MADAME MAFIA
chapter 2
“อื้ออ...ฟ้า..พอก่อน...”
ผมเบี่ยงหน้าหลบ พร้อมทั้งใช้มือดันอกเจ้าของชื่อออกก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกลกว่านี้
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะผมรังเกียจสัมผัสของเขาหรอก
“ทำไม?” เขาถามอย่างเอาแต่ใจ
พอจูบผมไม่ได้เขาก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ซอกคอแทน ส่วนมือก็ไม่เคยห่างจากก้นของผมอีกเลยตั้งแต่เขามีโอกาสได้จับมันอีกรอบ
“ยังจะถาม...”
ผมสอดมือเข้าไปใต้กลุ่มผมยุ่งๆ สีน้ำตาลเทานั่น ก่อนขยุ้มแบบไม่เบามือนัก
แล้วดึงให้เขายอมเงยหน้าขึ้นมาคุยกันดีๆ
“มีคนรออยู่ไม่ใช่หรือไง?”
ผมเตือนความจำ
ตั้งแต่ที่พวกเราก้าวลงจากรถ ก็มีคนชุดดำที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วเข้ามากระซิบบอกฟ้าว่ามีใครสักคนนี่ล่ะ(ผมได้ยินไม่ถนัด)ต้องการให้เขาไปพบ
ฟ้าพยักหน้ารับรู้แต่ไม่มีท่าว่าจะตามคนกลุ่มนั้นไป พอผมถามเขาก็บอกว่าจะเดินมาส่งผมที่ห้องก่อน
แต่ยังไม่ทันจะถึงที่หมายเขาก็ลากผมเข้ามาในห้องนี้ที่อยู่ระหว่างทางเดินซะก่อน(...ก็นึกเอะใจอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเขาถึงพยายามดึงให้ผมเดินรั้งท้ายกลุ่ม
พอซินที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรมบ้านเขาเผลอ เขาก็ฉกผมมาอย่างที่เห็น)
“รอนิดรอหน่อยไม่ทันแก่ตายหรอก”
เขาว่าแล้วพยายามจูบผมอีก
อื้อออ.. ผมผลักเขาออก
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ?”
ฟ้าชะงักเล็กน้อย เขาเปลี่ยนมาเกยคางไว้กับไหล่ผม ก่อนถอนหายใจยาว
“ทีนี่มีแต่คนแก่เอาแต่ใจ...”
ฟังเหมือนเขากำลังบ่นมากกว่าจะตอบคำถามของผม ขณะที่มือก็ขยำก้นผมเป็นจังหวะเนิบๆ
คล้ายกำลังปลอบใจตัวเอง ..เดี๋ยวสิ!
“เฮ้!” ผมส่งเสียงประท้วง จับมือลามกทั้งสองข้างนั่นไว้ไม่ให้ทำตามใจ
เผื่อใครกำลังเข้าใจผิดนะ ปกติผมไม่ได้มีนิสัยชอบให้ใครมาจับก้นแบบนี้
ถ้าไม่ใช่ไอ้หมอนี่ล่ะก็ผมคงกระทืบไม่เลี้ยงไปแล้ว บอกไว้ก่อน อย่าคิดลองของเชียว
“ซันนี่ขี้งก” ฟ้าเอาหน้าผากมาโขกหน้าผากผมสองโป๊ก
ไม่แรง
“นี่ไงคนเอาแต่ใจอีกคน”
ผมโขกกลับไปด้วยแรงสองเท่า ..อูย เจ็บ
“ไม่คิดถึงกันเลยเหรอ?”
เขาเริ่มอ้อนเมื่อเห็นว่าดื้อดึงแล้วไม่ได้ผล
“คิดถึงแต่ตูดกูล่ะสิ ไอ้หื่น”
ผมนึกถึงที่เขาพูดที่สนามบินเลยตีมือที่เริ่มซนอีกรอบเสียงดังเพี้ยะ
ถึงงั้นฟ้าก็ยังไม่ยอมถอยง่ายๆ(หรือจะเรียกว่า ‘หน้ามึน’
ก็ได้)
“ซันนี่ก็คิดถึง”
เขามองตาผม
“กลิ่นซันนี่ก็คิดถึง”
เขาก้มลงมาสูดกลิ่นที่ซอกคอผม
“ตูดซันนี่ก็คิดถึง”
เขาบีบก้นผม
“คิดถึงทุกอย่างที่เป็นของซันนี่เลย คิดถึงมาตลอด...”
เขาหยอดคำหวานที่ถ้าเป็นตัวเขาในอดีตคงไม่รู้จักพูด สายตาหวานซึ้งคู่นั้นผมก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นมันมาก่อน
แต่มันก็ง่ายดายเหลือเกินที่จะล่อลวงผมผู้ซึ่งโหยหาเขามาตลอดสี่ปีให้มาติดกับ
“ซันนี่” มือเย็นของเขา...
“.......”
“ซันนี่”
กลิ่นลมหายใจของเขา...
“.......”
“ซันนี่” ริมฝีปากของเขา...
“.......”
“อืมม ซันนี่”
ปลายลิ้นของเขา...
“.......” ผมกำลังถูกเกลี้ยกล่อม
“ฟ้า...!”
ผมแข็งใจดันเขาออกห่างอีกหน คราวนี้ฟ้ามองผมด้วยคิ้วขมวด เขาไม่ดื้อ
ไม่อ้อน ดวงตาของเขามีเพียงความไม่เข้าใจ
“มีคนกำลังรออยู่”
ผมย้ำทั้งยังหอบไม่หาย
มากกว่าจะย้ำให้ฟ้าเข้าใจ ผมกำลังย้ำให้ตัวเองหักห้ามใจไว้มากกว่า
คิดถึงคนที่สามารถเรียกตัวผู้นำตระกูลคนปัจจุบันให้ไปพบได้แบบนี้
ก็แปลว่าเขาต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอยู่เหมือนกัน ..ไม่ใช่เหรอ? เขาอาจมีเรื่องสำคัญจะคุย
แล้วยังเป็น ‘คนแก่’ อีก...
“เกิดเขาแก่ตายไประหว่างนั่งรอจริงๆ จะว่าไง?”
ฟ้าดูประหลาดใจในทีแรก แต่ก็ยิ้มออกมาในที่สุด
“ถ้าตายกันง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ” เสียงเนิบบอก
เขาเอนตัวพิงพนังห้องพร้อมทั้งรั้งผมเข้าไปกอดไว้หลวมๆ “...เป็นงั้นกูคงไม่ต้องลำบากแบบนี้”
“งานหนักมากเลยเหรอ?”
ผมนึกเห็นใจ
ครอบครัวเขาทำธุรกิจมากมาย หลังจากพ่อตายไป พี่ชายก็หายสาบสูญ
ภาระหน้าที่ทั้งหมดคงตกมาอยู่ที่เขาคนเดียว คงจะต้องเหนื่อยมากแน่ๆ
“อือ” เขาซุกหน้าไว้กับไหล่ผม
“ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็เป็น ‘บอส’ นี่นา” ผมลูบหลังเขาเบาๆ
ถึงอยากจะช่วย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆ
คงทำได้แค่เป็นกำลังใจให้เขา
“ช่วยได้สิ”
ฟ้าเงยหน้าขึ้น ก่อนจับมือผมไปวางแหมะตรงเป้าของเขา... หือ!?
มัน...เอิ่ม..แข็ง...
“ซันนี่ใจจืด” เขาตัดพ้อทันทีที่ผมเงยหน้ามอง
“ยังไม่ได้พูดอะไรเลย!” ผมแหวใส่
อีกฝ่ายผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ “แปลว่าจะช่วย?”
“อะไรเล่า!” ผมเฉไฉ จะดึงมือกลับ
แต่อีกฝ่ายไม่ยอม
“ก็ไม่ปฏิเสธนี่นา”
เขาโน้มตัวมากระซิบข้างหู พร้อมกุมมือผมให้กำเป้าตัว(เขา)เอง
“มีคนรออยู่..นะ ฮื้ออ”
ผมย่นคอหลบลิ้นชื้นที่ไล้เลียเข้ามาในหู
“จะให้ออกทั้งที่เป็นแบบนี้เหรอ?”
เขาอ้อน “ใจร้ายไปเปล่า?”
“ฮื่ออ... อย่าเลียสิ”
“คนอื่นให้รอไปก่อน”
ฟ้าก้มมองท่อนล่างตัวเองที่ตอนนี้กระดุมกางเกงถูกปลดออก ซิบถูกรูดลง
โชว์ให้เห็นกางเกงในบ็อกเซอร์ที่ถูกดันจนโป่งนูนด้วยบางสิ่งซึ่งถูกกักขังไว้ข้างใน
ผมเผลอกลืนน้ำลายขณะมองผลงานตัวเอง (ปากบอกปฏิเสธ แต่มือมัน...)
“แต่คนนี้ท่าทางจะรอไม่ไหวแล้ว” เขาดึงขอบกางเกงบ็อกเซอร์ลง
เผยให้เห็น ‘ฟ้าประทาน’ ที่ดีดตัวต้านแรงโน้มถ่วงขึ้นมาอวดศักดาให้พ่อมันได้ภูมิใจ
(...รู้สึกเจ็บใจยังไงไม่รู้แฮะ)
“ไอ้หื่น..”
ผมพึมพำด่าไม่เต็มเสียง
“ไม่ได้ใหญ่ขึ้นแค่ตัวใช่ไหม?”
ฟ้าพูดยิ้มๆ เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
“แค่นี้มาทำคุย” เบะปากพร้อมทั้งชูนิ้วก้อยด้วย(ฮา..)
(เรื่องอะไรจะยอม นี่มันเกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีเชียวนะ!)
แต่ก็จริงที่ฟ้าดูเหมือนจะตัวใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับผม(ผมอุตส่าห์คิดว่าตัวเองมีกล้ามเนื้อขึ้นมาบ้างแล้วเชียว
งี้ความฝันที่อยากจะเป็นฝ่ายกดเขาลงบ้างก็ยิ่งห่างไกลออกไปอีกสิ.. ปัดโธ่) ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ตัวสูงกว่าผมมากนัก(ผมสูง
1.85 ม. ฟ้าก็คงประมาณ 1.87-1.90 ม. ไม่เกินนี้) แต่ร่างกายดูกำยำสมส่วน
ไม่ใช่แค่สูงโปร่งอย่างเมื่อก่อน อาจจะด้วยวัย(เจอกันครั้งแรกเขาอายุ 19 ตอนนี้ 24 แล้ว) บวกกับการเทรนร่างกายอย่างสม่ำเสมอ(ผมเดาว่างั้นนะ)
พนันเลยว่าภายใต้เสื้อยืดแขนยาวตัวโคร่งนั่นต้องเต็มไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่นที่...
เดี๋ยวสิ! คิดอะไรของผมเนี่ย!?
“ก็ดีใจอยู่หรอกที่ซันนี่ชอบกล้ามท้อง”
มือ(ไม่รักดี)ของผมถูกย้ายจากหน้าท้องแข็งปั๋งของฟ้าลงล่างไปหาบางสิ่งบางอย่างที่แข็งไม่แพ้กันแทน “...แต่ตอนนี้ช่วยเอ็นดูหมอนี่ก่อนได้เปล่า?”
ผมเม้มปากมองมือตัวเองที่กำลังกำรอบสิ่งนั้นอยู่ “...หน้าไม่อาย”
“น่ารัก” อีกฝ่ายก้มมาขบเม้มใบหูผม
“ใครเขาชมผู้ชายอายุ 25 ว่าน่ารักกันบ้าง”
“ต่อให้ซันนี่อายุ 60 ก็ยังจะบอกว่าน่ารักดีอยู่”
“ไปหัดพูดมาจากไหนเนี่ย...” ผมได้รับจูบที่หวานไม่แพ้คำพูดแทนคำตอบ
“อืมม.. ออกแรงหน่อยสิ”
ยิ่งเวลาผ่านไปก็เหมือนอุณหภูมิในห้องจะยิ่งสูงขึ้น...
เสียงลมหายใจแรงขึ้น... ถี่กระชั้นมากขึ้น... แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ
“รีบๆ แตกสักทีสิ” ผมเริ่มล้าแขน
ปากผมก็เริ่มช้ำเพราะถูกเขาจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่สำคัญ...
ผมเริ่มรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมาซะแล้วสิ
“อ๊ะ!” ผมหลุดปากครางเบาๆ
ตอนที่เขาเอามือมาจับเป้าผม
“หลบทำไม?” ฟ้าเลิกคิ้ว
แล้วยื่นมือมาอีก “เอาออกมาเหอะน่า”
“ไม่! มึงนั่นแหล่ะรีบๆ แตกซะ จะได้ไปทำธุระสักที”
ฟ้าเงียบไป เขามองหน้าผมเหมือนกำลังคิดบางอย่าง (โกรธหรือเปล่านะ?)
“ไม่แตกหรอก”
“ห๊ะ?”
“ทำแบบนี้ต่อไปไม่เสร็จแน่”
เขาบอกเรียบๆ (กำลังโกรธหรือเปล่าเนี่ย?)
ผมกำลังจะโวยว่า ‘แล้วจะให้ทำยังไง’ แต่เขาเอามือมาแตะที่ปากผมก่อน
นิ้วโป้งของเขากดริมฝีปากล่างผมให้เปิดออก ก่อนจะสอดผ่านฟันเข้ามา
แล้วดึงลิ้นผมออกไป ผมคว้าข้อมือเขาไว้ แล้วไล้เลียตั้งแต่นิ้วโป้งลงมาถึงจุดชีพจร
“โกรธเหรอ?” ผมช้อนตาขึ้นมอง
“ทำไมต้องโกรธ?”
“ก็.. จู่ๆ ก็เงียบไป”
“ไม่เคยโกรธหรอก”
ฟ้าโน้มหน้าเข้ามาใกล้ สอดนิ้วโป้งเข้ามาในปากผมอีกครั้งพร้อมกับปลายลิ้นชื้นของเขา
ก่อนผละออกแล้วแสดงความต้องการออกมาทางสายตา
“...ได้ไหม?”
ผมจูบนิ้วโป้งเขา แล้วคุกเข่าลงแทนคำตอบ...
“เอิกกก~”
ผมเดินเข้ามาในห้องพักก็ได้ยินเสียงเรอดังสั่นของซินเซียร์ก่อน
ส่วนตัวมัน
กึ่งนั่งกึ่งนอนผึ่งท้องอยู่บนโซฟาตัวเดี่ยว
มีกล่องพิซซ่า(ถาดขนาดครึ่งเมตร)ว่างเปล่าสองกล่องวางอยู่บนโต๊ะ มียูรินั่งอยู่ที่โซฟาตัวยาวและกำลังกินพิซซ่าชิ้นสุดท้ายอยู่
ส่วนสองแสบชิพกับเดลนอนกอดขวดนมหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง
“อ้าว ซันชายน์ มาช้านะ พิซซ่าหมดแล้วล่ะ”
ยูริเป็นคนแรกที่ทักผม ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่มีปัญหา(ก็ไม่ค่อยอยากกินอยู่แล้วล่ะ)
ส่วนซินทำแค่เหลือบตามองผ่านๆ แล้วขยับตัวอย่างเกียจคร้าน
“ไปกินอะไรมาเหรอ?”
หือ? ผมเลิกคิ้วมองคนตั้งคำถาม
“ก็เห็นซินบอกว่ามึงไปหาอะไรอุ่นๆ กิน ยังสงสัยอยู่เลยว่าพิซซ่านี่อุ่นไม่พออีกเหรอ
หรือจะรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยอยากกินอะไรที่คล่องคอ? ..หน้าก็แดงๆ อยู่นะ”
อะไร...อุ่นๆ....คล่องคอ...
ผมหันไปมองซินที่กำลังมองมาทางนี้พอนี้พร้อมกับรอยยิ้มชั่วๆ ของมัน
“อ๊ะ! หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมอีก? เฮ้ย! ซันมันทรุดลงไปแล้ว
ซิน!”
ยูริก้าวข้ามโต๊ะอย่างลนลานเพื่อมาดูอาการผม ส่วนซินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ทำเอายูริชักไม่แน่ใจว่าควรจะไปดูอาการใครก่อนดี
“ไหวเปล่า? ให้ไปตามแฟนให้ไหม?”
หมอนั่นเลือกมานั่งยองๆ ดูอาการผม แต่ผมโบกมือว่าไม่เป็นไร
ให้มันถอยกลับไป แต่มันกลับมาทำจมูกฟุดฟิดๆ ใกล้ๆ เหมือนกับว่าได้กลิ่นอะไรสักอย่าง
“เหมือนตัวมึงมีกลิ่นแปลกๆ นะ อย่างกับกลิ่น...” มันทำหน้านึก
แต่ยังนึกไม่ทันออกก็สังเกตเห็นอะไรเข้าอีก(ช่างสังเกตฉิบ!) “อ๊ะ มีอะไรติดผมด้วย?”
ผมตาโต จะอะไรไม่รู้แหล่ะ
แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือสักนิดเดียว ผมจะยกมือห้าม แต่ไอ้ยูแม่งเสือกยื่นมือมารูดมันออกไปจากผมผมแล้ว
“หืม โจ๊กเหรอ.. ที่แท้ก็ไปกินโจ๊กมานี่เอง ฮ่ะๆๆ ....เอ๊ะ? ..อา..
ฮ่ะ ฮ่ะ ..ฮ่ะ”
มันยังอุตส่าห์ฝืนหัวเราะต่อแบบเฝือนๆ ทั้งที่หน้าเปลี่ยนไปเป็นสีแดงแปร๊ดเพราะรู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งที่ติดอยู่บนนิ้วมันไม่ใช่
โจ๊ก!! ไอ้....โอ๊ยยย
“ไปตายซะ! ไอ้หัวโล้น!”
“.......”
ไอ้ซื้อบื้อยูดูอึ้งหนักมาก
ผมยกนิ้วกลางแถมให้มันอีกทีทั้งที่หัวหูคงจะแดงเถือกไปหมดแล้ว ตัวก็ร้อนผ่าวเหมือนใกล้จะระเบิดเต็มทน
ผมรีบลุกไปรื้อกระเป๋าเดินทาง คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็รีบเดินเข้าห้องน้ำ รีบปิดประตู รีบล็อก...
แล้วทรุดนั่งซบหน้ากับฝ่ามืออยู่ตรงนั้นเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงหัวเราะปีศาจของซินยังคงหลอกหลอนผมต่อไปอีกหลายนาที
“นานชะมัด”
ซินดีดตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นผมเดินออกจากห้องน้ำหลังใช้เวลาหมกตัวอยู่ในนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง “นึกว่าจะอยู่ในนั้นตลอดชีวิตซะอีก”
“มีอะไร?” ผมถามห้วนๆ พลางหาเสื้อผ้าใส่
“ไปเดินเล่นกันไหม?”
ผมหันไปมองคนชวน ไม่แน่ใจว่าคราวนี้มันจะมาไม้ไหนอีก แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขัดก่อน
แล้วยูริก็เดินเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ
หมอนั่นชะงักไปเล็กน้อยตอนที่เห็นผม
แต่ก็ตัดสินใจทำตัวให้เป็นปกติ(แต่ก็ยังไม่สบตาผมตรงๆ
ซึ่งผมก็ไม่ต้องการจะสบตากับมันเหมือนกัน)
“คุณซอลบอกว่าจะมาถึงที่นี่ช่วงเย็นๆ น่ะ”
ข่าวของซอลลี่ไม่ได้มีผลอะไรต่อผมหรือซินมากนัก
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ พวกเราไม่สนใจหรอกว่าหมอนั่นจะมาหรือจะไป และที่ซอลลี่จะมาที่นี่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมด้วย
หมอนั่นมาอิตาลีเพราะมีงานถ่ายแบบที่มิลาน แล้วที่เขาเดินทางต่อมายังเนเปิลส์ก็เพราะได้รับเชิญจาก
‘มาดามแบร์ลุสโคนี’ ให้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดของเธอในคืนนี้(ซอลลี่เป็นเพื่อนกับพี่ชาย(ต่างแม่)ของฟ้า
เลยดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับแม่ของเพื่อนไปด้วย
ผมก็เพิ่งรู้นี่แหล่ะว่าสนิทกันขนาดนี้)
หลังเสร็จจากธุระที่นี่ ซอลลี่มีแผนจะพาครอบครัวสุขสันต์ของเขาไปเที่ยวเกาะซิซิลีกันต่อ
เพราะแบบนั้น เมื่อเช้ายูริกับลูกถึงได้เดินทางมาพร้อมพวกผมไงล่ะ
จะว่าไป.. ผมเพิ่งจะสังเกตแฮะ ว่าชิพกับเดลไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว
สงสัยจะถูกย้ายไปนอนห้องที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้ซอลลี่ล่ะมั้ง
พูดถึงห้องพัก ผมก็เพิ่งสังเกต(อีกแล้ว)ว่าห้องนี้ตกแต่งด้วยสไตล์บาโรค
เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ก็เน้นสีทองชมพู ครีม และเทา ดูหรูหราหวานจ๋อยอย่างกับห้องนอนของเจ้าหญิงในเทพนิยายแน่ะ
สงสัยจริงๆ ว่าใครมันเป็นคนเลือกห้องนี้ให้พวกผม
หรือพวกเขาใช้ห้องนี้เป็นห้องรับรองแขกเป็นปกติอยู่แล้ว?
แล้วเคยคิดถึงหัวอกของแขกที่เป็นเพศชายวัยฉกรรจ์บ้างไหม? ถามจริง?
แต่ถ้าไม่นับการตกแต่งที่หวานแหววไม่เกรงใจแขกแล้ว
ห้องนี้ก็ถือเป็นห้องที่อยู่ในทำเลดีสุดๆ เพราะเป็นห้องใหญ่สุดทางเดินบนชั้นสองของปีกตึกฝั่งตะวันตก
มีระเบียงกว้างยื่นออกไปด้านหลังไว้ให้นั่งชมนอนชมทัศนียภาพของอ่าวเนเปิลส์กับภูเขาไฟวิสุเวียสแบบพาโนรามาเลยเชียวล่ะ
ยิ่งตอนตะวันใกล้ตกคงจะยิ่งสวยสุดๆ
“แล้วจะไปซิซิลีกันวันไหนอ่ะ?”
ซินถามแบบขอไปที
“พรุ่งนี้.. หรือมะรืนมั้ง ไม่รู้สิ แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์มาถึงเนเปิลส์แล้วทั้งทีก็อยากจะลองไปเที่ยวแถวๆ
นี้ดูเหมือนกัน... อย่างซากเมืองอีปอมปอมอะไรนั่นไง”
“ปอมเปอี... แต่เห็นว่าที่นั่นทั้งกว้างทั้งโล่ง แทบไม่มีต้นไม้ให้หลบแดดเลยเลย
คงไม่เหมาะจะพาเด็กเล็กไปเดินหรอกมั้ง ยิ่งอากาศร้อนๆ แบบนี้ด้วย”
ผมบอกตามที่หาข้อมูลมา ก็นะ ถึงจะไม่เคยมามาก่อน
แต่จะให้มาโดยไม่รู้สี่รู้แปดอะไรเลยได้ยังไงล่ะ มันก็ต้องมีสืบค้นกันบ้าง
ที่ไหนน่าเที่ยว อะไรน่ากิน ผมไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนไอ้โล้นยูรินี่นา (จริงๆ
แล้วมันตัดสกินเฮด)
“อ่า.. งั้นหรอกเหรอ?”
เออ ไอ้เซ่อ อีปอมปอมพ่อง...
ผมแอบด่าในใจ(ยังเคืองเรื่องเมื่อกี๊ไม่หาย)
“ไปซอร์เรนโตกับคาปรีดิ ได้ยินว่าไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่” ซินแนะนำ
“เกาะคาปรีเหรอ? แต่เดี๋ยวก็จะไปเกาะซิซิลีอยู่แล้วอ่ะ”
“ถ้าคิดว่าเกาะไหนๆ ก็เหมือนกัน มึงจะออกมาจากลอนดอนทำไม” ผมว่า
ยังไงก็อยู่บนเกาะอยู่แล้วนี่ จะต้องไปเที่ยวเกาะอื่นอีกทำไมล่ะ
ไอ้เซ่อ...
“ซัน...”
“อะไร?”
ผมใส่เสื้อเสร็จพอดีเลยหันไปมอง ก็เห็นมันจ้องผมตาปริบๆ อยู่
“มึงยังโกรธกูอยู่เหรอ?”
แฟรชแบคผุดขึ้นในหัวผมทันทีที่ถูกสะกิด... ฮืมมม
แต่หน้าตาซื่อๆ เซ่อๆ ของคนถามก็ทำเอาผมหมดอารมณ์จะโกรธ
“กูจะโกรธตลอดชีวิต ถ้ามึงยังจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก” ผมยื่นคำขาด
ยูริยกมือปิดปากตัวเองเป็นอันว่าเข้าใจตรงกัน
เช่นเดียวกับซินเซียร์... แต่รายนั้นปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะมากกว่า
กวนส้นตีนจริงๆ !!
ฮึ่ม! ผมจะต้องเอาคืน! ผมต้องเอาคืนเรื่องนี้กับมันสักวันแน่ๆ
ที่วันนี้ผมต้องอับอายกลายเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์มืดในชีวิตก็เพราะมันนี่ล่ะ! ถ้ามันไม่ป้อนข้อมูลแปลกๆ ให้ไอ้ยู ไอ้นั่นก็คงจะไม่มาสนใจผม แล้วผมก็คงจะไม่ต้องถูกจับได้ว่าไปทำอะไรกับใครมา
ฟ้าก็อีกคน! ทั้งที่ผมอุตส่าห์ใจดียอมตามใจมันเกือบทุกอย่าง
อยากให้จูบก็จูบ อยากให้จับก็จับ อยากให้ใช้ปากก็.. นะ! ผมทำให้! แต่พอเสร็จสมใจอยากแล้วเสือกปล่อยใส่หน้าผมอีก ทั้งที่บอกแล้วว่า อย่าทำ!
ฮึ่มม ทั้งเอี้ยฟ้า เอี้ยซิน!
ไม่ว่าหน้าไหนๆ แม่งก็ดีแต่กวนให้ผมประสาทเสียได้ทั้งนั้น!
“อ้าว แล้วจะไปไหนน่ะ?”
ผมเดินผ่านยูริออกมาที่ประตู
“...เดินเล่น”
ถึงไม่ได้หันกลับไปมอง ผมก็รู้ว่ามีซินที่ยิ้มร่าวิ่งตามหลังมา
“รอพี่ด้วย~!”
สถาปัตยกรรมงดงาม ดอกไม้แสนสวย ต้นไม้ร่มรื่นย์...
สภาพแวดดล้อมของคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีช่วยขัดกล่อมจิตใจที่ขุ่นมัวของผมให้สดใสขึ้นได้ไม่ยาก
ผมเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่ราวกับหลุดเข้าไปในอดีต
ช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคเรอเนซองส์ในศตวรรษที่ 14-15 ก็ไม่ปาน
ผมเดินกินลมชมวิวมาเรื่อยตามทางเดินโปร่งโล่งของใต้ถุนปีกตึกฝั่งตะวันตก
แม้อากาศข้างนอกจะค่อนข้างร้อน แต่ลมที่พัดมาเฉื่อยๆ
ตลอดเวลาก็ช่วยปัดเป่าความร้อนนั้นไปได้บ้าง
ผมเห็นทางเดินของปีกตึกฝั่งตะวันออกนั้นต่างจากฝั่งนี้ตรงที่ไม่ได้เปิดโล่ง แต่ปิดทึบแล้วติดหน้าต่างตลอดทางแทน
ปีกทั้งสองฝั่งมีความสูงสองชั้น ส่วนตึกใหญ่ด้านหน้าซึ่งเป็นตึกหลักมีอยู่สามชั้น ฟ้าบอกผมว่าเขาพักอยู่บนนั้น
ญาติของเขาส่วนใหญ่ก็อยู่ที่นั่น ยกเว้นแม่เลี้ยงของเขา ‘มาดามวาเนสซา
แบร์ลุสโคนี’ กับน้องสาวของเขา
‘มาริเนต แบร์ลุสโคนี’ ที่พักอยู่บนปีกตะวันออก
ตอนนี้ที่ตึกใหญ่มีคนเดินเข้าเดินออกดูวุ่นวายพอสมควร คงจะกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับค่ำคืนนี้
ถึงไม่เกี่ยวข้องโดยตรงแต่ผมเองก็ได้รับเชิญเหมือนกัน ในฐานะแขกของฟ้าประทานน่ะ
ผมเตรียมสูทอย่างหล่อมาด้วยล่ะ ฮ่ะๆๆ ไม่รู้ว่างานเลี้ยงในคฤหาสน์หลังนี้จะเป็นแบบไหนนะ
ชักจะตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ แล้วสิ
“เออ รักเหมือนกัน รีบไปทำงานเหอะ ...คร้าบๆ ไม่ซนหรอก โอเค~ เจอกัน”
ผมเหลือบมองคนที่เดินตามมา
เห็นมันถือโทรศัพท์ไว้ในมือเลยนึกถึงโทรศัพท์ที่หายไปของตัวเองได้
อีกฝ่ายคงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรก็เลยไหวไหล่เล็กๆ
“ยังไม่มีใครติดต่อกลับมาเลย”
ซินรายงานผล
ก่อนหน้านี้ผมใช้แอพพลิเคชั่นตามหาโทรศัพท์ที่หายไปโดยสั่งงานผ่านทางเครื่องของซิน
ข้อมูลแสดงการออนไลน์ครั้งสุดท้ายของเครื่องผมที่สนามบินเนเปิลส์
หลังจากนั้นก็ออฟไลน์อยู่ตลอด หลังสั่งล็อคข้อมูลทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย ผมก็ส่งข้อความไปขึ้นที่หน้าจอเครื่องนั้นว่าผมต้องการโทรศัพท์คืน
พร้อมทั้งให้เบอร์ติดต่อกลับ(เบอร์ซิน) แต่จนป่านนี้ก็ยังเงียบกริบ ไร้วี่แวว...
แต่ถ้าอีกฝ่ายจงใจขโมยมันไป ก็คงไม่มีทางติดต่อกลับมาอยู่แล้วล่ะนะ
“แย่ชะมัด...”
ผมยืนมองน้ำพุขนาดใหญ่ตรงหน้า ซึ่งตั้งอยู่บนลานกว้างระหว่างตึกทั้งสามของแบร์ลุสโคนี
ใจกลางน้ำพุมีรูปปั้นของเทพเนปจูนหรือโปไซดอนยืนเสื้อผ้าไม่ใส่ อวดความเกรียงไกรอยู่บนรถม้าคู่กาย
ด้านล่างรายล้อมไปด้วยเหล่าไซเรนสาวในอิริยาบถต่างๆ
ดูแล้วเหมือนจะเก่าแก่กว่าตัวคฤหาสน์เสียอีก
บางทีน้ำพุนี่อาจจะเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากยุคเรอเนซองส์ สมัยที่คฤหาสน์หลังเก่าเพิ่งถูกสร้างขึ้นก็ได้
ท่าทางจะถูกดูแลอย่างดีเลยด้วย สวยจริงแฮะ
“กูสงสัยมานานแล้วว่าทำไมรูปปั้นโบราณพวกนี้ถึงมีจู๋เล็กกันจังวะ?”
คำถามของซินทำเอาผมที่กำลังดื่มด่ำกับศิลปะเกือบสำลักน้ำลาย
“เห็นที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน หรือว่าคนโบราณเขาจะมีอยู่แค่นี้จริงๆ?”
ถามกู แล้วกูจะไปถามใคร? ...ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก
“เหมือนเคยได้ยินมาว่ารูปร่างแบบนั้นเป็นรูปร่างในอุดมคติของคนในยุคนั้นน่ะ
ก็เหมือนที่รูปปั้นของผู้หญิงมีแต่อวบๆ นั่นแหล่ะ” อันนี้ความรู้ล้วนๆ
“ผู้ชายชอบผู้หญิงอวบๆ กูเข้าใจนะ มันเต็มไม้เต็มมือดี
โดยเฉพาะตรงนี้...”
ซินทำมือขยำๆ อากาศตรงหน้าอกตัวเองตามประสาพวกบ้านม
“แต่คิดได้ยังไงว่าผู้หญิงจะคลั่งไคล้ผู้ชายจู๋เล็ก?”
ลีลาก็สำคัญนะ ซินเซียร์... ผมเกือบจะหลุดปากไปแล้วเชียว
แต่นึกได้ว่าบทสนทนามันชักจะติดเรทมากขึ้นทุกที เลยยั้งปากไว้ก่อน
“ไม่เห็นจะเข้าใจ...”
แต่พี่ผมดูจะยังกลัดกลุ้มไม่เลิก
ที่จริงผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน... ไม่เข้าใจว่ามันจะคิดเป็นจริงเป็นจังอะไรนักหนากับเรื่องพรรค์นี้
มึงไม่ไปขอทุนรัฐบาลทำวิจัยเลยล่ะ กานต์ระพี?
“คงเพราะผู้หญิงสมัยก่อนเขาชอบไซส์ที่เป็นมิตรล่ะมั้งครับ”
อ่อ งี้นี่เอง...
“เฮ้ย!!?”
ผมเผลอแหกปากตอนที่จู่ๆ ก็มีบุคคลที่สามโผล่มาจากข้างหลังแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง
เกือบหัวใจวายแน่ะ มาจากไหนของเขาเนี่ย!? บ้าจริง
“โอะยะๆ มันตกใจนะครับ ซันจัง”
ผู้มาใหม่ลูบอกตัวเองอย่างขวัญเสีย
“ผมสิที่ต้องพูดแบบนั้น!” ผมแหวกลับ
“ไซส์ที่เป็นมิตร...”
ซินหัวเราะคิกคักคนเดียว ไม่ได้สนใจสถานการณ์เล้ยย
“ยังดุดันเหมือนเดิมเลยนะครับ ซัน-นี่จัง~” วิธีการพูดและท่าทางแบบนั้นของเขาก็ยังกวนประสาทผมได้เหมือนเดิมเหมือนกัน
‘เคอิ ทานิซาวะ’ คือชื่อของชายชาวญี่ปุ่นที่ไม่สามารถคาดเดาอายุได้คนนี้
เขาเป็นศัลยแพทย์มือดีที่ทำงานให้กับตระกูลแบร์ลุสโคนีมานานหลายปี ข้อมูลที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเขาก็มีเท่านี้
เมื่อสี่ปีที่แล้วเขาเคยเป็นหมออยู่ที่ไทย และเคยช่วยชีวิต ซินซึ่งประสบอุบัติเหตุจนบาดเจ็บสาหัสให้รอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ก่อนที่เขาจะกลับมาอิตาลีพร้อมกับฟ้าที่ถูกเรียกตัว
และมานะที่ตอนนั้นยังนอนเป็นเจ้าชายนิทรา
แต่ถึงจะรู้ว่าเขาทำงานให้แบร์ลุสโคนี ไอ้เรื่องที่บังเอิญมาเจอกันในที่แบบนี้ก็ยังอยู่เหนือความคาดหมายของผมอยู่ดี
(เอาจริงๆ คือผมแอบลืมเขาไปแล้วนะเนี่ย)
“อย่าเปลี่ยนชื่อคนอื่นตามใจชอบจะได้ไหม?”
ผมท้วงอย่างไม่ชอบใจ
ปกติผมไม่ชอบให้คนอื่นนอกจากครอบครัวมาเรียกว่า ‘ซันนี่’ อยู่แล้ว แล้วนี่ยังมาเติมจงเติมจังให้มันฟังมุ้งมิ้งเข้าไปอีก
ผมเกลียดดด!
“ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยนี่นา แค่เติมเข้าไปเฉยๆ” เขาเถียงข้างๆ คูๆ
“ไม่ต้องเติม! แล้วก็ช่วยเลิกเรียกว่า ‘ซันนี่’ ด้วย”
“แต่คุณชื่อ ‘ซันนี่’ นี่นา”
“ผมชื่อ ‘ซันชายน์’ !”
“อ๋อ ผมจำได้แล้ว คุณชื่อ ‘ตะวันฉาย’ นี่นา”
“คุณฟังที่คนอื่นพูดบ้างหรือเปล่าเนี่ย หมอ?”
ผมเริ่มเหนื่อยใจที่เห็นอีกฝ่ายคล้ายจะไม่ได้ยินคำพูดของผมเลย นี่เสียงผมส่งไปไม่ถึงเขาหรือไง?
“อืมม ซันนี่... ซันจัง... ซันชายน์... ตะวันฉาย.. อ๊ะ นั่นไงล่ะ!”
หมอเคอิดีดนิ้วดีใจราวกับว่านึกอะไรดีๆ ออก
แต่สัญชาตญาณของผมมันบอกว่าไม่มีทางที่ ‘อะไรดีๆ’ จะออกมาจากสมองเพี้ยนๆ
ของผู้ชายคนนี้แน่
“ฮิเดโกะ!”
“ห๊ะ!?” ผมอ้าปากค้างแบบงงๆ
“ฮิเดโกะ ตะวันฉาย ความหมายเดียวกัน แต่ ‘ฮิเดโกะ’ จะออกเสียงง่ายสำหรับนิฮงอย่างผมมากกว่า” เขาอธิบายเจื้อยแจ้วราวกับเป็นครูสอนภาษา
ผมกระชากเนคไทลายโพลก้าดอทสีเหลืองของเขาเข้ามาปรับทัศนคติใกล้ๆ
“ฟังนะ ผมไม่สนใจว่าคุณจะเป็นนิฮงหรือโฮ่งๆ อะไรทั้งนั้น
แล้วก็ไม่สนด้วยว่าคุณจะได้รับความลำบากจากการเรียกชื่อของผมยังไง แต่ผมชื่อ ‘ซันชายน์’ และผมต้องการให้คุณเรียกแค่ ‘ซันชายน์’ เท่านั้น ...เข้าใจหรือเปล่า เซนเซย์?”
“ฮ่ะๆๆ น่ากัวจุงเบย เข้าใจแล้วครับๆ ปล่อยผมไปเถอะ”
หมอยกมือทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ แต่แค่ฟังน้ำเสียงใครก็บอกได้ว่าเขาไม่ได้กลัวอย่างที่พูดหรอก
แต่ผมก็ยอมปล่อยเขาไปเพราะได้ระบายความในใจแล้ว
“แหม เด็กหนุ่มสมัยนี้อันตรายกันจริงเชียว”
เขาพึมพำอะไรสักอย่างขณะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แต่ผมได้ยินไม่ถนัด
“อ๊ะ จริงสิ กำลังผมรีบนี่นา เกือบสายแล้ว~”
เขามองนาฬิกาข้อมือแล้วก็รีบร้อนเดินลัดสนามออกไปทางตึกใหญ่ แต่พอไปได้ไกลหลายก้าวแล้วเขาก็หยุด
หันกลับมาโบกมือให้ผมกับซินอย่างเป็นมิตร แต่คำพูดที่เขาตะโกนกลับมานี่สิ... ผมไม่อยากผูกมิตรด้วยเลยจริงๆ
“เอาไว้ค่อยคุยกันใหม่น้า~ ฮิเดโกะจัง~ โอนิซังด้วย!”
“.......”
ฮึ่มมม ผมอยากจะฆ่ามันเหลือเกินนนน
“โอนิซัง”
หือ.. ผมหันไปมองซินที่เหมือนกำลังครุ่นคิดติดใจอะไรสักอย่าง
แต่แล้วมันก็เงยหน้าขึ้น ตาเป็นประกาย มันยกสองมือเท้าเอว ยืดอก ท่าทางดูภูมิใจพิลึก
“ไม่อ่ะ เท่ๆ อย่างกูต้อง โอนิซามะ! ...สิ หรือมึงว่าไง ซันนี่?”
“.......”
เอาที่มึงสบายใจแล้วกัน...
“วู้วววววว~”
ผมยืนมองซินเซียร์วิ่งไล่นกนางนวลบนชายหาดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง
ถึงจะอาศัยอยู่บนเกาะ(อังกฤษ)แต่ก็นานแล้วที่ได้มีโอกาสมาทะเลแบบนี้ ถึงจะไม่ใช่หาดที่สวยอะไร
มีแค่ทรายกับโขดหินให้ชื่นชม แต่ได้เดินเปลือยเท้าบนพื้นทรายนุ่มๆ
ท่ามกลางเสียงลมเสียงคลื่น แค่นี้ก็ถือว่าชีวิตได้รีชาร์จแล้วล่ะ
ฮ้า~ สดชื่นจริงๆ ถึงแดดจะแรงไปนิดก็เถอะ
โชคดีที่ติดแว่นกันแดดมา
ตอนนี้พวกเราอยู่ที่หาดร้างหลังคฤหาสน์แบร์ลุสโคนี ที่บอกว่า ‘ร้าง’ ก็เพราะเป็นชายหาดที่อยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตระกูลแบร์ลุสโคนี
จึงไม่มีบุคคลทั่วไปเข้ามายุ่มย่าม และแม้แต่สมาชิกในตระกูลเองก็ไม่ค่อยมีใครชอบมาเดินแถวนี้เหมือนกัน
หาดก็เลยเงียบเหงาราวกับหาดร้างอย่างที่เห็น
ข้อมูลพวกนี้ผมได้มาจากลุงแก่ๆ คนหนึ่ง แกเป็นคนสวน พวกผมเจอแกกำลังนั่งแต่งพุ่มต้นไฮเดรนเยียร์ระหว่างเดินเล่นอยู่ในสวน
ซินเข้าไปช่วยแกอยู่พักหนึ่งตามประสาคนที่สนใจเรื่องดอกไม้เหมือนกัน
เลยคุยกันถูกคอ(หลังเข้าทำงานในบริษัทของมาร์ตินมาได้สองปี
ตอนนี้ซินกลายเป็นกูรูเรื่องดอกไม้ไปแล้ว) แล้วลุงแกก็เล่าเรื่องที่ว่ามีหาดแห่งนี้ซ่อนอยู่หลังคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีให้ฟัง
ซึ่งจากตัวคฤหาสน์มองลงมาจะไม่เห็น พร้อมบอกทางมาให้เสร็จสรรพ แถมตำนาน ‘ไซเรน’ สัตว์ประหลาดริมฝั่งทะเลที่คนท้องถิ่นแถวนี้เล่าต่อๆ
กันมาให้อีกเรื่อง (ที่จริงซินไม่เข้าใจภาษาอิตาเลียนที่ลุงแกพูดหรอก
ผมเป็นคนคอยแปลให้มันฟังเองแหล่ะ)
“มึงเชื่อเรื่องไซเรนไหม ซันนี่?” ซินหันมาชวนผมคุย
“ก็แค่เรื่องเล่าปรัมปราเหมือนเรื่องเงือกนั่นแหล่ะ”
“อ้าว แล้วไซเรนกับเงือกไม่เหมือนกันเหรอ?”
“เงือกเป็นปรัมปราที่เล่ากันทั่วไปแทบทุกมุมโลก ที่ว่ากันว่ามีหัวเป็นคน
มีหางเป็นปลา จุดเด่นคือมีหน้าตาสวยงาม ใช่ไหมล่ะ? แต่ไซเรนมาจากปรัมปรากรีก
ว่ากันว่าเป็นครึ่งคนครึ่งนกทะเล แต่ก็มีบางตำราที่ว่ามีหางเป็นปลาคล้ายเงือก
เหมือนรูปปั้นตรงน้ำพุเมื่อกี๊ไง แต่จุดเด่นของไซเรนจะอยู่ที่เสียงอันไพเราะ
ใช้เสียงล่อลวงกะลาสีเรือให้เดินเรือออกนอกเส้นทาง ไปที่เกาะของพวกนาง
แล้วก็จับกิน”
“อ่อ ไม่ใช่ลากลงไปกินในน้ำเหมือนนางเงือกสินะ”
ลากลงไปกินในน้ำเหรอ... ฟังเหมือนจะเป็นตัวอื่นมากกว่าเงือกนะนั่น
“เฮ้ เต่า! ซันนี่ เต่าล่ะ!”
ผมเดินไปตรงจุดที่ซินอยู่ เห็นเต่าตัวเล็กๆ
กำลังตะเกียกตะกายต่อสู้กับคลื่นเพื่อกลับลงทะเล สงสัยจะถูกพัดขึ้นฝั่งมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
“ตัวเล็กจัง...”
ผมก้มลงไปดูใกล้ๆ พอคลื่นซัดเข้าฝั่ง
เต่าน้อยตัวนั้นก็ถูกน้ำพัดกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ...จะรอดไหมเนี่ย?
“ ? ” ผมรู้สึกว่าซินเงียบเกินไป
มันไม่ได้อยู่แถวนี้เหรอ?
พอลองมองหาก็เห็นมันกลับขึ้นไปยืนอยู่บนที่แห้ง ถอดเสื้อออกแล้ว
กำลังจะถอดกางเกง พอเห็นผมมองมันก็ยิ้มยิงฟันให้
“กูจะไปส่งเต่า” มันวิ่งโทงๆ กลับมาโดยไม่ใส่อะไรเลย
เออ บ็อกเซอร์มันก็ถอดออก ช่างใจกล้าท้าแดดท้าลมเหลือเกิน พี่ผม
ซินหยิบเต่าน้อยวางบนฝ่ามือ แล้วเดินลงทะเลไปตรงจุดที่น้ำลึกระดับเอว
“เฮ้!”
ผมเรียกหลังเห็นซินปล่อยเต่าไปแล้ว
“หา?” ซินหันกลับมา
“ไม่กลัวเต่ากัดจู๋เหรอ?”
“จริงดิ!?” ซินตกใจ
รีบเอามือกุมของรักตัวเองไว้อย่างหวงแหน
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ผมหัวเราะชอบใจที่แกล้งอีกฝ่ายได้บ้าง
“แกล้งพี่เหรอ?”
ซินเดินกลับขึ้นมา
ผมรู้เลยว่ามันต้องการทำอะไร ผมเตรียมเผ่น แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี
ซินตามมาคว้าข้อมือผมได้ก็พยายามจะลากลงทะเล ผมก็พยายามขืนตัวเอาไว้สุดแรง
“ม่ายยย~ เชี่ยซิน กูเพิ่งอาบน้ำมา กูไม่อยากเปียก ปล่อยกูน้า~”
“ฮ่าๆๆ กูไม่ปล่อย”
มันตั้งหน้าตั้งตาลากผมต่อไปด้วยใจอำมหิต
“ซินเซียร์~ น้องไม่เล่น ปล่อยเห๊อะ”
“ม่ายยย ฮ่าๆๆๆ”
“อย่างน้อยก็ให้กูได้ถอดเสื้อผ้าออกก่อน กูไม่อยากลงไปเปียกทั้งชุด”
พอรู้ว่ายังไงก็คงสู้แรงวัวแรงควายของซินไม่ไหว ผมเลยให้วิธีต่อรอง
และครั้งนี้ซินก็ยอมหยุด แต่มันเดินตามกลับขึ้นมาบนฝั่งด้วยกลัวว่าผมจะชิ่งหนี
ผมถอดเสื้อ ถอดกางเกง แล้วก็ลังเลว่าจะถอดบ็อกเซอร์ด้วยดีไหม หันกลับไปมองทางเดินลาดชันที่พวกเราใช้เป็นเส้นทางมายังที่นี่
ดูว่าจะมีใครคนอื่นผ่านมาไหม หาดแห่งนี้ถูกล้อมไว้ด้วยทะเลด้านหนึ่ง
ป่าไม้ด้านหนึ่ง และหน้าผาซึ่งมีคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีตั้งอยู่บนนั้นอีกด้านหนึ่ง
...คงจะปลอดภัยล่ะมั้ง
“ไม่มีใครมาหรอกน่า!”
ซินที่ยืนคุมอยู่ข้างหลังฉกรูดบ็อกเซอร์ผมลง แล้วยังจุ๊บก้นผมอีก
ก่อนจะเผ่นหนีลงทะเล พอเป็นแบบนั้นผมเลยสลัดบ็อกเซอร์ไปกองรวมกับเสื้อผ้า
แล้วรีบวิ่งตามไปเตะก้นมันคืน
ถ้าใครผ่านมาตอนนี้คงได้เห็นชีเปือยพิลึกสองตัววิ่งไล่กันล่ะ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ฮ้า~ น้ำทะเลสีเขียว ท้องฟ้าสีคราม
เสียงลม เสียงคลื่น เสียงนกทะเล นี่สินะ ที่เขาเรียกกันว่า ‘วันหยุดพักร้อน’ ..ผมนอนลอยตัวบนผิวน้ำอย่างปลอดโปร่งใจ
นี่เป็นการลาหยุดพักร้อนครั้งแรกในชีวิตการทำงานของผม(เพราะผมเพิ่งทำงานนี้ได้ปีกว่าๆ)
อันที่จริงแล้วผมเคยช่วยงานที่บริษัทซินอยู่ช่วงหนึ่ง
ก่อนจะมาเริ่มงานเป็นโปรแกรมเมอร์ในทีม Development
ของบริษัทผู้ผลิตเกมออนไลน์แห่งหนึ่งในลอนดอน ผมค่อนข้างชอบงานนี้นะ
เพื่อนร่วมงานก็ดี บอสก็ดี
บริษัทค่อนข้างให้อิสระแก่พนักงาน(ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกึ่งๆ ฟรีแลนซ์ด้วยซ้ำ)
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำไปอีกพักใหญ่ๆ แต่เรื่องของอนาคตใครจะบอกได้ล่ะ จริงไหม?
ว่าแต่... ซินหายไปไหนแล้วเนี่ย?
“.......”
คงอยู่แถวนี้ล่ะมั้ง ผมเองก็ลอยมาไกลแล้วเหมือนกัน กลับขึ้นฝั่งดีกว่า
หืม? ผมว่าผมได้ยินเสียงคนกำลังร้องเพลงนะ...
Come all you pretty fair maids, whoever you may be,
Who love a jolly sailor that ploughs the raging sea.~
นั่นไง มีคนกำลังร้องเพลงอยู่จริงๆ ด้วย
เสียงดังมาจากทางไหนล่ะ?
ซ้าย? หรือขวา?
While up aloft, in storm, from me his absence mourn,
And firmly pray, arrive the day, he never more to roam.~
ผมว่ายตามเสียงเพลงมาจนเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินลูกใหญ่สุดของบริเวณนั้น
ผมสีทองยาวประบ่าของเขาส่องประกายระยิบระยับล้อกับแสงตะวัน เขานั่งผินหน้ามองไปทางท้องทะเล
เหยียดขาข้างหนึ่ง ชันขาข้างหนึ่ง เสื้อเชิ้ตสีฟ้าเปียกๆ
ถูกถอดกองไว้ข้างลำตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม กางเกงผ้าสีครีมเปียกโชกแนบไปกับช่วงลำขายาว
ดูเหมือนว่าเขาเองก็เพิ่งว่ายน้ำมาที่นี่เหมือนกัน
My heart is pierced by Cupid, I disdain all glittering gold,
ผมแอบมองจากหินอีกก้อนที่อยู่ไม่ไกล คิดว่าเขาคงไม่ทันสังเกตเห็นผม
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หันมาทางนี้ ดวงตาสีทองของเขาเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
“There is
nothing can console me but my jolly...mermaid..?”
“คุณร้องท่อนสุดท้ายผิดนะ”
ผมทักเป็นภาษาอิตาเลียน
ถึงเขาจะร้องเพลงภาษาอังกฤษ
และสำเนียงของเขาก็ชัดเป๊ะราวกับเจ้าของภาษา แต่เมื่อเขามาอยู่ที่นี่
ผมก็คิด(เอาเอง)ว่าเขาน่าจะเป็นอิตาเลียนมากกว่า และไหนๆ เขาก็เห็นผมแล้ว
ผมจึงไม่คิดจะซ่อนตัวอีก
“หวัดดี” ผมว่ายเข้าไปเกาะหินก้อนที่เขาอยู่
เขารีบเปลี่ยนเป็นนั่งคุกเข่า เท้าแขนกับพื้นหิน ชะโงกมองผมด้วยสายตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ท่าทางตื่นๆ งงๆ ของเขาดูตลกชะมัด หรือเขาคิดว่าผมเป็นอะไรที่นอกเหนือไปจากคนหรือไง?
ฮ่ะๆๆ
“ซานนนนี่!!!! ซันนี่! อยู่ไหนน่ะ?”
ผมกำลังจะชวนคุยเลยว่าเขาเป็นใคร มาทำอะไรแถวนี้ แต่เสียงตะโกนเรียกหาของซินดังขึ่นมาซะก่อน
ผมเลยนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ฟังจากเสียงทางนั้นก็คงกำลังเป็นห่วงผมน่าดู
ผมจึงไม่มีเวลามาเสียกับคนแปลกหน้าอีก
“ซันนี่! อยู่หรือเปล่า? ตอบด้วย!! ซานนนนนี่!!!!”
ผมหันไปยิ้มให้คนบนโขดหินเป็นเชิงขอตัว
ก่อนจะว่ายกลับไปทางที่คิดว่าได้ยินเสียงของซิน พอพ้นโค้งน้ำผมก็เห็นซิน
หันกลับไปมองข้างหลังก็ไม่เห็นโขดหินที่ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่แล้ว
ท่าทางว่าผมจะออกไปไกลจากจุดเริ่มต้นจริงๆ
“ซันนี่! ซันนี่!!”
“มาแล้วๆ” ผมว่ายกลับเข้าฝั่ง
ซินใส่กางเกงแล้วแต่ยังไม่ได้ใส่เสื้อ อีกมือของมันถือเสื้อผ้าของผมไว้ด้วย
อ๊ะ แย่ล่ะ ตอนนี้ผมโป๊อยู่นี่หว่า งั้นตอนที่ผมหันหลังว่ายน้ำกลับมาผู้ชายคนนั้นเขาก็เห็นก้นผมหมดน่ะสิ?
หึยยย น่าอายชะมัด...
“ไปถึงไหนมา? กูก็กลัวว่าจะจมน้ำไปแล้วซะอีก ใจเสียหมด”
แต่เอาเถอะ คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วมั้ง ...หวังว่านะ
“โทษที... พอดีแช่น้ำเพลินไปหน่อย”
ผมรับเสื้อผ้าจากซิน พลางหันกลับไปมองทางที่เพิ่งจากมาอีก
“หือ ทางนั้นมีอะไรเหรอ?”
ซินชะโงกมองตามผม
“อืม...” ผมเริ่มแต่งตัว
ว่าแต่เขาเป็นใครกันนะ? สีผมกับสีตาแบบนั้นดูสวยจริงๆ
“ไซเรนน่ะ” ผมบอกซิน
โปรดติดตามตอนต่อไป.......