วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

[นิยาย] MADAME MAFIA chapter 9.2









MADAME   MAFIA





chapter 9.2







ก๊อก ก๊อก...

ผมเคาะประตู แล้วรอแป๊บนึงก่อนส่งเสียงตามไป

“ฟ้า...”

“ซันนี่?”  ได้ยินเสียงแว่วๆ ตอบกลับมาจากข้างใน

“กูเอง เข้าไปได้หรือเปล่า?”  ผมถามอย่างเกรงใจ

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาหาเขาตามลำพังที่ห้องทำงานโดยไม่มีใครพามา

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ  “...เข้ามาสิ”

หรือเขาจะกำลังยุ่งๆ อยู่นะ? ผมมารบกวนหรือเปล่า...

“.......”

ที่จริงผมไม่ได้เจอเขาเลยตั้งแต่คืนที่กลับมาจากอมาลฟี่ ผมรู้ว่าเกิดเรื่อง
ขนาดนั้นเขาคงต้องมีหลายอย่างให้จัดการแน่ แต่บางทีผมก็แค่อยากจะเห็นหน้าเขาบ้างเท่านั้น โดยเฉพาะหลังจากได้คุยกับแม่เลี้ยงเขาวันนี้ ผมยิ่งคิดถึงเขาสุดๆ ไปเลย

“สวัสดีครับ คุณซันนี่”

 ! 

มาริโอ คาวัวร์ หันมาทักทายผม ตอนนี้เขาถอดรูปหมีซกมกแล้วกลับไปเป็นหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา ใส่สูทผูกไทด์เนี้ยบนิ้งเหมือนตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรก

“ซันชายน์”  ฟ้าบอกมึนๆ

เขาเองก็ไม่ชอบให้ใครมาเรียกตีสนิทผมว่า ซันนี่ เหมือนกัน

“ซันนี่”  แต่ตัวเองกลับเรียกหน้าตาเฉย

ฟ้าตบโซฟาที่ว่างข้างตัวเอง ผมเลยเดินเข้าไปหา ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังอีกคนอย่างระแวดระวัง บนโต๊ะกลางโซฟามีชุดน้ำชา แล้วก็เค้กช็อคโกแล็ตที่ถูกตัดแบ่งไว้เป็นชิ้นๆ ดูเหมือน มาริโอ คาวัวร์ จะชอบขนมหวานไม่ต่างจากฟ้า ตอนที่ผมกับซินเจอเขาครั้งแรก เขาก็ชวนผมกับซินไปกินเค้กเหมือนกัน

หลังจากนั่งลง สายตาผมก็ยังไม่ยอมละจากอริ(ในความคิดผม)ไปไหน

“คุณหมดธุระแล้วใช่ไหม?”  ฟ้าหันไปถามมาริโอ

“เอ่อ...ครับ”  มาริโอมองเค้กที่เหลืออยู่อย่างเสียดาย ก่อนตัดใจลุกขึ้น

“งั้นวันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน บอส คุณซันชายน์”

ฟ้าพยักหน้าให้ มาริโอค้อมหัวนิดๆ เป็นเชิงบอกลา แล้วเดินออกไป...

“ไม่เมื่อยคอหรือไง?”  ฟ้าถามยิ้มๆ แล้วหยิบจานเค้กขึ้นมาตักกินต่อ

“ ? ”  ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

“ก็นั่งเชิดคอแข็งขนาดนั้น เดี๋ยวก็เป็นตะคริวหรอก”

“เปล่าสักหน่อย”  ผมจับต้นคอตัวเองแก้เก้อ

ที่จริงก็แอบเมื่อยอยู่เหมือนกัน...

“ซันนี่ไม่ชอบมาริโอขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“แล้วมึงชอบเขาหรือไง? เขาเคยคิดจะฆ่ากูนะ”

“อืม... ที่จริงก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน เขากินเค้กเยอะไป”

อ้อ ที่มึงไม่ชอบเขาก็เพราะเขาแย่งของโปรดมึงสินะ ไม่ได้เกี่ยวห่าอะไรกับความเป็นความตายของกูเลย? ไอ้ตัวตะกละนี่...

“เอามานี่!”  ผมแย่งจานเค้กในมือเขามากินซะเอง

แต่กินได้แค่คำเดียวก็ต้องคืนให้เจ้าของ  “...หวานชะมัด!

“หึหึ”  ฟ้าขำ เขาหอมแก้มผมตอนที่ผมกำลังซดน้ำชาแก้เลี่ยนพอดี

“ซันนี่น่ารัก”  แล้วเขาก็ตักเค้กกินต่อ

“น่ารักตรงที่กูไม่แย่งของกินมึงน่ะสิ”

“นั่นก็น่ารักเหมือนกัน”

“นี่ ฟ้า”

“หืม?”

“มึงคุยอะไรกับ มาริโอ คาวัวร์ เหรอ?”

“ซันนี่อยากรู้เหรอ?”

“ไม่อยากรู้มั้ง”  ...ห่า ที่ถามก็เพราะว่าอยากรู้น่ะสิ!

“อืมม”  ฟ้าเลียช้อนพลางนึก

คือมึงต้องใช้เวลานึกขนาดนั้นเลยเหรอ เพิ่งจะคุยกันไปแท้ๆ หรือมึงมัวแต่สวาปามเค้กจนไม่ได้สนใจว่าเขาพูดอะไร?

“เขาขอกลับเข้ามาอยู่ตำแหน่งเดิม... ไม่ ตำแหน่งของคุณลุงแอนโทนิโอ”

“ลุงแอนโทนิโอ?”

“เขาเป็นผู้นำตระกูลคาวัวร์คนก่อนที่เพิ่งจะเสียไปน่ะ ความจริงตอนนี้ตระกูลคาวัวร์ก็ขาดตัวแทนที่จะนั่งอยู่ในที่ประชุมตระกูลล่ะ มันก็เป็นปัญหาอยู่...”

ตระกูลคาวัวร์เป็นคานอำนาจกับตระกูลเวนโดลา ตระกูลเวนโดลาหนุนหลังโคเนโรพี่ชายของฟ้ามากกว่า ขณะที่ตระกูลคาวัวร์คอยหนุนหลังฟ้า เปรียบกับการเมืองก็เหมือนพรรค Democrat กับ Republican (ฟ้าก็คือ President) เมื่อใดที่
ตระกูลคาวัวร์ระส่ำระสาย ตระกูลเวนโดลาก็อาจจะขึ้นมามีอำนาจต่อรองมากกว่า...

ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผลเสียก็อาจจะไปตกที่ฟ้าก็ได้น่ะสิ?

“แล้วมึงตัดสินใจยังไง?”

“ยังไม่ได้ตัดสินใจ...”  ฟ้านั่งขูดครีมเค้กที่ติดอยู่บนจานกินจนเรียบ

“ซันนี่คิดว่าไงล่ะ?”  แล้วเขาก็ตักชิ้นใหม่มาใส่จานอีก

“กูน่ะเหรอ?”

ผมพยายามชั่งใจถึงผลดีผลร้ายของการให้ มาริโอ คาวัวร์ กลับมา

“บอกตามตรงว่ากูไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องที่เขาเคยทำกับพวกกู แต่คดีลักพาตัวซินที่เขาเล่ามาก่อนหน้านี้เชื่อได้แค่ไหนก็ไม่มีใครรู้”

คืนนั้นตอนกลับไปที่ฐาน ได้มีการสอบสวนมาริโอถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่ามีความเป็นมายังไง แล้วเขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยตอนไหน?

เขาเล่าว่า... ก่อนหน้านี้หลายเดือนเขาได้รับรายงานจากสายของตระกูล คาวัวร์ว่าลูกชายของ กามอร์ ซากาเรีย กลับมาที่อิตาลี (กามอร์ ซากาเรีย คืออดีตเศรษฐีที่เคยมีธุรกิจท่าเรือใหญ่โตไม่แพ้ท่าเรือของแบร์ลุสโคนี แต่เขากลับไปร่วมมือกับแก๊งมาเฟียกาซาเลซีวางแผนลักพาตัวทายาทตระกูลแบร์ลุสโคนีเพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งตอนนั้นลูกชายคนโตและมีความสำคัญต่อแบร์ลุสโคนีที่สุดก็คือ โคเนโร แบร์ลุสโคนี แต่แผนเกิดผิดพลาดทำให้เด็กที่พวกนั้นจับตัวไปกลายเป็นฟ้าประทาน แต่ระหว่างรอคอยที่จะเจรจากับแบร์ลุสโคนี ก็มีเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้นที่คฤหาสน์ซากาเรียซะก่อน ทำให้คนในตระกูลนั้นเสียชีวิตเกือบทั้งหมด รวมทั้งตัว การ์มอ ซากาเรีย เองด้วย(ปัจจุบันท่าเรือที่เคยเป็นกิจการของซากาเรียก็ถูกเทคโอเวอร์โดยแบร์ลุสโคนีเป็นที่เรียบร้อย))

การที่ลูกชายซึ่งหายสาบสูญไปของ กามอร์ ซากาเรีย กลับมา แถมยังติดต่อกับอดีตคนเก่าแก่ของแก๊งซากาเลซีที่ถูกทางการกวาดล้างไปแล้วอีก ทำให้ มาริโอเกิดความสนใจว่าหมอนั่นพยายามจะทำอะไรกันแน่ เขาเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่สักพัก ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปทำความรู้จักกับฮาร์รี่ หรือชื่อจริงก็คือ ดันเต้ ซากาเรีย ในผับของพวกใต้ดิน

ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ดูร้ายกาจอย่างที่มาริโอคิดไว้ พวกเขาคุยกันถูกคอจนน่าแปลกใจ และในที่สุดก็ได้เป็นเพื่อนกัน พวกเขาไปมาหาสู่กันอยู่เนืองๆ จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ฮาร์รี่ขอให้มาริโอช่วยแนะนำพวกนักเลงรับจ้างให้เขาสักสองสามคน ฮาร์รี่บอกว่าไปมีเรื่องกับนักเลงคนหนึ่งมา ก็เลยอยากจะหาคนไปสั่งสอนหมอนั่นสักหน่อย มาริโอไม่คิดว่าฮาร์รี่จะโกหกเพราะเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของฮาร์รี่ด้วย ก็เลยแนะนำให้ไปหาเจ้าของร้านมือสองซึ่งมีลูกน้องเป็นพวกโจรกระจอกกับนักเลงรับจ้างอยู่ จากนั้นฮาร์รี่ก็ติดต่อกับเจ้าของร้านมือสองโดยตรง พวกนั้นวางแผนกันโดยที่มาริโอไม่รู้เรื่อง เขามารู้อีกทีก็ตอนที่คนของฮาร์รี่จับซินเซียร์มาได้แล้ว ถึงตอนนั้นฮาร์รี่ที่กำลังอารมณ์ดีเพิ่งจะยอมปริปากพูดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาอิตาลีครั้งนี้ พวกเขาดื่มกันจนถึงเช้าโดยที่ฮาร์รี่เล่าทุกอย่างหมดเปลือก มาริโออาสาว่าเขาจะช่วยฮาร์รี่อีกแรง แต่นั่นเป็นเพียงการเสแสร้งเพื่อที่จะหาโอกาสช่วยเหลือซิน ออกมาเท่านั้น... และนั่นก็เป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เขาเล่า

ตอนนี้ฮาร์รี่ถูกทางแบร์ลุสโคนีควบคุมตัวไว้โดยมีมาริโอเป็นคนรับผิดชอบ พวกเขาบอกว่าอาจมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังฮาร์รี่อีกทีก็เลยต้องเก็บไว้สอบสวนก่อน ส่วนลูกสมุนคนอื่นถูกจับส่งให้ตำรวจไปจัดการต่อหมดแล้ว

ส่วนเรื่องที่ฮาร์รี่แค้นจนอยากฆ่าฟ้า ผมก็ถามฟ้าเหมือนกัน แต่เจ้าตัวบอกไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้ว่าฮาร์รี่พูดถึงอะไร ก็ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือแค่ไม่อยากบอกกันแน่...

“แล้วเขาก็หักหลังกระทั่งคนที่เขาเรียกว่า เพื่อน ...”  

ฟ้าถอนหายใจ ผมรู้ว่าเขาคงหนักใจที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความรู้สึกส่วนตัวกับผลประโยชน์ของครอบครัว มาริโอ คาวัวร์ ในฐานะผู้นำของตระกูลคาวัวร์คงจะมีส่วนช่วยเหลือฟ้าได้มากทีเดียว... ใช่ เขายังต้องมีคนคอยช่วยเหลือ ทั้งอายุและบารมีของเขายังน้อยเกินไปที่จะไปต่อกรกับพวกเขี้ยวลากดินตามลำพัง

“แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องมองให้รอบด้าน...”  ผมพูดเสริม แม้จะฝืนใจตัวเอง

เพื่อผลประโยชน์ของฟ้าแล้ว ผมเองก็ควรจะทำใจให้กว้างไว้เหมือนกัน

“อืมม...”  ฟ้าพยักหน้า

ว่าแต่เขาเขมือบเค้กชิ้นใหม่หมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ? ไวแท้

“เอิกกก~”  แถมยังเรอซะดังอีก น่าเกลียดจริงๆ

ชักจะเหมือนกับซินแสบเข้าไปทุกวันแล้วเนี่ย ทำอะไรไม่เกรงใจหน้าตาเลย

“แล้วทำไมวันนี้ซันนี่ถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”

“แล้วทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ มีความลับในห้องนี้หรือไง?”

“เปล่า ซันนี่อยากจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น... งอนแล้วเหรอ?”

“เปล่า ก็แค่อยากลองพูดดู”  ผมยักคิ้วให้

“เป็นไง ตีบทแตกไหม?”

“หึหึหึ...” 

ฟ้าเข้ามาคลอเคลียหอมแก้มหอมซอกคอผม ผมจั๊กจี้ก็เลยดันหน้าเขาออก เขากลับไปเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย แขนข้างหนึ่งพาดบนพนักพิงกึ่งโอบผมไว้กลายๆ เรานั่งมองตากันโดยไม่มีใครยอมปริปาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ได้นั่งมองหน้าเขา ตาเขา จมูกเขา เขาปาก แค่นี้ก็ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินไม่น้อย ผมนึกแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้? ผมเคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนหรือเปล่า? มีความสุขจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จากการได้อยู่ใกล้ๆ กัน ความสุขที่หาได้ง่ายดายเสียจนบางครั้งก็รู้สึกกลัวว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริง...

ผมรอดูว่าเขาจะเปิดปากพูดเมื่อไหร่ แต่เขาก็ยังเอาแต่จ้องมองผมอยู่อย่างนั้น สายตาของเขาทำเอาผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น ทีละชิ้น จนเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“เฮ้...”  ผมตบแก้มคนลามกเบาๆ

ก่อนจะลากมือข้างนั้นลงมาหยุดที่ปมเนคไทด์ของเขา(วันนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตผูกไทด์เรียบร้อยเชียว ที่สำคัญคือหัวไม่ยุ่งเป็นรังนกด้วย) แล้วหลุบตามองต่ำ

มึงกินขนมไปตั้งเยอะ ไม่เบิร์นออกเดี๋ยวก็อ้วนหรอก

“ด้วยวิธีไหนดีล่ะ?”  เขาถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ

“ไม่เห็นต้องถาม” 

ผมขึ้นไปนั่งคร่อมตักเขาพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก  “ถึงจะผิดหลักไปหน่อยที่ดันกินของหวานไปก่อนของคาว แต่เรื่องแค่นี้มึงคงจะไม่ถือใช่ไหม?”

“ไม่เลย แต่ว่า...”

“อะไร?” 

ผมเขม้นมอง อุตส่าห์อ่อยไม่แคร์สังขารพิการขนาดนี้ ลองเขาปฏิเสธดูสิ ได้อดไปอีกหลายมื้อแน่ ผมรับรองเลย

มีนัดแล้วน่ะ” 

เขาดูนาฬากาข้อมือด้วยท่าทางหนักใจ  “...อีกสักสิบนาทีก็คงมาถึง”

“.......”

“ซันนี่?”

“ช่วยไม่ได้...”  เรื่องงานนี่นะ 

ผมกำลังจะลุกจากตักเขา แต่เขากลับกอดเอวผมไว้ไม่ยอมให้ไป

“โกรธเหรอ?”  เขาเงยหน้ามองอ้อนๆ

“เปล่า...”

“แล้วทำไมหน้าแดง?”

ต้องให้บอกด้วยหรือไงว่ากูอายที่อ่อยแล้วเฟลน่ะ

“ไม่ได้โกรธ ปล่อยดิ มึงมีงานต้องทำนี่”  ผมบ่ายเบี่ยง

“อืมม...”  เขายังไม่ยอมปล่อย

“อะไร?”

“งานน่ะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นานๆ ซันนี่จะเสนอตัวมาให้ ทำ นี่สิ”

เอ ผมว่าพักนี้ผมก็ทำแบบนั้นบ่อยอยู่นะ...

“เฮ้ย!?

จู่ๆ เขาก็วางตัวผมลงบนโซฟา แล้วคุกเข่าเข้ามาแทรกกลางหว่างขาผม มือหนึ่งรูดไทด์ลง อีกมือเสยผม มองจากมุมเงยนี่เซ็กซี่ชะมัดเลย...~

“ไหนว่ามีงาน?”  ผมช่วยเขาปลดเข็มขัดอีกแรง

(ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเท่าไหร่เลย ฮา...)

“เลื่อนไปก่อนแล้วกัน เรื่องซันนี่ฉุกเฉินกว่า”  เขาว่าง่ายๆ

แล้วผมจะทำให้มันยากไปไย ก็ง่ายๆ ตามเขาไปสิครับ

“หึหึ...”








My heart is pierced by Cupid. ฮื้ม ฮืม ฮืม...~”

ผมเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีลงมาจากตึกใหญ่ หลังทานมื้อเที่ยงกับฟ้าเรียบร้อยแล้วผมถึงขอตัวลงมา ส่วนฟ้ายังมีงานต้องทำอีก เขายุ่งน่าดู แต่ถ้าจะมีเวลาให้ผมสักวันละ 2-3 ชั่วโมง ผมก็ไม่บ่นหรอก ก็ผมใจกว้างออก ใช่ไหมล่า ฮ่าๆๆ

หือ?

แต่แล้วความเบิกบานของผมก็ต้องมีอันหุบหายไปเมื่อสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนที่ผมไม่ได้อยากเจอสักนิดยืนรออยู่ตรงทางเดิน

“ผมกำลังรอคุณอยู่ ซันชายน์”  มาริโอ คาวัวร์ เดินเข้ามาหาผม

ผมก้าวถอยหลังอย่างหวาดระแวง ข้างหลังเขายังมีลูกน้องชุดดำอีกคน

“ผมไม่ได้จะทำอะไรคุณหรอก แค่มีเรื่องอยากจะคุยด้วยนิดหน่อยเท่านั้น”

คนพูดยกมือทั้งสองข้างขึ้น แสดงเจตนาว่าเขาไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย

“ไปคุยกันตรงนั้นได้หรือเปล่า?”  เขาพยักพเยิดไปทางม้านั่งตัวยาวในสวน

แล้วหันไปบอกลูกน้องให้รออยู่ตรงนี้ ก่อนที่ตัวเองจะเดินนำไปที่ม้านั่ง โดยปล่อยให้ผมตัดสินใจเอาเองว่าจะตามไปหรือไม่ตามไป ...ชิ่งซะเลยดีมะ?

ผมยืนมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ แต่ที่ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นฝ่ายชนะ ผมยอมเดินตาม มาริโอ คาวัวร์ ไป

“เชิญนั่งก่อนสิครับ”  เขาเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตรเมื่อเห็นผมยืนนิ่ง

ผมเลือกที่จะเดินไปนั่งบนม้านั่งอีกตัวซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน

“ท่าทางคุณจะเกลียดผมมากเลยสินะ”  คนพูดหัวเราะเบาๆ

ผมทำเพียงเหลือบตามองเขาเล็กน้อยโดยไม่คิดจะตอบ ก็ของมันรู้กันอยู่

“ผมรู้ว่าเคยทำกับคุณไว้มาก แต่ไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ผมก็อยากจะให้คุณทำใจกว้างๆ แล้วลืมมันไปซะดีกว่า เพื่อประโยชน์ของเราทั้งคู่”

“ฮ่ะฮ่ะ..ฮ่ะ”  ผมหัวเราะอย่างประชดประชัน

พูดง่ายแท้... ขอโทษสักคำก็ไม่มี ไอ้สัด!

แล้วผมก็มองไม่เห็นว่าผมจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้ตรงไหน

“คุณอาจยังไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ที่ผมจะกลับมา แต่ผมก็จำเป็นจะต้องกลับมา พ่อของผมเพิ่งเสียไป ตระกูลของผมกำลังขาดเสาหลัก รวมไปถึงบอสฟาที่จะขาดกำลังสนับสนุนหลักไปด้วย หวังว่าคุณจะเข้าใจในจุดนี้นะ”

เรื่องนั้นผมก็ได้ยินจากฟ้ามาบ้างแล้วล่ะ

“แต่นั่นก็เป็นเรื่องภายในของพวกคุณ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมตรงไหน”

ผมมองตรงไปยังน้ำพุตรงหน้า ไม่ใช่ใบหน้าของคู่สนทนาที่ไม่อยากเห็น

“เกี่ยวสิ เพราะท่าทีของคุณมีผลต่อการตัดสินใจของบอสฟาแน่นอน และถ้าคุณจะกรุณาช่วยพูดกับเขาให้ผมได้กลับมา ผมก็จะไม่ลืมความช่วยเหลือในครั้งนี้เลย”

“แล้วทำไมผมจะต้องช่วยคุณมิทราบ?”  ผมหันไปมองอีกฝ่ายอย่างข้องใจ

มีเหตุผลบ้าบออะไรที่ผมจะต้องช่วยคนที่เคยคิดจะฆ่าผม ละเมอเรอะ!

“เพราะผมก็เพิ่งจะช่วยคุณกับพี่ชายไว้เหมือนกัน”

แหม ยังมีหน้ามาทวงบุญคุณ หน้าด้านไปหรือเปล่า คุณพี่?

“หึหึ...”  ผมกระตุกมุมปาก

“แต่คุณก็คงไม่ลืมนะว่าเคยทำอะไรไว้กับเรา? ช่วยครั้งนึง แช่งครั้งนึง งั้นผมจะถือว่าเรื่องเก่าเราเจ๊ากันไปแล้วกัน ส่วนเรื่องใหม่ คุณก็หาทางช่วยตัวเองเหอะ”

ผมลุกขึ้นเพราะหมดธุระจะคุยกับผู้ชายคนนี้แล้ว

“โตสักทีสิ ซันชายน์”

น้ำเสียงดูแคลนจากคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมทำให้ผมต้องกันกลับไป

“ถ้าคุณยังเอาแต่ใจตัวเองอยู่แบบนี้ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงให้บอสฟาเท่านั้น”

“คิดจะหาเรื่องกันหรือไง?”  ผมเข้าไปกระชากคือเสื้อเขา

เขาไม่ตอบโต้ แถมยังยิ้มเยาะผมอีก มันน่าตั๊นนัก!

“ดูสิ แค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้คุณยังอดทนอดกลั้นไม่ได้เลย แล้วถ้ารู้ว่าบอสฟาต้องเจอกับความกดดันแบบไหนบ้าง คุณก็คงจะเปิดก้นหนีเขาไปเร็วๆ นี้ล่ะ”

“อย่ามาดูถูกกันให้มากนัก!  ผมปล่อยเขา แต่แถมผลักไปทีนึง

ใครว่าผมไม่มีความอดทนอดกลั้น แค่ผมไม่ตั๊นหน้าเขาจังๆ ทั้งที่นึกอยากทำใจจะขาด นี่ก็ถือว่าผมโคตรจะมีความอดทนมากแล้วนะ ยังจะหวังอะไรอีก 

“ผมได้ยินว่ามาดามวาเนสซาเพิ่งเรียกคุณไปพบมา”

“หูดีจังเลยนะ”  ผมประชด เขาทำเพียงยิ้มน้อยๆ

“ผมเดาว่าเธอคงยื่นข้อเสนอบางอย่างกับคุณมาล่ะสิ”

“แสนรู้เหลือเกิน...”  ผมกัดฟันพูดพึมพำ

“คุณรู้หรือเปล่าว่าตระกูลของผมกับเวนโดลาของเธอมีเสียงสนับสนุนพอๆ กัน ถ้าคุณยอมรับข้อเสนอของเธอ ก็เท่ากับคุณได้เสียงสนับสนุนในแบร์ลุสโคนีไปกึ่งหนึ่ง... เช่นเดียวกับถ้าคุณยอมรับข้อเสนอของผม”

“.......”

“แต่ผมมั่นใจว่าข้อเสนอของผมจะทำให้คุณสนใจมากกว่า”

รอยยิ้มน้อยๆ ของเขาดูมั่นใจซะจนผมแอบหวั่นใจเลย

หมอนี่จะมาไม้ไหนกันแน่?

“ผมจะให้เสียงสนับสนุนกึ่งหนึ่งที่ผมมีแก่คุณ โดยที่ผมจะไม่ตั้งเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น ขอเพียงคุณช่วยพูดกับบอสฟาให้ผมก็พอ ผมขอแค่นี้เอง”

ไม่ตั้งเงื่อนไขเหรอ?

หมายความว่าพวกเขาจะหนุนหลังผมไม่ว่าผมคิดจะทำอะไรงั้นเหรอ?

ไม่เฉพาะว่าต้องยอมเป็นแค่เมียเก็บของฟ้าก็ได้งั้นสิ?

แล้วเขาก็ยังจะเป็นกำลังสำคัญให้ฟ้าอีกด้วย...

“.......”

“ฟังน่าสนใจดีใช่ไหมล่ะ?”

ผมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อถูกจับได้ว่ากำลังแอบสนใจข้อเสนอนั้นจริงๆ

“ลองเก็บเอาไปคิดดูนะ”

มาริโอ คาวัวร์ ลุกขึ้น เขาจัดปกสูทตัวเองให้เข้าที่ ก่อนค้อมหัวให้ผมหนึ่งที แล้วเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนเคว้งคว้างตามลำพัง...

“มันเรื่องบ้าอะไรกัน...” 

ผมทรุดนั่งบนม้านั่งตัวเดิมอย่างสับสน จู่ๆ ก็มีคนมายื่นข้อเสนออะไรก็ไม่รู้ให้ผมตั้งสองคน ภายในวันเดียวกัน

อำนาจ การเมือง ผลประโยชน์... นี่คือโลกที่ฟ้าอาศัยอยู่สินะ

ผมไม่อยากยอมรับข้อเสนอของมาดาม แถมยังไปพูดอวดดีกับเธอเอาไว้อีก แต่ไอ้ครั้นจะให้ยอมรับข้อเสนอของมาริโอ ผมก็ยังไม่เชื่อใจหมอนั่น... เฮ้อ แล้วแบบนี้ผมควรจะทำไงดี คนธรรมดาอย่างผมจะอยู่รอดในที่แบบนี้ได้จริงๆ เหรอ


“ฮัดชิ่วว!

หือ...?

ผมหันไปมองพุ่มไม้ด้านหลัง เมื่อกี๊ผมว่าผมได้ยินเสียงคนจามมาจากทางนี้นะ แต่ก็ไม่เห็นมีใคร แต่พอชะโงกหน้าลงไปดูข้างล่างให้แน่ใจ ผมก็เห็นใบหน้าของใครบางคนค่อยๆ โผล่ออกมาจากใต้พุ่มไม้นั้นอย่างช้าๆ

“ฮิ~ เด~ โกะ~”

“เชี่ย!?”  ผมหลุดอุทานเพราะความหลอน

ดีนะไม่ผวาจนตกม้านั่ง เล่นอะไรพิเรนชะมัด!

“หมอ! ไปทำบ้าอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ?”

“ชี่...~”  เจ้าหมอเพี้ยนนั่นส่งสัญญาณให้ผมเบาเสียงลง

ผมมองซ้ายมองขวาหาว่าเขากำลังหลบใครหรือเปล่า แต่ก็ไม่เห็นมีใครนี่

“ผมกำลังทำภารกิจลับอยู่”  เขาทำเสียงกระซิบกระซาบ

“คุณไม่ได้เพิ่งเอาหัวไปโขกอะไรมาใช่ไหม?”

ผมว่าสมองเขาต้องมีปัญหาแน่ๆ ล่ะ หนักขึ้นทุกครั้งที่เจอเลยด้วย

“ที่จริงก่อนหน้านี้ก็โดนลูกบอลอัดไปนิดหน่อย แต่ผมสบายดี”

ผมมองคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างนึกทึ่งในตัวเขา คือ...ทึ่งในความพิลึกพิลั่นของเขาน่ะ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าผมจะหาคนแบบนี้ได้จากส่วนไหนบนโลกอีก

แต่เขาก็ทำให้ความรู้สึกอันหนักอึ้งของผมผ่อนคลายไปได้บ้างล่ะนะ

“คุณมาแอบฟังผมล่ะสิ?”  ผมเกยแขนกับคางไว้บนพนักพิงของม้านั่ง

“ผมไม่ได้ยินอะไรเลยนะ”  เขาปฏิเสธตาใส   

“.......”  ต่อให้ผมเป็นลิงผมก็ไม่เชื่อคุณหรอก

“แต่ผมก็คิดว่าข้อเสนอของเจ้าหนูคาวัวร์ฟังน่าสนใจเหมือนกัน”

ก็แอบฟังอยู่จริงๆ นี่หว่า ไอ้เจ้าหมอนี่...

“คุณคิดงั้นเหรอ?”

ว่าแต่คุณอายุสักเท่าไหร่กันเชียว ทำเป็นไปเรียกคนอื่นเขาว่า เจ้าหนู เหอะ

มาริโอ คาวัวร์ น่าจะอายุสัก 30 กว่า หมอเองก็ดูไม่น่าจะแก่กว่านั้นมาก อย่างดีก็คงพอๆ กับ มิเลส์ เวนโดลา ถ้าให้ผมเดาจากหนังหน้าเขาน่ะ

แต่จะว่าไป สี่ปีมานี้เขาก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปสักนิดเลยนะ

“เพราะผมยังไม่ได้ยินข้อเสนอของมาดามแบร์ลุสโคนีน่ะสิ คุณสนใจจะเล่าให้ผมฟังหรือเปล่าล่ะ ฮิเดโกะ?”

“ไม่อ่ะ”  ผมตอบทันควัน

ถ้าเขารู้ว่าแม่เลี้ยงฟ้าอยากให้ผมเป็นเมียเก็บลูกชายของเธอล่ะก็ เขาจะต้องหัวเราะฮาผมแน่ๆ แล้วเรื่องอะไรผมจะบอก ไม่มีทาง

“เธอจะให้คุณเป็นเมียน้อยของบ๊จจังเหรอ?”

“คุณรู้ได้ไง?”

“อ๊ะ ถูกด้วย!

 ! ”

เชรดดดด ผมพลาด!

“ฮ่าๆๆ จริงเหรอเนี่ย? นี่มันละครน้ำเน่าเกาหลีหรือไง โอยย ให้ตาย ผมนึกถึงเรื่องที่เพิ่งนั่งดูกับบ๊จจังเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาเลย คุณรู้ไหม นางเอกน่ะเป็นคนรักของพระราชามาก่อน แต่พระพันปีแม่พระราชาไม่ปลื้ม เลยเตรียมหาพระมเหสีไว้ให้ ถ้านางเอกอยากจะอยู่ข้างพระราชาก็ต้องยอมเป็นแค่พระสนมล่ะ คุ้นไหม ฮ่าๆๆ”

หมอกุมท้องพลางกลิ้งไปกลิ้งมา

“แต่ไม่ต้องห่วงไป จากหลายๆ เรื่องที่ผมกับบ๊จจังดูมานะ พระสนมนี่แหล่ะตัวชูโรงเลย พระราชาทั้งรักทั้งหลง เป่าหูอะไรก็เชื่อหมด ถ้าฮิเดโกะได้เข้าวังในฐานะพระสนมเมื่อไหร่ ก็แค่หาโอกาสใส่ร้ายพระมเหสีให้ถูกปลดซะ แล้วที่นี้สนมฮิเดโกะ ก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นมเหสีฮิเดโกะเองแหล่ะ เชื่อผม ผมดูมาเยอะ ฮ่าๆๆๆ”

“.......”

เอ้า บันเทิงซะให้พอ หัวเราะให้ตายห่าไปเลยก็ได้

แล้วนี่ฟ้าพัฒนาจากติดละครไทย ไปติดละครเกาหลีตั้งแต่เมื่อไหร่...

“ฮ้าดดด ชิ่ว...อ่า อากาศวันนี้แย่จริงๆ”  หมอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาสะบัดๆ แล้วสั่งน้ำมูกใส่ไปฟืดนึง ก่อนพับเก็บใส่กระเป๋าตามเดิม

“คุณเป็นหวัดเหรอ?”

“นิดหน่อย”  เขาสูดน้ำมูกฟึดฟัด

“เสียดายเนอะ ทำไมไม่เป็นเยอะๆ แล้วก็ตายไปซะเลย”

“จิตใจทำด้วยอะไร...”  เขาตัดพ้อ

ผมหัวเราะ เลิกถือสาความกวนประสาทของเขาแล้วล่ะ ปวดหัวเปล่าๆ

“นี่... แล้วคุณคิดว่าผมควรจะเลือกฝั่งไหนดี?”

ถึงจะเพี้ยนไปหน่อย แต่ผมก็ไม่รู้จะไปคุยเรื่องนี้กับใครอื่นแล้วจริงๆ ขืนเอาไปเล่าให้ซินฟัง มีหวังหมอนั่นได้บุกไปอาละวาดถึงห้องมาดามวาเนสซาแน่

“แล้วทำไมคุณถึงลังเลที่จะเลือกมาริโอล่ะ? ข้อเสนอเขาก็น่าสนออกนะ”

“แต่ผมไม่ไว้ใจเขา ...ผมไม่ชอบเขาด้วย”

“งั้นก็เลือกมาดามสิ เท่าที่ผมรู้จักมา เธอก็เป็นคนที่ไว้ใจได้อยู่นา”

“คุณจะให้ผมเป็นเมียน้อยฟ้าจริงๆ เรอะ? ...จริงๆ ผมก็ปฏิเสธไปแล้วด้วย แถมยังไปพูดอวดดีไว้อีก ถ้าจะให้กลับคำมันก็...”

“อืมม นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา เอาใจยากจังน้า ฮิเดโกะเนี่ย~”

“โว้ยยยย!” 

ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้

ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับนายตะวันฉายด้วยวะเนี่ย!?

“หาผัวใหม่เลยดีมะ?”

ผมหันไปมองด้วยตาขวางๆ พูดเสียงเย็นๆ

“อยากนอนใต้นั้นไปตลอดชีวิตมะ? ผมจะได้ฝังกลบให้ซะเลย”

“แหม ผมก็แค่แกล้งยิงมุขให้คุณผ่อนคลาย ผ่อนคลายน่ะ”

“ผมไม่ผ่อนคลาย! ผมเคียด!

กระทืบหมอสักคนแก้เครียดซะเลยดีมะ? ฮึ่ม...

“.......”

“อย่าทำหน้าดุแบบนั้นสิ ผมจะกลัวจริงๆ แล้วน้า~”

“นี่หมอ”

“ครับผม?”

“คืนนั้นคุณไปทำอะไรที่นั่นกันแน่?”

“ห๊ะ ไหงวกมาเรื่องผมได้ล่ะ?”

“ก็คุณอยากทำตัวไร้ประโยชน์ทำไม ปรึกษาอะไรก็ไม่ได้ รีบเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังแก้เครียดเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ผมจะหมดความอดทนแล้วกระทืบคนแถวนี้”

เปล่าหรอก ผมแค่อยากรู้มานานแล้ว แต่ถามทีไรเขาก็ชิ่งก่อนตอบทุกที

“แต่แถวนี้นอกจากคุณก็มีแค่ผมคนเดียวนะ” 

“ก็ผมจะกระทืบคุณนั่นแหล่ะ ถ้ายังไม่เล่าอีก”

“เอาแต่ใจที่สุด!

“.......”

“ก็ได้ๆ คืนนั้นผมไปคุ้มครองตัวประกันตามคำขอร้องของบ๊จจัง”

ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย...

“เพราะตอนนั้นเราไม่มีเวลามากพอที่จะวางแผนดีๆ ก็เลยต้องใช้แผนหยาบๆ ของลาซโลกับมาริโอ แต่บ๊จจังก็อยากทำให้แน่ใจว่าพี่ชายคนสำคัญของคุณจะปลอดภัย เขาก็เลยมาขอร้องผม สีหน้าจริงจังของเขาตอนนั้นดูน่ารักชะมัดเลยล่ะ ทำเอาคิดถึงบ๊จจังตัวน้อยๆ ที่เคยมาขอร้องให้ผมไปช่วยจับแมลงสาบออกจากห้องนอนขึ้นมาเลย เมื่อก่อนนะ เขาเดินตาแดงมาขอร้องผมทุกวันเลยล่ะ น่าร้ากกก”

“ทุกวันเลยเหรอ?”

“ช่ายยย เพราะโคเนซังขยันเอาแมลงสาบไปปล่อยไว้ทุกวันน่ะ”

โคเนโร... จิตใจนายทำด้วยอะไร ไอ้อำมหิตโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา!

ผมรู้สึกสงสารฟ้าขึ้นมาเลย เพราะผมเองก็ไม่ชอบแมลงสาบเหมือนกัน

“แต่ตอนที่ผมแอบเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้ คุณพี่ชายก็หนีออกมาก่อนแล้ว”

“คุณแอบเข้าไปที่นั่นทำได้ยังไง?”

“ก็ผมเป็นหมอไง ผมมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือชีวิตผู้คน ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน”

“แหลเหอะ ไม่มีหมอที่ไหนเขาทำแบบนั้นหรอก เลิกเฉไฉได้แล้ว คุณเคยเข้าไปที่นั่นมาก่อนใช่ไหม? คุณรู้จักเส้นทางในบ้านหลังนั้นดี แล้วคุณก็อยู่ในเหตุการณ์เมื่อแปดปีก่อนด้วย? คุณเคยเข้าไปช่วยฟ้าที่ถูกลักพาตัวไปขังไว้ที่นั่นใช่ไหม?”

 ! ”

หมออ้าปากค้าง สองมือแนบแก้มอย่างกับเจ้าเด็กแสบใน ‘Home Alone’

อึ้งล่ะซี่... ผมก็แค่เอาข้อมูลที่มีมาปะติดปะต่อกัน แต่ยอมรับว่าแอบลักไก่ไปบ้าง ผมไม่คิดว่าที่พูดไปนั่นจะถูกทั้งหมดหรอก แต่มันก็น่าจะโดนบ้างล่ะน่า

ที่จริงแล้วคุณไม่ใช่แค่หมอบ้านธรรมดา แต่เมื่อก่อนคุณเคยเป็นหมอทหาร หรืออาจจะเคยอยู่ในหน่วยรบพิเศษมาก่อนด้วยใช่ไหม? แต่คุณบาดเจ็บที่หัวขณะปฏิบัติหน้าที่ จนสมองมีปัญหา คุณก็เลยต้องออกมาหางานอื่นทำ แต่ไปที่ไหนก็ไม่มีใครรับคุณ เพราะสมองคุณมีปัญหา เงินเก็บคุณเริ่มร่อยหรอ คุณถูกไล่ออกจากบ้านเช่าเพราะไม่มีเงินจ่าย และสมองมีปัญหา คุณต้องนอนข้างถนน คุณถูกขอทานรุมซ้อมแล้วแย่งเงินห้ายูโรสุดท้ายไป ทำให้สมองยิ่งมีปัญหา คุณไม่เหลือเงินซื้อข้าว แถมสมองยังมีปัญหา คุณกำลังจะอดตาย ทั้งที่สมองยังมีปัญหา คุณ...”

“หยู๊ดดดดดด!”  หมอชูมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อเบรกผม

“คุณมีปัญหาอะไรกับสมองผมนักหนาเนี่ย ฮิเดโกะ!? ฮัดชิ่วว!

“ผมเปล่า สมองคุณต่างหากที่มีปัญหา แล้วเมื่อไหร่คุณจะเลิกเรียกผมว่า  ฮิเดโกะๆ สักที? ผมบอกคุณไปตั้งหลายครั้งแล้วนะว่า ไม่ชอบๆ”

“แต่ผมชอบของผมนี่”

ฮึ่มม กอบใบไม้แห้งแถวนี้มา โปะๆๆ แล้วก็จุดไฟเผาซะเลยดีไหม?

“แล้วตกลงว่าผมเดาถูกบ้างหรือเปล่า?”  ผมกลับเข้าเรื่อง

“ข้อเดียว ผมเคยเข้าไปในบ้านหลังนั้น แค่นั้นแหล่ะ”

“แค่นั้นเอง? คุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อแปดปีก่อนหรอกเหรอ?” 

ผมรู้สึกผิดหวัง อุตส่าห์นึกว่าจะได้รู้อะไรมากกว่านี้ซะอีก

“ผมเคยเข้าไปเพราะแอบกิ๊กกับสาวใช้บ้านนั้นต่างหาก”

“.......”

“เรื่องจริงนะ เธอสวยเช้งไปเลยล่ะ เสียดายไม่น่ามาอายุสั้นเลย” 

“.......”

“ถึงจ้องไปผมไม่มีอะไรจะบอกคุณมากกว่านี้หรอกน่า

“.......”

ที่ผมรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะเมื่อวานตอนนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องกับซิน พวกเราเกิดสงสัยเกี่ยวกับตระกูลซากาเรีย แล้วก็เลยลองค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต จากนั้นเราก็พบข่าวเก่าที่ค่อนข้างน่าตกใจจากเมื่อแปดปีก่อน สังหารโหดตระกูล  ซากาเรีย’, ‘ฆ่าล้างตระกูลซากาเรีย’, ‘โศกนาฏกรรมแห่งคฤหาสน์ซากาเรีย ฯลฯ เป็นพาดหัวข่าวจากหลายๆ เว็บไซด์ที่เราเจอ รู้สึกจะเป็นข่าวสะเทือนขวัญที่โด่งดังไปทั่วยุโรปในปีนั้นเลย เกือบทุกเว็บให้ข้อมูลตรงกันว่าคืนนั้นมีคนตาย 13 ศพ เป็นคนของตระกูลซากาเรีย 7 ศพ คนของแก๊งมาเฟียกาซาเลซี 6 ศพ มีเพียงเว็บเดียวที่รายงานว่าคนตายมีทั้งหมด 14 ศพ และศพที่ 14 เป็นชายชาวเอเชียไม่ทราบชื่อ ไม่มีการรายงานเกี่ยวกับคดีลักพาตัว ไม่มีชื่อของแบร์ลุสโคนีเข้าไปเกี่ยว ตำรวจสรุปสำนวนว่าเป็นการหักหลังกันเองระหว่างพวกมาเฟีย ในข่าวอ้างอย่างนั้น...  

มีแต่จุดน่าสงสัยเต็มไปหมดเลยไม่ใช่หรือไง หมอจะไม่รู้อะไรเลยจริงเหรอ?

“ทำไมคุณไม่ไปถามบ๊จจังเอาล่ะ เขาอยู่ในเหตุการณ์นี่”

“ผมถามแล้ว แต่เขาว่าเขาจำอะไรไม่ได้... รู้ตัวก็กลับมาอยู่ที่นี่แล้ว”

“งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะน้า~”

“แต่ผมคาใจอ่ะ”

“เรื่องบางเรื่อง ไม่รู้เลยอาจดีกว่าก็ได้นะ ฮิเดโกะ”

“ ? ”

นี่ถือเป็นคำเตือนที่ดูจริงใจที่สุดตั้งแต่ผมรู้จักหมอคนนี้มาเลยก็ว่าได้

มันหมายความว่ายังไงกันแน่?

หรือผมควรจะเลิกขุดคุ้ยเรื่องนี้ต่อจริงๆ ....



“เค~ อี่~... เค~ อี่~ จ๊างงง...~”

หือ...?

ผมหันไปตามเสียงเรียก เห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินป้องปากร้องเรียกหาหมอเคอิ เธอมีรูปร่างสูงโปร่ง ใส่เสื้อยืดแขนสั้นพอดีตัว กางเกงขาสั้นมีสายเอี๊ยม รองเท้าผ้าใบ ผมยาวหยักศกสีน้ำตาลเทาถูกผูกเป็นม้า แล้วก็เหมือนจะสะพายอะไรมาด้วย

เคอี่~... เคอี่จ๊างงง...~”

“ริเน่?”

นั่นน้องสาวของฟ้าประทานนี่นา  

“เรากำลังเล่นซ่อนหากันอยู่”  เขายกนิ้วชี้แตะปาก

“คุณนี่ท่าจะว่างจัดนะ”  ผมมองคนที่ยังนอนอยู่บนพื้นแบบทึ่งๆ

“เป็นเพื่อนเล่นกับริเน่จังก็เป็นงานของผมเหมือนกันนา... ฮัดชิ่ววว!

เสียงจามของหมอดังพอที่จะทำให้ริเน่ได้ยิน แต่ที่เธอเห็นก็มีแค่ผมเท่านั้น

จะว่าไป ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับเด็กคนนั้นเลยสินะ

“ริเน่!  ผมกวักมือเรียก

“จะทำอะไร ฮิเดโกะ?”  หมอโบกไม้โบกมือ แต่ผมไม่ได้สนใจ 

ขณะที่ริเน่มีท่าทีตกใจ นอกจากจะไม่ยอมเข้ามาใกล้ผมแล้ว เธอยังดูหวาดระแวงผมอีกด้วย ...จริงสิ สำหรับเธอตอนนี้ผมก็เป็นแค่คนแปลกหน้าสินะ

งั้นก็ช่วยไม่ได้...

“ริเน่~  ผมเรียกเธออีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ผมคว้าคอเสื้อหมอเคอิยกขึ้นมาให้เธอเห็นด้วย

“เคอี่!

มันได้ผล ริเน่วิ่งตรงมาหาพวกเราทันที

“ปล่อยโพ้มมม”  หมอพยายามดิ้น แต่เรื่องอะไรผมจะปล่อย

จงเสียสละตัวเป็นสะพานให้ผมได้เหยียบข้ามไปหาน้องสาวของฟ้าซะเถอะ

“นี่แน่ะๆๆๆๆ !!

พอมาถึงริเน่ก็เปิดฉากยิงปืนฉีดน้ำใส่หน้าหมอแบบไร้ปราณี (ช่ายย ผมรู้แล้วล่ะว่าที่เธอสะพายมาด้วยก็คือ ปืนฉีดน้ำ แถมยังเป็นชนิดแรงดันสูงซะด้วย) ไม่เพียงแค่หน้าตาหัวหูของหมอที่เปียกโชก หน้าผมก็พลอยโดนไปด้วยเหมือนกัน ก็ทางนั้นเล่นหลับหูหลับตายิงกระหน่ำซัมเมอร์เซลไม่มียั้งมือเลย

เอิ่ม... คิ้วผมกระจุยหมดแล้วมั้งเนี่ย ปืนจะแรงไปไหน

“ยอมแพ้แล้วๆๆๆ” 

หมอโบกผ้าเช็ดหน้าเปื้อนน้ำมูกไปมาแทนการยกธงขาว ผมปล่อยมือจากเขา แล้วเอามาลูบหน้าชุ่มน้ำของตัวเองแทน ...จบแล้วสินะ เฮ้ออ

“เย้~ ริเน่ชนะ!  เธอประกาศอย่างดีใจ พลางกระโดดกระเต้นไปรอบๆ

“ริเน่ชนะแล้ว เย้~”

“เย้...~”  ผมชูมือยินดีไปกับเธอด้วยเสียงเนือยๆ

แขนที่เจ็บของผมก็พลอยเปียกไปด้วย ผ้าพันแผลงี้หนักอึ้งเชียว กรรมแท้ๆ

“ฮ้าดดด ชิ่ววว! ฮัดชิ่วๆๆ ฮ้าดชิ่ววววว!”  หมอจามรัวๆ จนน้ำหูน้ำตาเล็ด

“เคอี่?” 

ผมกับริเน่ย่อตัวลงไปดูอาการของคนที่นั่งสั่นเพราะเริ่มหนาว

ฮัดชิ่ววว!  เขาจามอีก น้ำมูกยืดเชียว

ผมว่าคุณไปหาหมอเหอะ”  ท่าทางไม่ไหวแล้วนะ

“ก็ผมนี่แหล่ะหมอ ฟืดดดด...”















โปรดติดตามตอนต่อไป.......




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น