น่าคบ? ปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ? ...อืม เอาไงดี?
เอาของกินมาล่อจะได้เรื่องไหมเนี่ย?
อ่า นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่?
ลอนดอนมันหาเพื่อนยากขนาดนั้นเลยเรอะ?
แต่ก็นะ อายุเท่ากันแท้ๆ น่าจะผูกมิตรกันเอาไว้..
“เฮ้อ~”
ถอนหายใจได้ยังไม่ทันสุดปอดก็มีเสียงรถอีกคันแล่นมาจอดหน้าบ้าน
“หือ?”
คราวนี้ผมคิดว่าอาจจะเป็นคุณซอล
ก็เลยตัดสินใจเดินลงบันไดกลับลงมาชั้นล่างอีกรอบ.. แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิด
คุณซอลเดินเซนิดๆ เข้ามา
“คุณหัวลูกชิ้น~” เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าผม
“ผมชื่อ ยู” ผมรีบเข้าไปจับเขาเอาไว้ ด้วยกลัวว่าจะล้มหัวฟาดพื้นพิกลพิการก่อนวัยอันควร
“คุณกลับมายังไงเนี่ย? คงไม่ได้ขับรถมาเองทั้งสภาพแบบนี้หรอกนะ?”
เขายกมือห้ามเป็นเชิงว่าไม่ต้องพยุง
เขายังเดินเองได้.. แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ
ใครอีกคนที่เดินตามเขามาก็ส่งเสียงร้องทักผมก่อน
“ไง ยูริ”
หันมองตามเสียงก็เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่
ผิวสีแทนคมเข้ม ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี และมีขนหน้าอก..เอ่อ..คือเขาใส่เสื้อเชิ้ต
แต่ปลดกระดุมลงมาตั้งสามเม็ดแน่ะ ต่อให้ไม่ตั้งใจมอง ขนมันก็แย่งกันแยงลูกตาอยู่ดี
..จริงๆ นะ
“เด็ฟป์..” ผมเอ่ยชื่อผู้ชายที่เพิ่งเจอกันเมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา
“ดีใจจังที่จำกันได้” เขายิ้มจนเห็นฟันขาวครบทุกซี่
แล้วชี้นิ้วโป้งไปทางคนผมสีบลอนด์ที่ยืนทำหน้ามึนๆ อยู่ “พอดีหมอนี่ดื่มหนักไปหน่อย
ก็เลยต้องลำบากให้ฉันขับรถมาส่งอย่างที่เห็น”
“ก็บอกแล้วว่าถ้าลำบากนักก็ไม่ต้องมา”
คุณซอลพูดด้วยท่าทางเอาแต่ใจอย่างที่ผมเพิ่งจะเคยเห็น
“.........” อืม สีหน้าแบบนี้ก็ทำเป็นด้วยแฮะ
“โอ้ มาย สวีท ซอล
นายพูดแบบนี้กับชายผู้ใจดีที่สุดในลอนดอนได้ยังไง?” เด็ฟป์หยอกล้อกลับอย่างคนอารมณ์ดี
มาย สวีท ซอล...?
คุณซอลเบ้ปากไม่เห็นด้วย “คืนนี้นายเอารถผมกลับไปแล้วกัน”
“ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจเอามาคืน
เดี๋ยวฉันไปแท็กซี่ดีกว่า ให้พ่อบ้านนายโทรตามให้แล้ว” เด็ฟป์ส่ายหน้าพลางยื่นกุญแจรถคืนให้เจ้าของ
จังหวะนั้นลุงพ่อบ้านก็เดินมาบอกว่าแท็กซี่มาแล้วพอดี
“งั้นฉันไปล่ะ ป่านนี้สาวๆ
ในปาร์ตี้รอพี่เด็ฟป์กันแย่แล้ว ..แล้วเจอกันใหม่นะ ยูริ”
ผมโบกมือบ๊ายบายตอบ
แล้วผู้ชายคนนั้นก็ผลุบหายออกไปจากประตูบ้าน
พ่อบ้านเดินมารับกุญแจรถจากคุณซอลเพื่อเอารถไปไว้ยังที่เก็บ
“ผมนึกว่าคืนนี้คุณจะไม่กลับมาซะแล้ว” ผมพูดขณะเดินตามเขาขึ้นบันได
เห็นเขาโงนไปเงนมาเลยอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับ แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าเดินเองได้ก็เถอะ
“ระวังหน่อยสิคุณ ..ท่าทางจะดื่มมาเยอะเลยล่ะสิ”
“อืม เดี๋ยวคนนั้นยื่นให้คนนี้ยื่นให้ เลยจำไม่ได้ว่าดื่มไปกี่แก้ว”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งกว่าว่าปกติ สันนิษฐานว่าอาจจะมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“นายรอผมอยู่เหรอ?”
“อือ แต่ว่าจะไปนอนแล้ว
เพราะคิดว่าคุณคงจะไม่กลับ.. ปกติเป็นแบบนี้บ่อยเหรอ? ที่ดื่มเยอะแบบนี้น่ะ?”
“ก็..ไม่บ่อยเท่าไหร่ แต่วันนี้ผมอารมณ์ดีไปหน่อย
ก็เลยไม่ได้ปฏิเสธคนที่ยื่นมาให้” เขาหันมายิ้มกว้างบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดีจริงๆ “ทำไมนายถึงคิดว่าผมจะไม่กลับมาล่ะ?”
“เพราะคุณไม่ได้บอกว่าจะกลับ..
คุณพ่อบ้านบอกผมว่าถ้าคุณไม่ได้บอกว่าจะกลับดึก นั่นแปลว่าคุณจะกลับเช้า ซันชายน์ก็ว่าแบบนั้น”
“งั้นเหรอ..” เขาทำหน้านึก “ก็จริงล่ะนะ แต่นายก็ยังอุตส่าห์อยู่รอจนถึงตอนนี้?”
“เพราะผมไม่รู้หรอก ไม่งั้นนอนไปตั้งแต่สองทุ่มแล้ว”
ผมเดินตามเขาเข้ามาในห้อง แล้วหันไปปิดประตู
พอหันมาอีกทีก็แทบผงะเมื่อเจอใบหน้าสวยๆ
ของเขาในระยะประชิด
“แหม จะตอบว่า ‘ใช่’ ให้ดีใจหน่อยก็ไม่ได้” คุณซอลยังยิ้มอยู่
เขาเท้ามือกับประตู ใกล้หูทั้งสองข้างของผม
ตอนนี้ผมเลยขยับตัวไปไหนไม่ได้โดยปริยาย
“รู้ไหมว่าทำไมวันนี้ผมถึงอารมณ์ดี?”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง..” ผมตอบพลางมองติ่งหูของเขา
แทนที่จะเป็นตาของเขา.. ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน
แต่ประกายบางอย่างในแววตาสีน้ำเงินอมเทาของเขามันทำให้ผมชักไม่แน่ใจ..
ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะไม่หวั่นไหวหากเผลอมองสบไปตรงๆ
“ไม่รู้หรอกเหรอ?” เขาลากเสียงเหมือนกำลังคุยเล่นอยู่กับเด็กเล็ก
ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์และกลิ่นบุหรี่จากลมหายใจของเขา
แต่นอกเหนือจากนั้น ผมยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของบางอย่างจากตัวเขาด้วย
อะไรกันนะ น้ำหอมงั้นเหรอ?
“งั้นเอาใหม่ ถามใหม่..
นายรู้ไหมว่าทำไมวันนี้ผมถึงกลับมา? ทั้งที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะกลับ
มีตั้งหลายคนที่เอ่ยปากขอร้องให้ผมไปต่อกับเขา ..แต่ผมปฏิเสธทั้งหมด”
“ผมจะไปรู้กับคุณได้ยังไง” ผมยังยืนยันคำตอบเดิม
“ไม่รู้จริงๆ เหรอ?” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก
กลิ่นบุหรี่กลิ่นเหล้าเลยยิ่งชัดขึ้นอีก ..รวมทั้งกลิ่นหอมปริศนานั่นด้วย
“คุณสูบบุหรี่ด้วยเหรอ?”
“บางครั้ง.. อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ” เขาไม่ยอมหลงกลผมง่ายๆ
“.........” ผมเลยต้องปิดปากเงียบ
เพราะเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ตัวเองทำพลาดไป พอเห็นว่าผมไม่ยอมพูด
เขาก็เลยดึงมือข้างที่ถือไอโฟนกลับไปเลื่อนยิกๆ ครู่เดียวก็หันหน้าจอมาให้ผมดู
“หนึ่งมิสคอล กับเจ้านี่..”
…คืนนี้กลับกี่โมงครับ…
ถัดจากข้อความแรกยังมีอีกหนึ่งข้อความ..
แน่นอนว่ามาจากเบอร์เดียวกัน
…ผมง่วงแล้วนะ
คุณจะกลับมาหรือเปล่า???...
“หึหึ” เสียงเจ้าของโทรศัพท์หัวเราะอย่างผู้ชนะ
ในขณะที่เจ้าของข้อความอย่างผมอยากจะแทรกตัวหนีไปทางรูกุญแจ
ไม่น่าเลย ไอ้ยู ..ไม่น่าเลย
ต้องเป็นเพราะตอนนั้นง่วงมากแน่ๆ สติสตังไม่เต็มร้อย ถึงได้พิมพ์ข้อความพิลึกๆ
นั่นส่งไปน่ะ
ให้ตายสิ.. ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่ทำแบบนั้นจริงๆ
สาบาน ..ไม่สิ ผมไม่น่ารับไอโฟนมาจากเขาตั้งแต่แรกเลยต่างหาก
พอมีแล้วมันก็ต้องหาเรื่องใช้แบบนี้ไง ..ไม่น่าเลย ไอ้ยูเอ๋ย
“คุณก็เห็นข้อความแล้วนี่.. ก็น่าจะตอบสักหน่อยว่าจะกลับหรือไม่กลับ..
ผมจะได้ไม่ต้องถ่างตารอ ..ง่วงจะตาย” เสียงของผมเบาหวิวจนแม้แต่ตัวเองก็ยังฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“โทษที ผมมัวแต่ดีใจไปหน่อย” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพยายามจะจ้องตากับผมให้ได้
แต่ไม่มีทางซะหรอก หลบสิครับงานนี้
ผมขอที่เงียบๆ
ไปอับอายอยู่คนเดียวสักสองนาทีได้ไหมเนี่ย?
“นานมากแล้วที่ไม่มีใครโทรตาม.. หรือข้อความหาผมด้วยเรื่องแบบนี้”
“.........”
“ยู..”
ความตั้งใจของผมมีอันต้องสะดุดลงเมื่อหูดันไปได้ยินเสียงเรียกชื่อครั้งแรกจากปากเขา..
ผมเผลอมองสบตากับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ..
แล้วมันก็สายเกินไปที่ผมจะหลบตาเขาได้อีกครั้ง
“.........” ผมถูกตรึงเอาไว้ด้วยดวงตาสีน้ำเงินอมเทาคู่นั้น
ใบหน้าของเขาเคลื่อนใกล้เข้ามา.. ใกล้เข้ามา..
ผมมองเห็นเหตการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับเป็นภาพสโลโมชั่น
ทั้งที่เขาเท้าสองแขนไว้กับบานประตู ไม่มีส่วนไหนสัมผัสกับร่างกายของผม
แต่ผมกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้
จนกระทั่งปล่อยให้ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน..
“.........” แม้ภาพที่ผมเห็นมันจะใกล้เสียจนเบลอไปหมด
แต่ผมก็ยังพอมองออกว่าคนตรงหน้ากำลังหลับตา ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยกำลังสั่นน้อยๆ หัวคิ้วของเขาขมวดจางๆ
ก่อนที่เปลือกตาคู่นั้นจะเปิดขึ้นอีกครั้ง
“เวลาแบบนี้..” คุณซอลกระซิบชิดริมฝีปากของผม “นายควรจะปิดตา
แล้วเปิดปากสิ”
ผมควรจะหลบฉากออกมา..
ผมมีสิทธิ์นั้น และอยู่ในภาวะที่สามารถกระทำได้
แม้จะพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ..
แต่สิ่งที่ผมทำจริงๆ ก็คือ.. ปิดตา
แล้วเปิดปาก ...อย่างที่เขาบอก
TBC.