วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[นิยาย] MADAME MAFIA chapter 4.1







MADAME   MAFIA





chapter 4.1







อุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมต่อกับคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีนั้นเป็นอุโมงค์ถนนสองเลน มีไฟติดสว่างตลอดทาง มานะเล่าให้ฟังว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คนในตระกูลมักใช้เข้าออกเวลาไม่ต้องการเป็นจุดสนใจของคนภายนอก แล้วมันก็สะดวกสำหรับแขก VIP ที่ต้องการมาเยือนคฤหาสน์โดดเดี่ยวหลังนั้นแบบเงียบๆ ด้วย

(ก็คงไม่พ้นพวกคนใหญ่คนโตที่ชอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ นั่นล่ะ)

มาลองคิดดู ถึงตัวคฤคาสน์แบร์ลุสโคนีจะปลีกวิเวกไปอยู่บนยอดผา ห้อมล้อมด้วยผืนป่าหนาทึบเป็นร้อยไร่ แต่ประตูรั้วซึ่งเป็นทางเข้าไปสู่อาณาจักรลึกลับของพวกเขากลับอยู่ติดถนนสายหลักที่มีผู้คนใช้สัญจรผ่านไปมามากมาย หากใครที่เข้าออกจากประตูบานใหญ่นั้นแล้วจะเป็นจุดสนใจของคนทั่วไปก็ไม่แปลก

มานะบอกให้ผมนอนแนบตัวลงไปกับพื้นรถตรงเบาะหลังเมื่อใกล้จะสุดเขตของแบร์ลุสโคนี แล้วยังเอาผ้าสีดำที่กลืนไปกับสีรถให้ผมมาคลุมพลางตัวไว้อีกที

ไง มานะ จะไปไหนป่านนี้ล่ะ? ไม่มีงานแล้วเหรอ หรือว่าลาออกแล้ว?


พอรถจอด และมานะเปิดกระจก ก็มีเสียงยียวนของใครสักคนถามเขา

ไปซื้อขนมสายไหมให้คุณหนูริเน่  เสียงมานะตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ

ฮ่าๆๆ เป็นถึงคนโปรดของบอสแต่กลับต้องมาทำงานกิ๊กก๊อกแบบนี้ ช่างน่าสงสารแท้ ดูท่าว่าอีกไม่นานก็คงจะถูกไอ้เด็กมาร์กี้มันเหยียบหัวแย่งตำแหน่งบอดีการ์ดเบอร์ 2 ไปแล้วมั้ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เล่นนอนขี้เกียจเป็นปีแบบนั้น แถมกลับมาก็ยังไม่เต็มร้อย ไม่ถูกเขี่ยทิ้งก็ปาฏิหาริย์แล้วเนอะ

“เสือกน่า”

“อุ๊บส์ เผลอพูดแทงใจดำไปซะได้ ฮ่าๆๆ จะไปก็รีบไป เดี๋ยวคุณหนูริเน่เกิดร้องไห้งอแงขึ้นมา แม้แต่ตำแหน่ง คนโปรด ก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้นา”

เสียงกระจกรถเลื่อนปิด ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวอีกครั้ง...

“ท่าทางหมอนั่นจะเป็นแฟนคลับตัวยงของมึงเลยนี่”

“เหอะๆ”  มานะหัวเราะแกนๆ

“ลาซโล หมอนั่นเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนในเมือง ปกติจะคอยเฝ้าสังเกตสังกาอยู่ข้างนอก แต่คงเพราะวันนี้มีงานเลี้ยงที่คฤหาสน์เลยมาอยู่แถวนี้ได้ มันไม่ค่อยปลื้มกูมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนบอดีการ์ดด้วยกันแล้ว แต่นอกจากปากที่เสีย ทีเหลืออย่างอื่นก็ถือว่าใช้ได้”  มานะเล่าถึงหมอนั่นด้วยใจที่เป็นธรรม(?)

“มานะ... มึงเป็นคนดีกว่าที่กูคิดไว้อีกนะเนี่ย” 

ผมประสานมือไว้ด้วยกันอย่างชื่นชม มองสบตามันปิ๊งๆ

“มึงก็กวนตีนเป็นกับเขาเหมือนกันเหรอ?”

แล้วดูมันตอบกลับความชื่นชมของผมสิ ...เดี๋ยวปั๊ดหลังแหวน

“ว่าแต่ต้องมีหน่วยลาดตระเวนกันเลยเหรอวะ?”

ผมนึกทึ่ง ก็พอจะรู้แหล่ะว่าแบร์ลุสโคนีเป็นตระกูลใหญ่ระดับองค์กร ทำธุรกิจครอบคลุม(ทั้งขาวทั้งเทา)จนแทบจะผูกขาดประเทศนี้เอาไว้อยู่แล้ว วันนี้ก็ยังได้รู้ข้อมูลเพิ่มอีกว่าพวกเขามีคอนเนคชั่นที่กว้างขวางขนาดไหน(เรียกว่าคบคนทุกประเภทเหอะ) แต่ว่า.. จำเป็นต้องเฝ้าจับตาเมืองทั้งเมืองเอาไว้เลยเรอะ?

“อือ ก็เพราะเมืองนี้มีโลกใต้ดินที่ค่อนข้างเฟื่องฟูที่สุดในยุโรปอยู่ สำหรับแบร์ลุสโคนีแล้วนาโปลีก็ไม่ต่างจากสวนหลังบ้าน ถ้าไม่เฝ้าเอาไว้ให้ดี เกิดวันหนึ่งมีหมาจากไหนไม่รู้เล็ดลอดเข้ามาทำสวนเละเทะ ก็คงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก แถมยังเสียหน้าอีกใช่ไหมล่ะ? แล้วไหนจะต้องคอยดูหมาที่เลี้ยงเอาไว้ด้วย...”

หืม... หมายความว่าแบร์ลุสโคนีก็มีส่วนแบ่งในตลาดใต้ตินด้วยเหรอ

งั้นมันจะต่างจากมาเฟียตรงไหน?

“พวกเราไม่ใช่มาเฟียหรอกนะ”

“มึงอ่านใจคนได้ด้วยเรอะ!?”  ผมหันไปมองมานะอย่างตกใจ

หมอนั่นหัวเราะ  “กูอ่านจากหน้ามึงนั่นแหล่ะ”

รถเลี้ยวเข้าสู่อุโมงค์ทางหลวงซึ่งเป็นถนนสี่เลน อาจคงเพราะเป็นเขตนอกเมือง และเริ่มดึกแล้วด้วย รถเลยบางตา นานๆ จะมีสวนมาสักคัน

“แบร์ลุสโคนีไม่มีส่วนแบ่งในตลาดใต้ดิน ถึงจะมีคนเสนอพวกเราก็ไม่รับ ที่พวกเราทำก็แค่คอยรักษาระบบนิเวศเท่านั้น”

“ระบบนิเวศ?”

“อะไรที่เคยเป็นอยู่ ก็ปล่อยให้มันเป็นไป แต่ต้องไม่มากไม่น้อยเกินไปจนเกิดการเสียสมดุล เพราะเงินในตลาดมืดก็เป็นเงินส่วนหนึ่งในระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนประเทศนี้ ตราบใดที่มันไม่ทำลายประเทศ เราก็อยู่ร่วมกันได้”

ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่ แต่บอกตามตรง... ผมไม่เข้าใจว่ะ

งั้นที่โทรศัพท์กูถูกขโมยไปก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจประเทศนี้?”

นั่นโชคร้ายจังเลยนะ”  มันยิ้มเห็นใจ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้สินะ!

“แปลว่าถึงจะรู้ว่ามีอาชญกรรมเกิดขึ้น พวกมึงก็จะไม่ทำอะไร?”

“นั่นไม่ใช่หน้าที่เรานี่ นั่นหน้าที่ตำรวจ”

“อย่างน้อยก็ให้ข้อมูลที่รู้กับตำรวจก็ได้นี่”

“แบบนั้นตำรวจก็สบายเกินไปน่ะสิ น่าๆ ก็บอกแล้วไงว่าอะไรที่มันเป็นอยู่ก็ปล่อยให้เป็นไป อาชญากรก็ทำหน้าที่ของอาชญากรไป ตำรวจก็ทำหน้าที่ของตำรวจไป แบร์ลุสโคนีก็คอยเฝ้ามองต่อไป ทีหน้าทีหลังมึงก็ระมัดระวังตัวหน่อยแล้วกัน”

“ตกลงเป็นความผิดของเหยื่ออย่างกูหรือไง...”  ผมพึมพำ

ฮึ่ม! ตกลงพวกแบร์ลุสโคนีมันเป็นตัวอะไรกันแน่? ไม่ใช่แค่นักธุรกิจธรรมดา ไม่ใช่มาเฟีย เหมือนจะอยู่ฝ่ายเดียวกับรัฐบาล แต่ก็ปล่อยผ่านพวกนอกกฎหมาย

นี่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวของฟ้าเลยจริงๆ สินะ เฮ้อ...

“เออ แล้วที่ลาซโลบอกว่ามึงกลับมาไม่เต็มร้อยล่ะ... มึงยังไม่หายดีเหรอ?”

ผมพยายามเปลี่ยนอารมณ์ของตัวเองด้วยการหาเรื่องอื่นมาคุย

“ก็แค่เรื่องที่มันคิดไปเองนั่นแหล่ะ”  มานะหัวเราะสบายๆ

แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั่นเหมือนกำลังบอกผมว่า อย่ายุ่งมากกว่า

ก็.. โอเค ปกติผมก็ไม่ใช่พวกขี้เสือกอยู่แล้ว

“แล้วใครคือบอดีการ์ดเบอร์ 1 ?”

ลาซโลบอกว่ามานะคือเบอร์ 2 งั้นก็แปลว่าต้องมีอีกคนที่เป็นเบอร์ 1 ใช่ไหมล่ะ? (แหม ไม่ค่อยเสือกเท่าไหร่หรอก ฮ่ะๆๆ)

“ห๊ะ?”  มานะหันขวับมามอง

“ม..ไม่ต้องบอกก็ได้”  ผมเผลอกลืนน้ำลาย

บางทีหมอนี่ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวแปลกๆ เหมือนกันแฮะ

“หือ.. กูแค่ได้ยินไม่ถนัดน่ะ ถามถึงเบอร์ 1 ใช่ไหม? มึงเห็นคนที่ยืนเฝ้าหน้าห้องฟ้าเมื่อกี๊หรือเปล่าล่ะ? เป็นหมอนั่นแหล่ะ มาโค

“บอดีการ์ดหุ่นยนต์คนนั้นน่ะเหรอ?”  ผมจำได้ดีเลย

“หุ่นยนต์เหรอ? ฮ่ะๆๆ ก็อธิบายความเป็นหมอนั่นได้ดีเลยนะ”

“แล้วใครจะเป็นเบอร์ 1 เบอร์ 2 เขาวัดกันจากอะไร?”

“จริงๆ มันเป็นการเรียกกันเองในหมู่พวกเรามากกว่า ปกติแล้วในหน่วย  บอดีการ์ดจะมีการทดสอบฝีมือการต่อสู้กันเป็นประจำทุกๆ 3 เดือน ก็เลยถือเป็นการแข่งจัดอันดับไปในตัว กติกาก็ง่ายๆ ใครแพ้คัดออก ใครชนะเป็นคนสุดท้ายก็คือที่ 1

ผมพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจ

“มาโคทำสถิติเป็นที่ 1 บ่อยสุด ก็เลยเป็นบอดีการ์ดเบอร์ 1 ไปโดยปริยาย”

“ส่วนมึงก็ได้ที่ 2 บ่อยที่สุด...”

มานะปรายตามอง ทำเอาผมไม่กล้าสบตาเลย ...ชิ

แต่ก็น่าทึ่งอยู่นะ จากที่เห็นผ่านตา การ์ดแต่ละคนของที่นี่มีแต่ตัวใหญ่ๆ ท่าทางแข็งแกร่งทั้งนั้นเลย แต่มานะที่ตัวผอมบางแบบนี้ยังอุตส่าห์ล้มพวกนั้นได้เกือบหมด ท่าทางฝีมือคงไม่ธรรมดาแน่ๆ (นี่ขนาดนอนป่วยอยู่ตั้งนาน)

“แล้วสู้กันด้วยอะไรบ้างเหรอ? แบบ.. ใช้ศิลปะการต่อสู้อะไรน่ะ?”

“ก็... ทุกอย่างที่เป็น เพราะใช้กฎแบบ MMA

MMA หรือ Mixed Martial Arts เป็นศิลปะการต่อสู้แบบผสม ซึ่งนำเอาการต่อสู้หลากหลายชนิดมาผสานเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งมวย, มวยไทย, มวยปล้ำ, ยิว ยิตสู, ยูโด และคาราเต้ ปกติจะแข่งกันยกละ 5 นาที(จะแข่ง 2 หรือ 3 ยก ก็แล้วแต่สนาม) ตัดสินแพ้ชนะจากหลายส่วน ทั้งคะแนนโดยกรรมการ จับล็อคให้ยอมแพ้ หรือถ้านักกีฬาไม่ไหวก็สามารถตบพื้นขอยอมแพ้เองก็ได้ เป็นกีฬาที่ซินกำลังเห่อเลยแหล่ะ

ซินชอบมาคะยั้นคะยอให้ผมไปเล่นด้วยกันบ่อยๆ แต่ผมขอบายตลอด เพราะผมไม่ชอบนัวเนียกับผู้ชายอ่ะ(ฟ้ากับซินเป็นข้อยกเว้นเหอะ) คิดดูสิ ตัวมันๆ เหงื่อเหม็นๆ พยายามเข้ามาปลุกปล้ำผมด้วยกำลังเงี้ย(?) อึ๋ยย แหยง!

พอออกจากอุโมงค์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา ก็เป็นถนนเลียบชายฝั่งที่มุ่งหน้าเข้าสู่เขตเมือง ก่อนจะขับอ้อมกลับไปที่คฤหาสน์แบร์ลุสโคนีอีกรอบ มานะได้แวะจอดตรงที่พักจอดรถข้างทางก่อน ตรงนั้นมีรถอีกคันจอดรออยู่แล้ว พอเจ้าของรถคันนั้นเห็นพวกเราก็รีบวิ่งมาเคาะกระจกฝั่งมานะด้วยท่าทางดีใจ

“ลูกพี่มานะ~ ผมยืนรอจนขาแข็งหมดแล้วเนี่ย”  คนพูดใช้น้ำเสียงออดอ้อน

หมอนั่นรูปร่างสูง ตาดำ ผมดำ คิ้วเข้ม เครางาม หน้าตาดูหล่อขี้เล่นแบบหนุ่มฝรั่งเศส มาดเซอร์ๆ กวนๆ อ้อน(ตีน)ๆ ดูไม่ค่อยเหมือนบอดีการ์ดเท่าไหร่

“แล้วทำไมแกไม่นั่งรอในรถวะ?”

“ผมกลัวจะเผลอหลับไปน่ะสิ”

“แกเป็นการ์ดประสาอะไรเนี่ย นั่งทีไรเป็นต้องหลับทุกที”

มานะตบหัวหมอนั่น(ไม่แรง) เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ พลางคลำตรงที่ถูกตบป้อยๆ

“แหะๆ ก็ผมยังอยู่ในช่วงเจริญเติบโตนี่นา กินอิ่มดี ก็นอนหลับดี”

“ชีวิตดี๊ ดี”  มานะประชด

“เนาะ ฮ่าๆๆ”  แต่ทางนั้นกลับดูภูมิใจแปลกๆ

ก่อนที่จะเบนความสนใจจากมานะมาที่ผมบ้าง  “แล้ว.. นั่นเหรอที่ว่า...”

“กลับไปขึ้นรถได้แล้ว”  มานะตัดบท แล้วหันมาบอกผมด้วย

“มึงไปกับหมอนี่นะ เราต้องแยกกันตรงนี้แหล่ะ”

“หา? แล้วมึงล่ะ?”  ผมตั้งตัวไม่ติด

“กูจะไปซื้อสายไหม แล้วก็กลับคฤหาสน์ ...ไม่ต้องห่วงน่า มาร์กี้จะพามึงไปหาฟ้าแน่นอน”  มานะพูดให้ผมคลายกังวลใจ

“เข้าใจแล้ว...” 

“โชคดี”  มันยังอุตส่าห์อวยพรให้ผม

ผมลงจากรถ เดินตาม มาร์กี้ ที่ว่าไปยังรถอีกคัน

“เฮ้ย! ขับรถดีๆ ล่ะ แล้วก็ไม่ต้องพูดมากด้วย”  เสียงมานะตะโกนไล่หลังมา

Yes, sir!  เจ้ามาร์กี้หันกลับไปตะเบ๊ะให้มานะ





“อะไร?” 

ผมเห็นมาร์กี้มันเอาแต่เหลือบมองมาทางนี้ตลอดตั้งแต่นั่งรถมาด้วยกัน

“ผมพยายามจะเข้าใจรสนิยมของบอสอยู่”

ไอ้หมอนี่... มันรู้เรื่องผมกับฟ้าเหรอ?

จะยังไงก็เถอะ แต่ผมไม่ชอบวิธีการพูดของมันเลยแฮะ

“แล้วนายมีปัญหาอะไร?”  ผมขมวดคิ้ว

“ไม่ๆ ผมไม่กล้าหรอก อย่าเพิ่งโมโหซี่~

ผมหรี่ตามองมันอย่างไม่ชอบใจ ..เห็นผมเป็นเพื่อนเล่นหรือไง ไอ้เจ้านี่

“คุณนี่ของขึ้นง่ายอย่างที่ลูกพี่มานะบอกเลยนะ”  มันหน้าระรื่น ไม่สลด

อ้อ มานะเห็นผมเป็นแบบนั้นเองเรอะ

“แล้วมันบอกอะไรมาอีกล่ะ?” 

ผมจมตัวลงไปกับเบาะ เลิกตั้งการ์ดแล้วนั่งในท่าที่ผ่อนคลายขึ้น ถึงผมจะรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับไอ้หมอนี่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นพิษเป็นภัยเหมือนกัน

“เกี่ยวกับคุณน่ะเหรอ? อืม ลูกพี่มานะบอกว่าคุณมีท่าเตะสูงที่สวยมาก”

ผมขำพรืดออกมา จำได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยเตะก้านคอฟ้าประทานกลางคณะที่เขาเรียนอยู่ตอนนั้น นั่นคงเป็นฉากตราตรึงใจสำหรับมานะเลยสินะ ฮ่ะๆๆๆ

“อะไร?” 

ผมถามทั้งที่เสียงยังสั่นจากการหัวเราะ เพราะเห็นมากี้เริ่มจ้องผมอีกแล้ว

“ผมว่าผมพอจะเข้าใจความรู้สึกบอสแล้วล่ะ”

“หือ?”  จู่ๆ พูดอะไร

“เวลาคุณยิ้มแล้วคุณดูน่ากอดมากเลย”

ผมหุบยิ้มแทบจะทันที แล้วกลับไปขมวดคิ้วอีก

“เฮ้ นั่นเข้าข่ายลวนลามทางคำพูดแล้วนะ”  ผมเตือนมัน

คำว่า กอด ที่หมอนั่นใช้ ไม่ได้หมายถึงแค่ โอบกอด แต่หมายถึง เซ็กส์

พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ มันคิดว่าผมน่าเ-า เวลาที่ผมยิ้ม!

ฮึ่มม มึงอยากจะทดสอบลูกเตะสูงของกูใช่ไหม ไอ้โรคจิตมาร์กี้!? ไอ้หื่นกามมาร์กี้! ไอ้วิตถารมาร์กี้! ไอ้ลามเป็นขี้กลากมาร์กี้!! ผมจะเชือดมันด้วยวิธีไหนดี?

“ผมแค่พูดอย่างที่รู้สึกเฉยๆ”  มันพูดกับถนนข้างหน้า

จากนั้นผมก็เลือกที่จะไม่พูดกับมันอีกเลยจนกระทั่งถึงจุดที่นัดหมายกับฟ้า

“เฮ้ เรื่องที่ผมพูดเมื่อกี๊ คุณไม่เล่าให้บอสฟังได้หรือเปล่า?”

ตอนที่ลงจากรถ มาร์กี้ก็ถามผมแบบนั้น ผมไม่ได้ตอบอะไรไปทันที เพียงแค่มองมันอย่างมีคำถาม ทำไมถึงอยากให้ทำแบบนั้น? แล้วทำไมกูต้องทำแบบนั้น?

“ปีนี้ผมเพิ่งจะ 19 เอง ผมยังไม่อยากไปเฝ้าพระเจ้าด้วยวัยแค่นี้น่ะ”

มันเริ่มใช้ลูกอ้อน เหมือนที่ผมเคยเห็นมันอ้อนมานะ

แต่... 19?! เอาจริงดิ? หน้ามันล้ำอายุไปไกลจนผมนึกว่าพอๆ กับผมซะอีก

บางทีคงเป็นเพราะหนวดเครานั่น... แต่อายุน้อยชะมัดเลยแฮะ 19 เองอ่ะ

“แน่ใจได้ไงว่าอย่างนายตายไปแล้วจะได้เจอพระเจ้า?”  ผมถามหน้านิ่ง

“ขอร้องล่ะ!  มันยกสองมือขึ้นประกบกัน แล้วก้มหัวลง

“จะให้ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!

นี่มันกลัวฟ้าขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?

อืม แต่... ผมจับคางอย่างครุ่นคิด

“ทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ?” 
ก็เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจนะ ถึงผมจะไม่ได้คิดจะเล่าเรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้นให้ฟ้าฟังตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็เหอะ แต่แบบนี้มันก็...
“เอางั้นก็ได้ แต่ฉันจะให้นายติดหนี้ไว้ก่อน ไว้นึกออกเมื่อไหร่ว่าอยากจะให้นายทำอะไรแล้วจะบอกอีกที”  ผมตกลงใจว่าจะเอาแบบนี้แหล่ะ

“เย้ ขอบคุณ!  มาร์กี้ร้องอย่างดีใจ

“ผมจะเป็นหมาที่ซื่อสัตย์ของคุณ มาดาม~!

ห๊ะ... มันเรียกผมว่าอะไรนะ?

“ซันนี่?”

จู่ๆ ฟ้าก็โผล่มาจากกำแพงรั้วอีกด้าน เขาเปลี่ยนชุดเป็นสีดำ เปลี่ยนรองเท้าเป็นผ้าใบ เหงื่อท่วมตัวอย่างกับเพิ่งวิ่งมาราธอนมา

เขากระโดดลงจากรั้วสูง พวกเรารีบเดินไปหาเขา

“เหมือนจะมีการ์ดตามมา”  ฟ้าบอก

ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าควรทำไง แล้วยิ่งไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องหนีแบบนี้

“ผมจัดการเอง”  มาร์กี้บอกแบบนั้น

ก่อนที่มันจะกระโดดเกาะขอบกำแพง แล้วเหวี่ยงตัวเพียงทีเดียวก็ขึ้นไปอยู่
บนนั้น(แข็งแรงชะมัด!) จากนั้นก็ผลุบหายไปอยู่อีกฝั่ง

“หมอนั่นจะทำอะไร?”  ผมถามฟ้า

แต่เขาส่งสัญญาณให้ผมเงียบก่อน จากนั้นไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งใกล้เข้ามา ผมยืนเงี่ยหูฟังเหตุการณ์อีกฟากด้วยประสาทสัมผัสที่ตื่นตัวเต็มที่

“หยุด! อย่าขยับ! ยกมือขึ้นแล้วค่อยๆ หันมาช้าๆ แบบนั้น... ค่อยๆ...”

“มาร์กี้!?

Ciao~!  เสียงหมอนั่นฟังสบายๆ

“แกเองเรอะ มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้วะ?” 

ฟังเหมือนอีกฝ่ายจะมีไม่ต่ำกว่าสองคนเป็นอย่างน้อย

“มาฉี่”

“ไอ้เวรเอ๊ย อย่ามาทำให้ตกใจสิ”

“โอเคๆ งั้นคราวหน้าผมจะหาที่โล่งๆ ฉี่แล้วกัน จะได้ไม่ถูกสงสัย”

“ไปห้องน้ำสิวะ ไอ้เบื๊อก...”

เสียงจากอีกฟากฝั่งฟังห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ได้ยิน

“ไปกันเหอะ”  ฟ้าแตะหลังผม









โปรดติดตามตอนต่อไป.......