วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[นิยาย] MADAME MAFIA chapter 4.2







MADAME   MAFIA





chapter 4.2








เสียงดนตรีบรรเลงเพลงเป็นท่วงทำนองอ่อนหวานของ Ralph Vaughan Williams คีตกวีชาวอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่เมื่อกว่าร้อยปีก่อน ดังคลอไปกับเสียงดุดันของเครื่องยนต์ขนาด 3.9 L V8 ของ Ferrari 488 Spider รุ่นล่าสุด สีเดียวกับรัตติกาลที่กำลังพุ่งทะยานขนานไปกับชายฝั่งอ่าวเนเปิลส์ ความเร็วของมันเปลี่ยนทัศนียภาพยามค่ำคืนให้กลายเป็นเพียงเส้นแสงหลากสีสะบัดพลิ้วผ่านสายตาไปเท่านั้น

ผมดึงความสนใจกลับเข้ามาในรถ ฟ้ายังคงจดจ่ออยู่กับถนนตรงหน้า เขายังไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เรานั่งรถมาด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดหรือคับข้องใจอะไร ผมกลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าที่ได้มาอยู่กับเขาตามลำพังแบบนี้

นึกว่ามึงจะขับแต่รถสีขาวซะอีก”  ผมชวนคุย 

สีขาวมันเด่นเกินไปสำหรับแบบคืนนี้”  เขาตอบกลับมาเนิบๆ ตามนิสัย

“ให้อารมณ์เหมือนคืนหนีตามกันเลย”  ผมหัวเราะ

“ก็หนีตามกันน่ะสิ”  ฟ้ายิ้มนิดๆ


“หือ แล้วทำไมต้องหนีด้วยล่ะ?”  ผมถามเข้าประเด็นเลยแล้วกัน

“ถ้าไม่หนี ก็ไม่ได้ออกมาอยู่ด้วยกันแบบนี้สักทีสิ”

“แต่มึงเป็นบอสไม่ใช่หรือไง?”  ผมเสตามองไปทางอื่น

รู้สึกภูมิต้านทานที่หัวใจผมมีต่อดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจะลดน้อยลงไปทุกที

“ก็เพราะว่าเป็นบอสไง” 

คำตอบของเขาฟังกำกวม แต่ผมเลิกคิดติดใจ

เราจะไปซอร์เรนโตกันเหรอ?” 

ผมเห็นป้ายบอกทางเขียนไว้แบบนั้น ตอนนี้เรากำลังขับรถลงใต้สินะ

อืม”  เขาตอบกลับ ผมพยักหน้ารับรู้

“ขอยืมใช้โทรศัพท์หน่อยได้หรือเปล่า?”

ฟ้าหยิบโทรศัพท์ที่เก็บไว้ตรงช่องเก็บของข้างประตูรถส่งให้

“ขอบใจ...”  ผมรับมาแล้วกดพิมพ์ข้อความไปหาซิน

จู่ๆ ผมก็หายออกมาแบบนี้ ถ้าซินไม่รู้ว่าผมไปไหนหมอนั่นคงต้องเป็นห่วง อย่างน้อยผมก็ควรจะบอกมันสักหน่อยว่าตอนนี้ผมอยู่กับใคร

[กูออกมากับฟ้า แต่อย่าให้รู้ว่าคืนนี้มึงไปกับผู้หญิงคนไหนนะ!]

ไม่ถึงนาที ซินก็ตอบกลับข้อความมาอย่างไว

[ขี้โกง! มึงไปกับผู้ชายคนอื่น แต่ห้ามกูเนี่ยนะ!? ไอ้ขี้โกง!!!]

ผมอดยิ้มให้กับข้อความที่เห็นไม่ได้

[งั้นมึงก็ไปกับผู้ชายสักคนแล้วกัน แต่ผู้หญิงห้าม!!]

ผมรับปากสกายไว้แล้ว ผมก็ไม่อยากจะให้ผิดคำพูดกับมัน และถึงส่วนหนึ่งในใจผมจะเชื่อมั่นว่าซินได้เปลี่ยนไปแล้วก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องพูดดักไว้สักหน่อย

[แต่กูเกลียดตัวผู้!!!!]

ฮ่าๆๆ ผมไม่แปลกใจกับคำตอบของมันเลย ถึงที่รักมันจะเป็นผู้ชายก็เถอะ

[มึงทิ้งกูได้ไง!! ไอ้น้องไร้หัวใจ!! ไอ้น้องใจแตก!!!]

[แล้วกูจะนอนคนเดียวในบ้านผีสิงนี่ได้ยังไง!?]

[ไหนว่าจะอยู่กับกูทั้งวันทั้งคืนไง!!? ซันนี่ขี้โกหก!! ไอ้คนหลอกลวง!!!]

ซินเล่นส่งข้อความกลับมารัวๆ จนผมเริ่มจะรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ

จนกระทั่งเห็นข้อความล่าสุด...

[กูขอสาปแช่งให้ไอ้กุ้งฝอยนกเขาไม่ขัน!!!]

ฮ่าๆๆๆ แบบนั้นกูก็แย่สิ

“พอเลย”

ผมหันไปมองคนที่แย่งโทรศัพท์กลับไป แล้วยังปิดเครื่องอีก

“คุยกับผู้ชายคนอื่นอยู่ได้”  เขาบ่น

“นั่นพี่กูนะ”  ผมตอบกลับอย่างไร้อารมณ์

เอาจริงๆ ฟ้า ไม่ต้องงอนกลบเกลื่อน มึงงกใช่มะ? กลัวเปลืองค่าโทรศัพท์ดิ

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูจะทำให้มึงแน่ใจว่านกเขากู ขันได้ทั้งคืน”

แอบอ่านด้วยเรอะ!?

“.......”

“มึงยอมรับแล้วเหรอว่าตัวเองเป็น กุ้งฝอย?”  ผมถามยิ้มๆ

ปีกจมูกอีกฝ่ายขยับ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามทำเหมือนไม่ได้ยิน ฮ่ะๆๆ



เสียงเพลงของ Ralph Vaughan Williams ยังคงบรรเลงต่อไป เช่นเดียวกับเสียงคำรามของเจ้าม้าลำพองหมายเลข 488...และเสียงหัวใจของผม

ให้ตายสิ ดันตื่นเต้นเพราะคำพูดพรรค์นั้นขึ้นมาซะได้







จอดทิ้งไว้แบบนั้นมันจะไม่หายเหรอ?” 

ผมหันกลับไปมองรถเฟอร์รารี่ที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง รู้สึกแอบห่วงแทนเจ้าของยังไงชอบกล ..ก็นะ ไม่ใช่คันละยูโรสองยูโรนี่

ด้วยความเร็วเฉียดๆ 200 km/hr เพียงเวลา 20 นาที ก็พาเรามาถึงยังซอร์-เรนโตที่หมาย ฟ้าพาผมมาที่ท่าเรือเล็กๆ(ที่แทบจะไม่แตกต่างจากท่าน้ำธรรมดา) มองตรงไปข้างหน้าจะเงาของเกาะขนาดเล็กเกาะหนึ่ง อยู่ห่างไปไม่น่าเกินไมล์

ฟ้าบอกว่าเราจะไปที่เกาะนั่นกัน...

หายก็ช่างมัน” 

เขาถกแขนเสื้อ แล้วลงไปปลดโซ่คล้องสปีดโบ๊ทลำเล็กออกจากเสาท่า

รวยว่างั้น?”

เปล่า.. นั่นรถมานะ” 

ฟ้ากระโดดลงเรือไปก่อน แล้วยื่นมือมาให้ผมจับเพื่อตามลงไป

นิสัย” 

ผมส่งมือให้เขาช่วยจับประคองระหว่างก้าวลงเรือที่โคลงเคลงตามแรงคลื่น

กูไม่สนใจซื้อรถสีดำแบบนั้นหรอก สวยตรงไหน...”  เขาบ่นพึมพำ

สำหรับเขายังไงก็ต้องสีขาวสินะ ฮ่ะๆๆ

เป็นบอดีการ์ด บอสฟานี่ท่าทางจะเงินดีเนาะ มีเงินเก็บเหลือพอซื้อรถหรูๆ แบบนี้ได้ด้วย อยากลองไปสมัครเป็นบ้างจัง?”  ผมแกล้งว่าเล่นๆ

“อย่างซันนี่ไม่เหมาะเป็นบอดีการ์ดหรอก”

“จะว่ากูกากหรือไง?”

“นั่นก็ใช่”  เขาแทบไม่เสียเวลาคิดเลย

“โห.. ไว้หน้านิดนึง” 

ผมก็คาราเต้สายดำนะเออ ถึงพักหลังๆ จะไม่ได้ซ้อมเลยก็เหอะ

“แต่มีตำแหน่งอื่นที่เหมาะกับซันนี่มากกว่า”

“อย่าบอกว่าให้เป็น เมีย มึง? ขอเลย มุขเห่ยมาก”  ผมพูดดัก

“งั้น มาดามแบร์ลุสโคนี เป็นไง?”

“มาดามแบร์ลุสโคนี...” ผมนึกถึงข่าวลือที่ได้ยินมาจากงานเลี้ยง

พวกผู้หญิงที่อยากจะมาเป็นมาดามของเขาทำให้ผมหงุดหงิด ถึงจะรู้ว่าผมไม่มีสิทธิชอบธรรมอะไรไปเกลียดพวกเธอก็เถอะ แต่ไม่ชอบใจเลยจริงๆ

“ฮ่ะๆๆ มึงจะยกตำแหน่งนั้นให้กูเหรอ?”  ผมหัวเราะกลบเกลื่อน

“ก็ถ้ามึงอยากได้...” 

ฟ้าประจำที่คนขับ แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์

“.......”

เขาพูดอย่างกับทุกอย่างจะเป็นไปตามความต้องการของผมงั้นล่ะ

กูเจอเกาะนี้ราวหกเดือนก่อน ตอนตรวจดูพวกเอกสารที่ดินที่พ่อเก็บไว้.. รู้สึกพ่อจะได้เกาะนี้มาสัก 12-13 ปีที่แล้ว แต่ก็ปล่อยให้ทิ้งร้างอย่างที่มันเคยเป็นมาตลอดก่อนตกถึงมือพ่อ.. ตอนนั้นเพราะคิดว่ามันน่าสนใจเลยลองมาดู”

ฟ้าเล่าให้ฟังระหว่างเดินจูงมือผมขึ้นบันไดหินจากท่าเรือเพื่อไปยังด้านบนของเกาะ มันเป็นเกาะที่เล็กมากสองเกาะซึ่งเชื่อมกันไว้ด้วยสะพานหิน

“เป็นสะพานหินโบราณ... ไม่รู้ว่าสร้างตั้งแต่สมัยไหนเหมือนกัน ดูเหมือนที่นี่จะเคยเป็นสถานที่ไว้ทำพิธีสักการะเทพเจ้ามากก่อน รอบๆ เกาะก็เลยมีพวกรูปปั้นสักการะกับพวกซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างโบราณจมอยู่ใต้น้ำให้เห็น”

เป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นอะไรรอบๆ บริเวณนี้ในช่วงเวลากลางคืนแบบนี้ เอาไว้พรุ่งนี้ผมคงต้องออกมาสำรวจซากอารยธรรมที่คนโบราณทิ้งไว้สักหน่อย

“ตอนแรกเกาะฝั่งนี้มีคฤหาสน์เก่าๆ อยู่หลังหนึ่งด้วย... แต่กูให้คนรื้อออกแล้วสร้างหลังใหม่ที่อยู่ง่ายกว่าขึ้นมาแทน ส่วนอีกเกาะไม่มีอะไรนอกจากทุ่งดอกไม้”

ทุ่งดอกไม้ก็น่าสนใจนะ อยากรู้จังว่าเป็นดอกอะไร

“ปกติไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาใกล้เกาะนี้เท่าไหร่... เพราะคนแถบนี้เขาเล่าลือกันมานานว่ามันเป็น เกาะต้องคำสาปกลุ่มคนที่เคยเข้ามาเป็นเจ้าของเกาะตลอดร้อยปีหลังมานี้ก็มีทั้งชนชั้นสูง ศิลปินชื่อดัง พ่อค้าคหบดี ไปจนถึงเศรษฐีต่างชาติ แต่ก็ไม่มีใครอยู่ได้นาน ..แถมไม่ตายดีสักคน

แล้วมึงไม่กลัว คำสาปบ้างหรือไง?”  ผมชักสยองกับประวัติของเกาะ

กูลองหาข้อมูลมาแล้ว เจ้าของเก่าตายทุกคนจริง แต่เพราะป่วยบ้าง อุบัติเหตุบ้าง ภัยพิบัติบ้าง.. มันก็เรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องตายอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”

ก็จริง”  ผมพยักหน้าเห็นด้วย

ก่อนจะสะดุดตากับกำแพงของ บ้านหลังใหม่ที่อยู่ง่ายกว่า ตรงหน้า

“หวาว.. นี่ป้อมปราการหรืออะไร?”  ผมครางเบาๆ

เพราะพื้นที่ที่ลาดชันไม่เสมอกัน เลยทำให้กำแพงรั้วที่ทำจากอิฐมันยิ่งดูสูงใหญ่เกินกว่าความเป็นจริงเมื่อมองจากมุมที่เรายืนอยู่(เพิ่งขึ้นมาจากท่าเรือ)

“เป็นรั้วเก่าน่ะ มันช่วยบังสายตาคนจากบนฝั่งได้ เลยคิดว่าน่าจะใช้ต่อไป”

ฟ้าล้วงพวงกุญแจออกมา เลือกกุญแจดอกหนึ่งในนั้นไขเปิดประตูไม้ปานเล็กที่ฝังอยู่ในรั้วใหญ่เพื่อเปิดเข้าไปข้างใน

สิ่งก่อสร้างที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงอิฐโบราณเป็นบ้านสไตล์โมเดิลสองชั้น สีขาว ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ปูพื้นด้วยไม้ปาเก้สีดำ เสาและผนังตกแต่งด้วยหินสีขาว มีสวนหย่อมน่ารักๆ อยู่ด้านหน้า ฟ้าก้าวไปยืนตรงหน้าประตู เซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปได้จึงเปิดไฟสว่างขึ้นมาทำให้เห็นจอมอนิเตอร์เล็กๆ ที่ฝังอยู่กับบานประตูหนา ฟ้าเอาสมาร์ทโฟนของเขามาเปิดแอพพลิเคชั่นบางอย่าง จากนั้นหน้าจอมอนิเตอร์ก็ปรากฏคำสั่งให้ป้อนรหัสเกือบสิบตัว เขาป้อนรหัสผ่านสมาร์ทโฟนเสร็จก็ต้องยื่นหน้าเข้าไปให้กล้องตัวจิ๋วเหนือจอมอนิเตอร์ได้สแกนม่านตาอีกด่าน ก่อนที่บ้านทั้งบ้านจะดูราวกับมีชีวิตขึ้นมา(...หรือไม่ก็เพิ่งตื่นจากการหลับใหล) 

[บอสฟา ยินดีต้อนรับกลับบ้าน]

ขุ่นพระ! นี่มัน J.A.R.V.I.S. ชัดๆ ถึงจะเป็นเวอร์ชั่น(เสียง)ผู้หญิงก็เถอะ

แกร่ก...

มีเสียงประตูปลดล็อคเบาๆ จากด้านใน แต่ฟ้าต้องใช้ลูกกุญแจที่เขาพกมาด้วยไขปลดล็อคประตูจากทางด้านนอกอีกครั้ง ถึงจะผลักเปิดปราการด่านสุดท้ายเข้าไปในบ้านได้ โดยมีผมเดินตามมาติดๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ

“กว่ามึงจะเข้าบ้านได้สักทีเนาะ”  (ถึงงั้นก็อดกัดเล็กๆ ไม่ได้) 

“เพราะนานทีกูจะมาที่นี่ มานะก็เลยบอกว่าควรจะล็อคไว้หลายชั้นหน่อย”

นอกจากระบบรักษาความปลอดภัยที่โคตรจะแน่นหนาและไฮ-เทคฯแล้ว บ้านหลังนี้ยังติดตั้งระบบ Home Automation หรือที่บางคนเรียกว่า Smart Home หรือถ้าเป็นภาษาไทยก็ บ้านอัจฉริยะ ที่สามารถควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ได้(จริงๆ แล้วก็คือการสั่งผ่านระบบอินเตอร์เน็ตนั่นล่ะ) แต่ที่น่าประทับใจไปยิ่งกว่านั้นก็คือ แทนที่จะสั่งงานผ่านปลายนิ้ว(สมาร์ทโฟน)อย่างเดียว บ้านหลังนี้ยังสามารถรับคำสั่งผ่านทางเสียงได้ด้วย พีคสุดๆ คือมันพูดคุยตอบโต้กับประโยคง่ายๆ ได้อีกนี่ล่ะ!

“นี่มึงคงไม่ได้มีแล็บใต้ดินไว้แอบสร้างชุดเกราะเหล็กด้วยหรอกใช่ไหม?”

“หึหึหึ จะไปมีได้ไง” 

ฟ้ากดไหล่ผมให้นั่งบนเก้าอี้ทรงสูงหน้าบาร์เครื่องดื่ม ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมไปยืนด้านหลังของบาร์เพื่อทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์จำเป็น

นี่เผลอนึกว่าตัวเองเป็น เป็ปเปอร์ ไปแป็บนึงแน่ะ

ผมถอดสูทตัวนอกพาดไว้กับเก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วนั่งเท้าคางมองทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างอารมณ์ดี เขาเทเหล้าพลางหัวเราะลงคอ ก่อนเลื่อนเหล้าแก้วนั้นมาให้ผม คิดค่าเหล้าโดยโน้มข้ามบาร์มาดูดปากผมแรงๆ ทีนึง

“ซันนี่เผ็ดกว่าเยอะ”  เขายืนยันหลังพิสูจน์(ไปนิดหน่อย)

“แหม พูดถูกใจ”  ผมยิ้มกว้างพลางชูแก้วขึ้น

“เชียร์!  ฟ้ายื่นแก้วเขามาชนกับของผม

หลังดื่มกันไปคนละอึก ผมก็มองไปรอบๆ บ้านพลางชวนเขาคุย

“รู้ไหม ตอนที่เข้าไปเห็นห้องทำงานมึง กูยังนึกอยู่เลยว่า โอ้ แบบนี้ดูไม่เหมือนฟ้าประทานเลย แต่พอได้มาเห็นบ้านหลังนี้กูก็คิดว่า อา นี่แหล่ะ ฟ้าประทาน แล้วมันก็ทำให้กูสบายใจแปลกๆ”  ผมดื่มเข้าไปอีกอึก หมดแก้วพอดี ฟ้าจึงเติมให้

การตกแต่งภายในของบ้านหลังนี้เป็นสไตล์ Modern Loft ดูโล่งๆ ชิคๆ เฟอร์นิเจอร์เน้นวัสดุเป็นกระจกกับไม้สีดำ ตัดกับพื้นและผนังที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์

ต้องแบบนี้สิ ถึงสมเป็น ฟ้าประทานที่ผมรู้จักหน่อย

“มึงกลัวกูจะเปลี่ยนไปเป็นใครที่มึงไม่รู้จักเหรอ?”  คนถามมองตรงที่ยังผม

“คงงั้น...”  ผมหมุนแก้วในมือเล่น

“นั่นเป็นห้องทำงานของพ่อมาก่อน กูแค่ไม่ได้ไปเปลี่ยนอะไรมัน”

“อืม”  คราวนี้ผมกระดกรวดเดียวหมดแก้ว

จู่ๆ ...ในใจมันก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเคลียร์ไปเรื่องนึง แต่ก็ยังมีเรื่องที่ได้ยินมาจากงานเลี้ยงอีก บทสนทนาพวกนั้นเริ่มไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวผม หมุนวนซ้ำไปซ้ามาอย่างที่ผมไม่เคยปรารถนาจะให้มันเป็น

“ไปนั่งรับลมข้างนอกกันไหม?”

“ข้างนอก?”

ผมดึงความสนใจของตัวเองกลับมาที่ฟ้า มองตามสายตาของเขาไปทางผนังด้านขวามือที่ตอนนี้ถูกบดบังไว้ด้วยม่านหนาทึบสีเทา พอฟ้าใช้นิ้วแตะจอโทรศัพท์ ม่านก็รูดเปิดออก เผยให้เห็นประตูและผนังกระจกทั้งแถบ แต่ข้างนอกก็มืดเกินกว่าที่ผมจะมองเห็นวิวอะไรได้ ฟ้าแตะจอโทรศัพท์อีกครั้ง ไฟด้านนอกก็สว่างขึ้น

“ว้าวววว”  ผมลุกไปเกาะกระจกดู

ข้างนอกนั่นมีสระว่ายน้ำเจ๋งๆ อยู่ด้วยล่ะ ขอบสระเป็นกระจกใสแจ๋วเลยถัดจากสระว่ายน้ำก็เป็นวิวทะเลแบบพาโนรามา ใกล้ชิดธรรมชาติสุดๆ

เป็นคนมีตังค์นี่มันดีจริงๆ

“ออกไปนั่งข้างนอกกัน”  ฟ้ารุนหลังผม

ผมเป็นคนเปิดประตูให้ฟ้าที่ถือทั้งขวดทั้งแก้ว(ของผมด้วย)ออกไปก่อน แล้วค่อยเดินตามเขาไปนั่งบนเก้าอี้โซฟาสีขาวสองตัวที่ตั้งเคียงกันอยู่ข้างขอบสระ

“เชียร์”  ฟ้ายื่นแก้วเหล้าให้

ผมชนแก้วกับเขาแล้วเอนหลังลงกึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างผ่อนคลาย

ที่จริง เป็นแฟนกับคนมีตังค์นี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ฮ่ะๆๆ

ได้นั่งจิบเหล้าเคล้าเสียงคลื่นนี่ดีชะมัด ตาชมดาว ผิวรับสัมผัสจากลมทะเลยามดึก จมูกสูดกลิ่นธรรมชาติ จิตใจดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนจะโรแมนติก...

เฮ้ออออ~

แล้วทำไมใจผมถึงได้กลับมาหนักอึ้งอีกล่ะ...




“ซันนี่” 

ผมได้ยินเสียงเนิบของเขาแทรกผ่านเสียงคลื่นมา 

“หืม?”  ผมเหลือบมอง

“มึงวางแผนอนาคตไว้ยังไง?”

ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาก็ถามคำถามจริงจังกับชีวิตขึ้นมา ขณะที่ตาของเขากำลังเหม่อมองออกไปในท้องทะเลเวิ้งวางมืดมิด คิดอะไรอยู่กันนะ?

“แผนเหรอ... กูว่ากูยังไม่ได้คิดนะ”  ผมก้มมองแก้วเหล้าในมือ

ด้วยความสัตย์จริง บางครั้งผมก็กลัวที่จะคิดถึงมัน

“แล้วมึงล่ะ?”  ผมถามเขากลับบ้าง

“กู...”  เขาเงียบไปคล้ายลังเลที่จะพูด

“จะหมั้นเหรอ?” 

ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมถามออกไปแบบนั้น ใจนึงก็อยากรู้ อีกใจก็ไม่อยากรู้เลย มันเป็นความสับสนที่ผมก็หาคำอธิบายไม่ได้เหมือนกัน

ฟ้าหันมามองผมอย่างแปลกใจ เขาคงคิดไม่ถึงว่าผมจะรู้ข่าวนี้ด้วยล่ะมั้ง

“ได้ยินเขาพูดกันในงานเลี้ยงน่ะ”  ผมพยายามพูดให้เป็นธรรมชาติ

“แล้วก็ได้เห็นผู้หญิงคนนั้นด้วย สวยดีนะ รู้สึกจะชื่อ ชินเซีย ใช่ไหม?”

“คงงั้น”  ฟ้าตอบสั้นๆ

เขาหันกลับไปทางเดิม ดวดเหล้ารวดเดียวหมดแก้ว แล้วเทใส่ลงไปใหม่

“ตอนแรกกูได้ยินเป็น ซินเซียร์ ด้วยล่ะ ยังนึกอยู่ว่าบังเอิญจัง ฮ่ะๆๆ”

เสียงผมสั่นหรือเปล่านะ?

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงตลกดีเนอะ มึงกับซินไม่ค่อยชอบหน้ากันจนแทบไม่อยากเอ่ยชื่อกันตรงๆ ด้วยซ้ำ แต่วันนึงมึงต้องมาเรียกเมียตัวเองว่า ซินเซียร์ๆ ทุกวันก็คงจะแสลงใจพิลึก ยิ่งเวลาจะเรียกชื่อกันหวานๆ นี่... แค่นึกกูก็ฮาแล้วอ่ะ ฮ่ะๆๆๆ”

เสียงหัวเราะผมแปร่งไปหรือเปล่า?

“แล้วก็นะ...”

“ซันนี่!

เสียงแทรกของฟ้าทำให้ผมต้องหยุดพูดแล้วหันไปมองเขาอย่างสงสัย

“อะไร?”  เห็นเขาไม่พูดต่อผมก็เลยถาม

“ทำไมถึงยังหัวเราะได้ล่ะ?”

“ห๊ะ?”

ฟ้าไม่ได้ถามซ้ำ แต่เขาใช้สายตาบีบคั้นผมแทน

“แล้วมึงจะให้กูร้องไห้เหรอ?”  ผมไม่ได้หลบตาเขา

“กูก็แอบหวังเอาไว้อย่างนั้น”

เราจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมถอยให้ใคร...

“โทษที แต่เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้กูเสียน้ำตาได้หรอก”

ผมกลับมาเอนหลังกึ่งนั่งกึ่งนอนตามเดิม แต่เอาจริงๆ นะ เมื่อกี๊ก็เกือบไปแล้วล่ะ ขอบตาผมร้อนผ่าวเลย แต่พอนึกได้ว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องร้องไห้สักหน่อย มันเป็นแค่ข่าวลือ ฟ้าก็ยังไม่ได้ยืนยันอะไรออกมาชัดๆ แล้วคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองอย่างเขาน่ะเหรอจะยอมหมั้นกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก? มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พอคิดถึงตรงนี้น้ำตาที่เอ่อขึ้นมามันก็แห้งหายไปเองน่ะ

“ว้าา...”  ฟ้าส่งเสียงผิดหวังทั้งที่ทำหน้ามึน แล้วกลับไปเอนหลังบ้าง

“มึงไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม?”  ...แต่ก็ยังอยากจะมั่นใจอีกหน่อย

“กูบอกว่ารักมึงไม่ใช่หรือไง?”  เขาทัก

“วันนี้มึงยังไม่ได้บอกเลย”  ผมท้วง

“กูรักมึง”  เขาหันมาบอก

“เออ”  ผมพยักหน้ารับ

เฮ้ย ไม่ใช่ว่าผมอยากจะกวนตีนหรือไม่มีอารมณ์ซึ้งหรอกนะ แต่ขนาดคนที่บอกรักผมมันยังทำหน้ามึนๆ อยู่เลย ผมก็เลยไม่อยากจะเขินให้เสียของอ่ะ ทำไม?

เราหันกลับไปมองทางใครทางมันเหมือนเดิม แต่เริ่มคุยกันจริงจังขึ้น

“แต่เขาจะให้มึงหมั้นจริงๆ ใช่ไหม? พวกญาติมึงน่ะ...”

“อือ... ถึงจะปฏิเสธคนนี้ไป แต่เดี๋ยวก็คงสรรค์หาคนใหม่มาอีกอยู่ดี”

“ได้ข่าวว่าคนนี้เป็นตัวเก็งเลยไม่ใช่เหรอ?”

“อา... ตอนโคเน่ยังอยู่ก็พูดกันแบบนี้แหล่ะ”

งั้นแม่สาวคนนี้ก็คงจะเคยเป็นว่าทีคู่หมั้นของพี่ชายเขามาก่อนจริงๆ สินะ ท่าทางชีคงหมายมั่นปั้นมือจะเป็น มาดามแบร์ลุสโคนี ให้ได้เลยสิเนี่ย

“เออ พูดถึงโคเนโร ตอนนี้เขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหนล่ะ? ยังสบายดีใช่ไหม?”

ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของ โคเนโร แบร์-ลุสโคนี หรือพี่ชายต่างแม่ของฟ้าก็เคยเป็นข่าวลงตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เหมือนกัน ก่อนที่มันจะค่อยๆ เงียบหายไป ตอนนั้นมีข่าวซุบซิบว่าฟ้าอาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องไม่ชอบมาพากลนี้ด้วยซ้ำ เพื่อที่เขาจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นบอสคนใหม่ต่อจากพ่อของเขา แทนที่จะเป็นพี่ชายอย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่ผมรู้ว่ามันไม่จริงหรอก

“ไม่อยากพูดถึง”

จากคำตอบห้วนๆ บวกกับหน้าคว่ำๆ ของฟ้า ผมสามารถแปลงสาร(เอาเอง)ได้ว่าโคเนโรคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่ง... พวกเขาพี่น้องไปด้วยกันได้ไม่ค่อยดีนัก แต่มันก็ไม่แย่ถึงขนาดจะทำให้พวกเขาคิดกำจัดอีกฝ่ายทิ้งหรอก (...มั้ง)

“งั้นกลับมาที่เรื่องหมั้นของ...”

“กูปฏิเสธไปแล้ว”  ฟ้าตอบโดยที่ผมยังถามไม่จบด้วยซ้ำ

“ห๊ะ?”  (ไม่ใช่ไม่ได้ยิน แค่ตั้งตัวไม่ทัน)

“แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ฟังกัน...”

ข้อมูลต่อมาจากฟ้าทำให้ผมต้องถอนหายใจยาว

“แล้วมึงคิดจะทำยังไงต่อ?”

“นั่นล่ะที่กูจะถามมึง?”

“ห๊ะ?”  (อะเกน)

“ทำไงดีอ่ะ?”  เขาถามกันซื่อๆ

“แล้วกูจะรู้ด้วยไหมเนี่ย?”  จู่ๆ ผมก็นึกอยากจะทึ้งหัวตัวเอง

“ช่วยคิดที”

“กูเนี่ยนะ?”  ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องเป็นผมวะ?

“มึงเคยได้กูแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของกูด้วยสิ”

“เฮ้ย มุขนี้ผ่าน!”  ผมเอื้อมมือไปตีแขนเขาอย่างชอบใจ ฮ่าๆๆ ฮา...

เฮ้ออออ...

ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกันกับเขา

“อย่างกูจะทำอะไรได้วะ ฟ้า?”  ผมหันไปถามเขาอย่างจนใจ

“มึงจำครั้งล่าสุดที่ญาติมึงพยายามจะเขี่ยกูออกไปให้พ้นชีวิตมึงได้ไหม? ตอนนั้นกูเกือบจะต้องเสียซินไป บอกตามตรง กูกลัวว่ะ กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก...”

แล้วผมก็กลัวว่าจะเผลอทำร้ายฟ้าด้วยความไร้สติของตัวเองอีกด้วย

วันนั้น... ที่ผมช็อคจนแทบเสียสติกับอาการบาดเจ็บของซิน ผมได้ทำร้ายฟ้าอย่างไม่น่าให้อภัย ผมโกรธ ผมเจ็บใจ ผมเสียใจ ผมไม่รู้ว่าควจจะจัดการความรู้สึกตัวเองยังไง สุดท้ายผมก็โยนความผิดทุกอย่างไปที่ฟ้า ผมบอกว่าคนอย่างเขาไม่สมควรจะได้เกิดมา ทั้งที่รู้ว่าคำพูดร้ายกาจพวกนั้นเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ขมขื่นของเขา ผมก็ยังจงใจพูดให้เขาเจ็บ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจ และถึงตอนนี้เขาก็อาจจะลืมมันไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้อยู่ดี

ผมยังรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่นึกถึงมัน...

“มึงเคยนึกเสียใจที่รักกูมั่งไหม ซันนี่?”

ผมดึงตัวเองกลับมาที่คำถามของฟ้า ตาสีดำมองผมอย่างรอคอยคำตอบ

“ไม่ มึงล่ะ?”  ผมแทบไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ 

“ไม่เคยเหมือนกัน”  เขาส่ายหน้า

แล้วจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก... มันเหมือนกับเราเดินจูงมือกันมาเจอกำแพงที่สูงจนได้แต่แหงนหน้ามอง จนปัญญาจะปีนข้ามไป หรือไม่.. ก็ต้องมีใครคนหนึ่งคนใดเสียสละยอมเป็นฐานให้อีกคนเหยียบขึ้นไป แล้วก็ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง

“กูจะทำอะไรได้บ้าง...”

ผมพูดออกไป โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะพูดออกไป

ฟ้าเงยหน้ามองผม เขาเองก็เหมือนไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเช่นกัน


“กูจะทำอะไรเพื่อมึงได้บ้าง?” 

คราวนี้ผมพูดอีกครั้งด้วยความตั้งใจทั้งหมดของตัวเอง

ผมตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรผมก็จะยืนข้างเขา ถึงจะกลัวแต่ผมก็จะไม่หนีไปไหน ถึงซินคงจะไม่เห็นด้วย แต่หมอนั่นก็จะไม่คัดค้านผมแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น ผมจะไม่ทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่... เอ่อ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมจะไม่พลาดอีกแล้วกัน(...อย่าให้ผมต้องรำลึกความหลังน่า ผมรู้ว่าชีวิตผมมันเต็มไปด้วยความผิดพลาด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วไง ผมกล้าสาบานเลย ...ให้ฟ้าผ่าหมา)

“แน่ใจแล้วเหรอ?”

ถึงจะถามปลายเปิดแบบนั้น แต่หน้าเขากลับบานออกอย่างเห็นได้ชัด แล้วอย่างนั้นใครมันจะไปกล้ากลับคำล่ะ (...น่า ผมไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว)

“อืม เพราะกูก็รักมึงเหมือนกัน”  ผมพูดจากใจ...แมนๆ (ฮา..) 

“ซันนี่...”  ฟ้ายิ้มกว้าง

นี่มันหาดูอยากยิ่งกว่าหมีขั้นโลกผสมพันธ์กับเป็ดอีกนะ! จริงๆ

ผมเอื้อมมือไปบีบมือเขา ยิ้มบางตอบกลับไปให้เขามั่นใจว่ายังไงก็จะไม่ทิ้งเขาไปไหนแน่นอน  “ถ้าอยากให้ทำอะไรก็บอก...”

“ถ้างั้น...” 

ผมยังพูดไม่จบฟ้าก็แทรกขึ้นมาก่อนอีกแล้ว ไม่มีมารยาทเอาซะเลย แต่เอาเถอะ เพราะท่าทางกระตือรือร้นของเขามันดูน่ารักซะจนผมตำหนิไม่ลงเลยน่ะสิ

งั้นอยากได้อะไรก็รีบบอกพี่ชายคนนี้มาได้เลย! (ฮ่ะๆๆ)

Ride me!

“ห๊ะ?”

“ขย่มกูที”

“.......”

นะ? ซันนี่ ตรงนี้เลย” ตาที่ปกติเป็นสีดำด้านไร้แววของเขากำลังเปร่งประกายระยิบระยับด้วยความคาดหวังแสนแฟนตาซีของตัวเขาเอง

“กูฝันเอาไว้ตั้งแต่ตอนให้คนออกแบบบ้านหลังนี้แล้วอ่ะ

“.......”

“อยาก เอาท์-ดอร์กับซันนี่...”



 
เอ่อ... ผม..

ผมตัดสินใจใหม่ตอนนี้ยังทันหรือเปล่า?










โปรดติดตามตอนต่อไป.......







*ภาพประกอบจาก Google