MADAME MAFIA
chapter 7
เช้าวันนี้ ซินกับครอบครัวซอลลี่ออกไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และโบราณสถานในตัวเมืองเนเปิลส์กัน(..เนเปิลส์เป็นเมืองแห่งโบราณสถานและโบราณวัตถุ
ที่ยอมรับกันว่ายิ่งใหญที่สุดในยุโรปอยู่แล้ว)
พวกเขายืมรถของบ้านแบร์-ลุสโคนีพร้อมทั้งคนขับไปด้วย ตอนขากลับซินขอแยกตัวออกมาคนเดียวเพราะบอกว่ามีธุระต้องไปทำนิดหน่อย
เสร็จแล้วจะเรียกแท็กซี่กลับเอง
แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครติดต่อซินได้อีกเลย
ขณะเดียวกัน
หน่วยลาดตระเวนในเมืองของแบร์ลุสโคนีก็ได้รับแจ้งถึงความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกลุ่มคนในรายชื่อที่พวกเขากำลังจับตามองอยู่
พวกนั้นนัดเจอใครบางคนที่ร้านไอศครีมแห่งหนึ่ง
พอลองไปตรวจสอบดูก็พบว่าทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
สอบถามจากพนักงานในร้านก็พบว่ารูปพรรณสัณฐานของหนึ่งในนั้นตรงกลับแขกคนหนึ่งของบอสฟาที่มาจากลอนดอนไม่มีผิด
ยิ่งได้รับแจ้งว่าติดต่อซินไม่ได้เรื่องก็ยิ่งเข้าเคล้า เขาจะต้องถูกคนพวกนั้นพาตัวไปแน่
พนักงานให้ข้อมูลต่ออีกว่า ลูกค้ากลุ่มนั้นซึ่งมีกันสามคน(รวมซินด้วย)
ออกจากร้านไปโดยขอใช้ประตูทางด้านหลังร้านเพราะมันเชื่อมต่อกับตรอกอีกตรอกหนึ่ง
จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเอะอะเหมือนมีการต่อสู้กัน เธอรีบไปตามผู้จัดการร้าน แต่พอกลับมาอีกทีก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว
ราวกับทั้งหมดหายตัวไปเฉยๆ
และนั่นคือข้อมูลที่เรามีในตอนนี้....
ผมนั่งอยู่ในรถด้วยความกระวนกระวายใจตลอดทางกลับคฤหาสน์แบร์-ลุสโคนี
ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไร? ซินไปรู้จักกับคนพวกนั้นได้ยังไง? มันติดต่อกันทำไม?
แล้วจับตัวซินไปทำไม? แล้วทำไมต้องเป็นซิน? ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย
“.......”
ฟ้าเอื้อมมือมาบีบมือผมโดยไม่มีคำพูดใด
ที่จริง เขาคงไม่รู้จะพูดอะไร
เพราะเรายังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
และตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะได้ยินอะไรจากเขา เราจึงได้แต่นั่งเงียบกันทั้งคู่
“.......” ผมบีบมือฟ้าตอบ
ผมไม่เป็นอะไร ซินก็ต้องไม่เป็นอะไรเหมือนกัน...
“อะไรน่ะ?”
พอมาถึงหน้าประตูรั้วอันใหญ่โตของตระกูลแบร์ลุสโคนี
ผมก็สังเกตเห็นคนชุดดำ 2 คน ซึ่งน่าจะเป็นการ์ดของแบร์ลุสโคนีกำลังจับกุมใครบางคนอยู่
คนที่ว่านั่นเป็นผู้ชายซึ่งผู้รู้สึกคุ้นรูปร่างด้านหลังของเขาชอบกล
เขาคงถูกสั่งให้นอนคว่ำหน้าบนพื้น ประสานมือไว้บนท้ายทอย
ระหว่างที่พวกการ์ดตรวจค้นตัวและสัมภาระของเขา
ปิ๊นน ปิ๊นนนน...
พอได้ยินแตรรถของฟ้า การ์ดหนึ่งในสองคนนั้นก็รีบวิ่งมาหา
“มีอะไรกัน?” ฟ้าลดกระจกถาม
การ์ดหนุ่มดูตกใจที่เห็นว่าคนในรถคือบอสใหญ่ของพวกเขา
อาจเป็นเพราะรถคันนี้เป็นของมานะ หมอนั่นก็คงจะคิดว่าคนในรถก็น่าจะเป็นมานะล่ะมั้ง
“พวกเราเห็นผู้ชายคนนั้นมาด้อมๆ มองๆ แถวข้างรั้วอยู่พักใหญ่ ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจก็เลยเข้าไปขอตรวจค้นครับ
แต่เขาสื่อสารไม่รู้เรื่อง แถมยังไม่ให้ความร่วมมือ เราจึงจำเป็นต้องใช้กำลังบังคับนิดหน่อย”
การ์ดรายงานเสียงดังฟังชัด
อืม แต่ข้างหลังมันดูคุ้นจริงๆ นะ
อ๊ะ...!
“ฟ้าประทานนนนน!!!”
ผู้ชายคนนั้นแหกปากตะโกนทันทีที่หันมาเห็นฟ้านั่งอยู่ในรถ
“ไอ้นั่นมัน...” ฟ้าพึมพำ
“สกาย!”
ผมรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปหาเพื่อนสนิทที่กำลังตกที่นั่งลำบาก
“ซัน!?” สกายผุดลุกขึ้น
สีหน้าดูดีใจสุดๆ ที่เห็นผม
“ไอ้ซัน! โฮฮฮฮฮ ไอ้ซันน้องพี่~”
มันอ้าแขนโผเข้ามาจะกอดผม
แต่ผมใช้มือยันหน้ามันเอาไว้ก่อน ไอ้ห่านี่ชอบลามปามตลอด ความจริงมันเกิดทีหลังผมตั้งหลายเดือน แต่พอเป็นแฟนกับซินเข้าหน่อย
ก็ดันมโนเอาเองว่าตัวมันเป็นพี่ชายผมไปด้วย มันน่า... จริงๆ
“ทำไมมึงถึงอยู่ในสภาพนี้ได้เนี่ย?” ผมช่วยปัดฝุ่นออกจากเนื้อตัวมัน
“ก็กูบอกว่าเสร็จงานแล้วจะตามพวกมึงมาใช่มะ?
กูบอกไว้แล้วอ่ะ แต่พอมาถึงกูดันติดต่อใครไม่ได้เลย ซินไม่รับโทรศัพท์กู
มึงก็โทรศัพท์หาย ฟ้าประทานกูก็ไม่รู้เบอร์ ก็เลยลองคลำทางมาเอง โชคดีที่หาไม่ยาก บอกว่าจะไปบ้านแบร์ลุสโคนี
แท็กซี่เขาก็พามาส่งถึงตรงนี้เลย แต่พอมาถึงแล้วก็ไม่รู้จะเข้าไปยังไง
ประตูอย่างใหญ่แต่ไม่มีกริ่งหรืออะไรให้กดเรียกคนในบ้านเลย ลองส่องรอดรั้วเข้าไปก็เห็นแต่ป่าไม่เห็นมีบ้าน
กำลังคิดว่าจะลองปีนกำแพงข้ามไป พี่ชายพวกนั้นก็ออกมาพอดีอ่ะ”
สกายพล่ามเป็นชุด ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจที่รอดพ้นเงื้อมมือพี่ชายพวกนั้นมาได้
แล้วก็เป็นโชคดีของมันแล้วล่ะ ที่ไม่ได้ปีนกำแพงจริงๆ
ไม่งั้นมีสิทธิ์ถูกยิงตกได้เลยนะ
“กูพูดอะไรเขาก็ไม่ฟังเลย กูอุตส่าห์ บงชูร์ๆ แบบเป็นมิตรสุดๆ แล้วนะ
ก็จะเข้ามาลวนลามกูท่าเดียว กูบอกอย่าๆ กูมีแฟนแล้ว กูรักเดียวใจเดียว แล้วกูก็ไม่นิยมแบบ
3P แต่เขาดันโกรธกู จับกูกดลงกับพื้น แล้วยังเอาปืนมาจ่ออีก นี่ถ้ามึงไม่ผ่านมาพอดี
กูอาจจะเสียตัว มีผัวแบบไม่ได้ตั้งใจก็ได้นะ..(กระซิก)...”
ท่าทางกระซิกๆ ของมันยังแรดได้ใจผมเหมือนเดิม ไม่อยากจะทำใจยอมรับจริงๆ แต่ไอ้นี่แหล่ะ ‘พี่เขย’
ผม (..ในทางพฤตินัยน่ะ คุณเข้าใจใช่มะ?)
แล้วก็.. เอิ่ม...
เมื่อกี๊พวกมันไม่ได้จะลวนลามมึง มันแค่จะค้นตัวมึง
เพราะมึงดันทำตัวน่าสงสัยเอง แล้วที่มันต้องกดมึงลงกับพื้นก็เพราะว่ามึงไม่ยอมให้ความร่วมมือกับมันตั้งแต่แรก
...แล้วก็นะ สกายเอ๊ย บงชูร์พ่อง! นั่นมันภาษาฝรั่งเศส!
แต่ที่นี่มันอิตาลี มึงก็มาเดินแบบที่อิตาลีบ่อยๆ เพื่อนนายแบบอิตาเลียนก็น่าจะพอมี
แล้วทำไมมึงถึงสับสนได้วะ?! มึงโง่หรือมึงแค่โง่กันแน่? มึงทำให้ไอ้ยูดูฉลาดขึ้นมาเลย
พูดจริงๆ
สรุปก็คือ สกายพูดได้แค่อังกฤษ
การ์ดก็เข้าใจได้แค่อิตาเลียน แบบนี้พูดกันให้ตายก็ไม่มีใครรู้เรื่อง!
แล้วฟ้านี่ยืนทำหน้าแบบ... ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงเลย
นี่ถ้าการ์ดสองคนนั้นฟังภาษาไทยออก แล้วรู้ว่าสกายพูดอะไรบ้างนะ ผมว่าพวกมันก็คงทำหน้าไม่ต่างจากเจ้านายมันแหล่ะ
...ก็คิดไปได้ จินตนาการล้ำเลิศจริงๆ มึง
“แล้วทำไมมึงไม่โทรหาซอลลี่?”
“อ๊ะ...!” ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่งนึกได้จริงๆ
“เออ กูโทรหาพี่ซอลก็ได้นี่หว่า
ทำไมกูถึงคิดไม่ได้วะ...”
มึงโง่ไง ...ขอแอบด่าในใจหน่อยเหอะ เซ่อเกิ๊นนน
“เก็บของเหอะ เดี๋ยวพวกการ์ดจะพาไปส่งข้างใน” ฟ้าบอก
เพราะเฟอร์รารี่คันนั้นไม่มีที่ว่างสำหรับบุคคลที่สาม
เราเลยจำเป็นต้องใช้รถคันที่สองสำหรับสกาย ผมบอกฟ้าว่าผมจะไปกับหมอนี่
เขาก็ไม่ขัดข้อง เขาเคลียร์กับการ์ดจนเข้าใจกันแล้วก็เดินกลับไปที่รถ
แล้วขับออกไปเลย
“อย่างกับไม่ใช่คนที่เราเคยรู้จักเลยนะ”
สกายหันมาพูดกับผมหลังมองตามฟ้าไปจนสุดสายตา
“แล้วมึงเหมือนเดิมหรือไง?”
ผมย้อน
มันก็จริงที่ฟ้าอาจจะดูเปลี่ยนไปบ้าง ทั้งท่าทาง
ทั้งบรรยากาศรอบตัว แต่ก็ไม่เห็นจะแปลก ช่วงเวลาตั้ง 4 ปี
คนเรามันก็ต้องมีเปลี่ยนบ้างไม่มากก็น้อย จะด้วยวัยที่เปลี่ยนไป
สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามา... ไม่มีใครเหมือนเดิมได้ตลอดไปหรอก
ทั้งผม ทั้งสกาย ทั้งฟ้าประทานนั่นแหล่ะ
ผมช่วยสกายเก็บข้าวของที่ถูกรื้อค้นกลับใส่กระเป๋า หมอนี่พกมาแค่เป้ใบใหญ่ใบเดียวจึงไม่มีของมากนัก
แต่เจ้าตัวกลับนั่งกินแรงกันซะงั้น
“หืม กูว่ามึงเองก็เปลี่ยนไปนะ” มันเอียงคอมองหน้าผม
“เปลี่ยนภายในสามวันที่กูไม่ได้เจอมึงนี่แหล่ะ”
“ยังไง?”
“ก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้น สงสัยจะได้น้ำดี...โอ๊ยย”
“เอาของมึงไป”
ผมเก็บของเสร็จพอดีก็เลยเอาทุ่มเป้ใส่มันทั้งใบ แล้วเดินนำไปขึ้นรถกอล์ฟที่การ์ดขับมาจอดรอ
โดยมีสกายเดินหัวเราะร่วนตามมา
“แน่ะๆ มีเขินๆ ฮ่าๆๆๆ”
“.......”
“เออ ซัน มึงว่าซินจะเซอร์ไพรรรรส์ไหม?
ที่เห็นกูมาเองแบบนี้”
“.......”
มึงนั่นแหล่ะที่จะเซอร์ไพรส์ สกาย
ผมได้แต่คิดอย่างทุกข์ใจ
ไม่รู้จะเริ่มบอกกับสกายยังไงดี...
“สรุปคือตอนนี้... พวกเราไม่รู้อะไรเลย?”
ฟ้าถามเสียงเรียบหลังฟังรายงานสถานการณ์จากมานะจบ แต่บรรยากาศรอบตัวเขามันดูกดดันกว่าปกติ
คล้ายกับว่ากำลังไม่พอใจการทำงานของลูกน้องอยู่
“ไม่รู้ความเชื่อมโยง ไม่รู้แรงจูงใจ ไม่รู้ว่าใครบงการ”
“ขอโทษครับ”
มานะก้มหน้ายอมรับผิด
แต่ที่จริงมันก็ไม่ผิดหรอก
ผิดที่ซินออกไปทำอะไรโดยที่ไม่บอกใครต่างหาก
คอยดูนะ กลับมาเมื่อไหร่จะชกให้หายซ่าสักทีสองที...
“.......”
ถึงจะคิดโกรธเคือง แต่ขอบตาของผมกลับกำลังร้อนผ่าว
“ซิน...”
เสียงสกายที่นั่งกอดกระเป๋าเป้อยู่บนโซฟาพึมพำ
ตั้งแต่ได้รับรู้สถาณการณ์ของซินตอนนี้ หมอนั่นก็ได้แต่ซีดและซีดลงเรื่อยๆ
จนแทบไม่มีสีเลือดบนหน้าแล้ว
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไป?” ซอลลี่ถาม
หมอนี่ยืนกัดเล็บมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว
ถึงปกติจะมีท่าทางไม่ค่อยสนใจว่าซินกับผมจะไปเป็นตายร้ายดีที่ไหน แต่จู่ๆ
ซินมาหายตัวไปในสถานการณ์แปลกๆ แบบนี้ก็คงจะต้องรู้สึกกังวลเป็นธรรมดา
ยังไงเราก็พี่น้องกันนี่นา
ฟ้านั่งถูคิ้ว
เขาเองก็คงจนปัญญาจะหาคำตอบให้เราเหมือนกัน
“ซันนี่ พูดอะไรบ้างสิ”
เมื่อถามจากฟ้าไม่ได้ ซอลลี่ก็หันมาไล่เอากับผมแทน
“ซันไม่รู้”
แต่ผมจะไปรู้อะไรล่ะ ผมก็มืดแปดด้านเหมือนกัน
“หมอนั่นไม่เคยพูดอะไรกับนายเลยเหรอ?”
ผมส่ายหัว
ผมไม่เคยได้ยินซินพูดถึงใครที่มันรู้จักในเนเปิลส์เลย
“จริงสิ...”
ผมหันไปหามานะ
“มึงบอกว่ากลุ่มคนที่คาดว่าจะพาตัวซินไป อยู่ในลิสต์ที่ถูกเฝ้าจับตามอง”
“มันเป็นพวกแก๊งลักเล็กขโมยน้อยน่ะ
หัวหน้าของพวกมันเปิดร้านขายของมือสองอยู่ในเมือง แต่พักหลังเห็นว่าชอบปิดร้านบ่อย
พวกลูกน้องก็ไม่ค่อยออกไปตกเหยื่ออย่างเคย เหมือนพวกมันไปทำอย่างอื่นกันหมด
มันแปลกไปเราก็เลยสงสัย”
“ถ้ารู้ว่าฐานพวกมันอยู่ที่ไหน เราก็บุกไปที่ฐานมันเลยสิ”
“ปัญหาคือ... ดูเหมือนพวกมันจะทิ้งฐานไปแล้ว”
สายป่านเส้นเดียวที่ผมไขว่คว้าหามาได้
หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา
“งั้นเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของหมอนั่นคนเดียว
แต่เกี่ยวกับเราด้วย”
ฟ้าพูดขึ้นมา มานะพยักหน้าเห็นด้วย
แต่ผมกับซอลลี่ยังไม่เข้าใจ
“ถ้าเป็นแค่เรื่องส่วนตัว
พวกนั้นก็คงไม่ต้องกลัวว่าจะชนกับแบร์ลุสโคนี เพราะว่ากันตามตรงซินเซียร์ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแบร์ลุสโคนีเลย
แต่ถ้าถึงกับทิ้งฐานไปแบบนี้ แสดงว่าพวกมันรู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าจะต้องถูกแบร์ลุสโคนีตามล่าแน่
แปลว่าคงจะสืบเรื่องของหมอนั่นมาดีพอสมควร และคงจะวางแผนเตรียมรับมือกับพวกเราไว้แต่แรกแล้วด้วย
ถึงได้ย้ายรังแบบไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย”
มานะอธิบาย
งั้นที่เกิดเรื่องกับซินคราวนี้ สาเหตุก็อาจจะมาจากผม..!?
“แต่ลำพังโจรกระจอกอย่างพวกมันอยู่ดีๆ
คงจะไม่คิดทำการใหญ่ขึ้นมาเองหรอก เรื่องนี้คงจะต้องมีคนชักใยอยู่ข้างหลังอีกทีแน่” มานะสันนิษฐาน
“มีคนไม่มากในอิตาลี... โดยเฉพาะในนาโปลี
ที่จะกล้าท้าทายแบร์ลุสโคนี ตรงๆ ผมว่าเราน่าจะลองเริ่มสืบจากรายชื่อพวกนั้นก่อน”
“อือ”
ฟ้าเห็นด้วย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วย ‘มาโค’ บอดีการ์ดหน้าหุ่นของฟ้าที่พาใครอีกคนเข้ามาด้วย เขาเป็นผู้ชายที่ตัวเตี้ยกว่ามาโคนิดหน่อย
แต่ล่ำไม่แพ้กันเลย
“ลาซโล่ครับ บอส” ผู้ชายคนนั้นรายงานตัวกับฟ้า
ผมจำเสียงเขาได้ เขาก็คือ ‘ลาซโล่’ ที่ผมกับมานะเจอในคืนงานเลี้ยงนั่นเอง
ผมเห็นหมอนั่นแอบยักคิ้วให้มานะด้วย
ก่อนจะเอาถุงพลาสติกที่ถือติดมือมาวางลงบนโต๊ะทำงานของฟ้า ข้างในมีโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง
“โทรศัพท์ซิน...”
ผมจำได้ทันทีที่เห็น
“คนของผมเจ้าเก็บนี่ได้จากพุ่มดอกไม้ในที่เกิดเหตุ”
“บางทีอาจจะมีเบาะแสอะไรอยู่ในนี้บ้างก็ได้”
ความเห็นของมานะทำให้ผมเริ่มมีความหวัง
“ขอดูหน่อย”
สกายขยับตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้ฟังข่าวร้าย
ทุกคนขยับเข้ามาดูด้วยใจลุ้นระทึก
ระหว่างที่สกายใช้ลายนิ้วมือของตัวเองปลดล็อคโทรศัพท์ของซิน(ปกติหมอนี่ชอบขอเช็กโทรศัพท์ของซินอยู่บ่อยๆ
ซินก็เลยตัดรำคาญด้วยการยอมให้มันบันทึกลายนิ้วมือไว้ในเครื่องตัวเองเลย)
สกายเปิดเช็คข้อมูลการโทรก่อน แต่นอกจากสกายและ ‘ซูซี่’
เลขาสาวสองของซิน หมอนั่นก็ไม่ได้ติดต่อใครเลย เดี๋ยวนะ...
แต่มีเบอร์แปลกอยู่เบอร์หนึ่ง
“นี่เป็นเบอร์จากตู้สาธารณะในเขตเมือง” มานะบอก
เบอร์จากตู้สาธารณะ? โทรมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน...
คุยกันแค่ 2 นาที
ต่อไปก็ลองเปิดดูข้อความ...
[ผมรู้ว่าคุณคงอยากได้โทรศัพท์คืนไวๆ
แต่ผมมีปัญหานิดหน่อยเลยไม่สะดวกออกไปหา ไว้จะแจ้งสถานที่นัดพบไปอีกที ขอโทษจากใจ]
ข้อความนี้ถูกส่งมาเมื่อเช้า จากเบอร์ ‘Unknown’
ห่างกัน 4 ชั่วโมง มีอีกหนึ่งข้อความ
เนื้อหาในนั้นระบุสถานที่ตั้งของร้านไอศรีมที่เกิดเหตุไว้ ซินออกไปเพราะข้อความพวกนี้...?
“โทรศัพท์กู...”
ผมคราง ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างอ่อนแรง
“พวกนั้นใช้โทรศัพท์ที่หายไปของกูล่อซินออกไป!?”
“เอ่อ... จะเป็นไปได้ไหมว่า บางทีเป้าหมายจริงๆ
ของพวกมันอาจไม่ใช่ ซินเซียร์
แต่เป็นซันชายน์?”
ข้อสันนิษฐานของมานะคือสิ่งที่ผมกำลังกลัว
ผมกลัวว่าตัวเองจะทำให้ซินเดือดร้อน และมันก็กำลังเกิดขึ้นจริง!
“แต่ซินเซียร์ดันออกไปคนเดียวโดยไม่บอกใคร
เรื่องก็เลยกลายเป็นแบบนี้”
“จับผิดตัวเหรอ?”
ซอลลี่ถาม
“ยังไม่แน่หรอก...”
ฟ้าพูดเนิบๆ
สีหน้าของเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งอยู่
“มันจงใจขโมยโทรศัพท์ของซันชายน์ไปตั้งแต่แรก แสดงว่ามันต้องรู้ความเคลื่อนไหวของพวกมึงเป็นอย่างดี
แล้วก็คงจะรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกมึงกับฟ้าด้วย...” มานะหันไปขอความเห็นจากฟ้าที่พยักหน้าช้าๆ
“มันอาจจะติดต่อกลับมาเร็วๆ นี้ก็ได้...”
“ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าพวกมันต้องการต่อรองอะไรบางอย่างกับฟ้า”
ฟ้ากับมานะเห็นพ้องต้องกัน ดูเหมือนซินจะกำลังตกเป็นตัวประกัน
“แต่พวกมันหวังผลจากฟ้าคนเดียว
หรือจากแบร์ลุสโคนีล่ะ?” มานะพึมพำ
“หมายถึง
ศัตรูอาจเป็นคนที่มีความแค้นส่วนตัวกับฟ้าก็ได้เหรอ?” ผมถาม
“ก็อาจเป็นไปได้ ถึงกูจะนึกไม่ออกก็เหอะ มานะ...”
“ครับ”
“ไปสืบตามแบล็คลิสต์ก่อน”
“ครับ”
“ลาซโล่”
“สั่งมาได้เลยครับ บอส”
“หาข้อมูลจากสายของเราให้ได้มากที่สุด
เราต้องการทุกอย่างที่พวกมันรู้”
“รับทราบ”
“มาโค ไปตามตัวมาร์กี้มา ไม่ว่ามันจะทำภารกิจอะไรอยู่
ลากมันมาก่อน”
มาโคพยักหน้ารับแล้วออกไปเลย
มานะกับลาซโล่ก็ตามออกไปด้วย
“ซินจะยังปลอดภัยดีใช่ไหม ฟ้าประทาน?” สกายถามฟ้าอย่างขอร้อง
“อย่างน้อยก็ตอนนี้...”
นั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่ฟ้าสามารถให้กับเราได้
“เรื่องนี้มันไม่ดีต่อหัวใจพี่เลย” ซอลลี่เริ่มกัดเล็บอีกรอบ
ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาในเวลาที่ทุกคนกำลังระส่ำระสายแบบนี้
แต่มันก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน... ผมอยากจะร้องไห้
ซิน มึงไปอยู่ที่ไหนนะ?
“กาย...”
ผมเดินมาหยุดยืนข้างสกายที่นั่งเหม่อมองวิวอ่าวเนเปิลส์บนราวระเบียงห้องพัก
แม้พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปแล้ว
แต่เราก็ยังไม่ได้รับความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องของซินเลย ฟ้าเองก็เงียบหายไปเลยตั้งแต่เราแยกกันที่ห้องทำงานเขา
“กู...”
ความรู้สึกผิดที่บีบรัดหัวใจผมอยู่ตลอดเวลาทำให้ผมคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรสักอย่างกับสกาย
อย่างน้อยผมก็ควรจะได้ขอโทษ...
“ไม่ใช่ความผิดของมึงหรอก”
แต่สกายเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร
มันหันมายิ้มให้อย่างเศร้าสร้อยแล้วกลับไปมองแสงสีส้มที่พระอาทิตย์ทิ้งไว้บนเส้นขอบท้องฟ้า
“ซินเองก็คงคิดแบบนั้น
บางทีมันอาจจะกำลังนึกดีใจอยู่ด้วยซ้ำที่คนที่ถูกจับไปเป็นตัวมัน
เพราะนั่นหมายความว่ามึง...คนที่มันรักที่สุด ปลอดภัย”
“แต่กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้...”
“ไม่มีใครอยากให้เป็นเป็นแบบนี้หรอก”
ผมกัดริมฝีปากตัวเองไว้
พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“ฟ้าประทานสัญญาแล้วว่าจะพาซินกลับมา กูเชื่อนะว่ามันต้องทำได้”
สกายหันกลับมาหาผม มืออุ่นวางลงบนหัวผม จับโคลงไปมา มันยิ้มอย่างให้กำลังใจ
ทั้งที่ข้างในอกอาจจะกำลังร้องให้อยู่
“มึงไม่เชื่อแฟนตัวเองหรือไง ฮึ?”
“กูเชื่อมากกว่ามึงอีก”
ผมเกทับดื้อๆ พยายามดึงตัวเองให้ห่างจากน้ำตา
สกายยังเข้มแข็งได้ ผมก็จะต้องไม่อ่อนแอ!
“ต้องแบบนั้นสิ!”
“ซันชายน์ สกาย”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้พวกเราหันไปมอง
จึงเห็นยูริเข็นรถบรรทุกอาหารเดินออกมาที่ระเบียง
ด้านหลังมีซอลลี่เดินอุ้มเจ้าหนูเดลตามมา ส่วนเจ้าแสบชิพที่เดินมาเอง
พอเห็นผมมันก็พุ่งตรงเข้ามากอดขาอย่างออดอ้อน
“นี่~ คิส คิส”
พอผมยกเจ้าตัวยุ่งขึ้นมา
มันก็ทั้งกอดทั้งหอมผมราวกับคิดถึงมากมาย
“กินข้าวกันเถอะ กูทำแต่ของโปรดของพวกมึงมาทั้งนั้นเลยนะ”
ยูริยกอาหารไทยที่ทำมาเองไปวางเรียงไว้บนโต๊ะอย่างน่าทาน
“กินกันก่อนเถอะ กูยังไม่รู้สึกหิวเลย...” สกายบอก
“กูก็ไม่หิว”
ผมก็เหมือนกัน
ผมคงจะกินอะไรไม่ลงจนกว่าจะเห็นซินกลับมาอย่างปลอดภัย
“กูรู้นะ ว่าตอนนี้ทุกคนคงไม่มีกะจิตกะใจจะกินอะไร
แต่ยังไงก็ต้องกินบ้าง”
ยูริยกโถข้าวสวยไปตั้งบนโต๊ะเป็นสิ่งสุดท้าย “...มันคงจะน่าเศร้า ถ้าถึงเวลาที่ซินพร้อมจะได้รับความช่วยเหลือ
แต่ไม่มีใครเหลือแรงไปช่วยมันเลย”
ผมรู้ว่ายูก็แค่ต้องพูดอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นให้เรากินอะไรบ้าง
แต่สิ่งที่หมอนั่นพูดมาก็ไม่ได้ผิด
และถ้าซินรู้ว่าผมอดข้าวเพราะมัน มันคงจะโวยวาย
“...?...”
สกายเดินผ่านผมไปนั่งประจำที่
มันจับช้อนจับส้อมขึ้นมาเตรียมพร้อม
“ขอข้าวด้วยครับ”
มันบอกยูริที่เต็มใจตักให้ทันที
“กูจะกินให้อิ่ม กูจะเก็บแรงเอาไว้เยอะๆ
เพราะกูต้องไปช่วยซิน”
ผมเซอร์ไพร้ส์มากเลยล่ะที่คำพูดของยูริส่งผลต่อสมองของสกายขนาดนั้น..
แต่ก็เป็นเรื่องดี
อย่างน้อยเย็นนี้ก็ไม่มีใครทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าวล่ะ ผมกำลังจะเดินไปนั่งอีกคน
แต่เจ้าชิพจับหน้าผมไว้เพราะผมยังไม่ได้จุ๊บตอบมันเลย
“นี่...~”
มันอ้อน
“โอเค คิส คิส”
ผมจุ๊บแก้มซ้ายแก้มขวามันหนักๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
เจ้าตัวเล็กหัวเราะชอบใจ แล้วกอดคอผมไว้ ซบหัวกับไหล่ผมอย่างรักใคร่
“ชิพเนี่ย รักอาซันจังเลยน้า~
รักมากกว่าพ่อจ๋าไปแล้วหรือเปล่า?”
ยูริแกล้งแซวลูกชายตอนที่ผมผมเจ้าชิพมานั่งข้างๆ
“ชิพ เลิฟ จ๋า~”
ไอ้เด็กนั่นก็รู้งาน ยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่ออย่างประจบ
“จ๋าก็รักชิพนะ” ยูหอมแก้มลูกกลับ
“ฮิฮิ ชิพ เลิฟ นี่~”
แล้วชิพก็กลับมากอดหอมผมอีก
ก่อนจะหันไปหาซอลลี่เหมือนเพิ่งนึกได้
“Chip
love…papa!”
“Papa love you too, sweetie.” ซอลลี่ตอบกลับ
“ชิพ! เลิฟ เดล! เลิฟ กาย! เลิฟ ชิน! Chip love...all~! ฮิฮิ”
ไอ้เด็กเช้าชู้บอกรักอีกชุดใหญ่ จนทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม
เจ้าหนูเดลหันซ้ายหันขวามองหาบางอย่าง
ก่อนจะเงยหน้าถามซอลลี่ซื่อๆ
“Papa,
where…Cin?”
ทุกคนคล้ายจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
เราก็อยากรู้เหมือนกันเดล ว่าซินไปอยู่ที่ไหน...
“ฟ้า?”
ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ออกจากห้องน้ำมาก็เห็นฟ้าประทานนั่งรออยู่บนโซฟาในห้องพักแล้ว
เขายังอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่ตอนที่เราออกมาจากเกาะอยู่เลย
“มีข่าวของซินบ้างยัง?”
ผมรีบเข้าไปถาม
“อืม พวกนั้นติดต่อมาแล้วล่ะ”
“มันว่ายังไงบ้าง? มันเรียกร้องอะไร?
แล้วมึงยอมรับขอเสนอของมันไหม? มึงต้องช่วยซินนะฟ้า!
ไม่ว่ามันจะขอแลกซินกับอะไรหรือต้องจ่ายแพงแค่ไหนมึงก็ต้องยอมนะ! กูสาบานว่ากูจะหาเงินมาใช้หนี้ให้มึงทีหลัง ขอแค่ซินปลอดภัยกลับมา
กูจะยอมทำทุกอย่างเลย กู... ฟ้า... กู...”
“ซันนี่...”
“กูขอแค่...”
“ซันนี่”
เสียงฟ้าดังกว่าเดิม มือเย็นของเขาที่เอื้อมมาแตะแก้มทำให้ผมได้สติ
ผมจับมือข้างนั้นไว้ แล้วแนบแก้มลงไปราวกับมันเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่ผมมี
“ใจเย็นนะ”
ฟ้าใช้น้ำเสียงที่ฟังอ่อนโยนกว่าปกติ ผมพยักหน้ารับหงึกๆ
ทั้งที่ไม่รู้สักนิดว่า ‘ใจเย็น’ คืออะไร(อย่างน้อยก็ในตอนนี้)
“พวกมันยังไม่ได้ยื่นข้อเสนอ มันแค่ส่งภาพนิ่งของพี่มึงมา
แล้วก็บอกว่าจะติดต่อมาอีกทีเร็วๆ นี้...”
“ภาพซิน? ไหนล่ะ? ไหน?!” ผมถามหาอย่างกระวนกระวาย
ฟ้าอิดออดเหมือนไม่อยากจะให้ดู
แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดโทรศัพท์ยื่นมาให้”
“ซิน..!”
หัวใจของผมเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่ววินาทีตอนที่ได้เห็นภาพนั้น
ซินถูกมัดมือมัดเท้าติดกับเก้าอี้
ปากก็ถูกมัดไว้แบบที่ผมเคยเห็นในหนังแอคชั่นที่มีการจับจับประกันไม่มีผิด
ท่าทางซินดูอ่อนแรง และบนใบหน้าก็มีรอยฟกช้ำหลายแห่ง
ภาพที่น่าสงสารนั่นถูกม่านน้ำในตาผมบดบังจนเริ่มมองเห็นได้ไม่ชัด
“..ฮึก...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ...”
ผมก้มลงไปจนหน้าผากแนบกระโทรศัพท์
ไม่อาจห้ามน้ำตาได้อีกต่อไป
“ทำไมคนที่อยู่ตรงนั้น...ถึงไม่ใช่กู...ฮึก...”
“ซันนี่...”
ฟ้ารั้งผมไปกอดเอาไว้หลวมๆ มือลูบหลังผมเบาๆ
อย่างปลอบประโลม
“กูจะต้องพามันกลับมาหามึงอย่างปลอดภัย อย่ากลัวไปเลย”
“...สัญญานะ...”
ผมกำเสื้อเขาเอาไว้แน่น
ฟ้ากดจูบตรงขมับ แล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“สัญญา”
คืนนั้นผมนอนหลับในอ้อมแขนของฟ้าพร้อมกับคราบน้ำตา
แล้วฝันว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำ ระหว่างตะเกียกตะกายก็มีคนใจดียื่นมือมาให้
คนนั้นไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ซินเซียร์’ พี่ชายฝาแฝดของผม หมอนั่นช่วยฉุดดึงผมจนขึ้นจากน้ำได้
'ขอบใจ' ผมคนในฝันพูด
‘ดีแล้วที่ซันนี่ปลอดภัย’ ซินหันมายิ้มให้
‘งั้นพี่ไปก่อนนะ’
ผมไม่ทันเข้าใจว่าหมอนั่นพูดอะไร จู่ๆ มันก็กระโดดลงไปในน้ำ
แล้วก็ถูกสายน้ำพัดจมหายไปต่อหน้าต่อตาผม
‘ซิน!’
‘ซินนน!’
‘ซินนนน!!’
“ซิน...!!”
ผมสะดุ้งตื่นมากลางดึก หัวใจเต้นระทึกราวกับทั้งหมดที่เห็นเป็นเรื่องจริง
“ฝันร้ายเหรอ?”
ฟ้าพลิกตัวมาดึงผ้าห่มขึ้นให้
“กูฝันเห็นซินจมน้ำหายไป...”
ผมเบียดตัวเข้าหาเขาอย่างต้องการคนปลอบใจ
“ก็แค่ฝัน”
“แต่มันเหมือนจริงมาก”
“หมอนั่นจะไม่เป็นไร...”
“.......”
ผมภาวนาให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ฟ้าพูด
ซิน
อย่าทำเหมือนอย่างในฝันเด็ดขาดเลยนะ
อย่าทิ้งกูไป...
เช้าวันต่อมา
เราถูกเรียกให้มารวมตัวกันอีกครั้งที่ห้องทำงานของฟ้า
คราวนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานอีกสองคนคือ บอดีการ์ดมาร์กี้ และหมอเคอิ
“เดี๋ยวนะ แต่ผมเป็นหมอนี่นา แล้วทำไมผมถึงถูกเรียกมาด้วยล่ะ?”
หมอเพี้ยนชี้หน้าตัวเองอย่างสงสัย
แต่ไม่มีใครสนใจตอบคำถามของเขา
มานะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดูข้อมูลที่เจ้าตัวรวบรวมมาทั้งคืน
ก่อนจะเริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้ทุกคนทราบ
“ฮาร์รี่ โจฮันสัน คู่กรณีของเราเป็นผู้ชายที่มาจากนิวยอร์ก
ประวัติของเขาแทบไม่มีอะไรให้สืบ
นอกจากจบการศึกษาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
เคยเข้าทำงานเป็นทนายฝึกหัดอยู่ที่สำนักงานทนายความของเอกชนได้ไม่กี่เดือนก็ลาออกมา
จากนั้นก็ท่องเที่ยวไปทั่วโลกโดยใช้เงินมรดกที่ได้รับมาจากญาติผู้ใหญ่
ว่ากันว่าเป็นจำนวนที่มหาศาลทีเดียว เขาเข้ามาในอิตาลีเมื่อหลายก่อน พักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงโรมตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน
ผู้จัดการโรงแรมบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่อัธยาศัยดีมาก
แต่เหมือนคนที่ดูมีอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา และมักจะหายตัวไปครั้งละหลายวันโดยไม่ได้แจ้งอะไรให้ทราบจนเป็นเรื่องปกติ
พักหลังๆ มีผู้ชายคนหนึ่งมาหาเขาบ่อยๆ ผู้ชายคนนั้นเป็นชาวอิตาเลียน ตัวสูงใหญ่
ไว้หนวดไว้เครา ดูท่าทางน่ากลัว แต่ฮาร์รี่ก็ต้อนรับขับสู้เขาอย่างดีทุกครั้ง
วันที่ฮาร์รี่เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม
ผู้ชายไว้หนวดเคราคนนั้นก็เป็นคนมารับออกไปด้วย”
“นี่คงไม่ใช่เลิฟสตอรี่หรอกใช่ไหม?” มาร์กี้พูดลอยๆ
“เราสัญนิษฐานว่าผู้ชายไว้เคราคนนี้ล่ะที่เป็นคนกลางติดต่อเจ้าของร้านมือสองกับลูกน้องโจรของมันให้ฮาร์รี่
แต่แรงจูงใจของหมอนั่นคืออะไร เรายังไม่รู้”
“นั่นเรื่องสำคัญเลยนา
บอดีการ์ดซัง...” หมอเคอิแซว
มานะไม่ได้สนใจเขา แต่เริ่มรายงานต่อ
“พวกมันนัดหมายเวลากับสถานที่มาเป็นคืนนี้
ตอนตีสอง นี่...เป็นจุดที่พวกมันต้องการให้เราไป คฤหาสน์ร้างของตระกูลซากาเรีย อยู่ทางตอนใต้ของกัม-ปาเนีย
ใกล้กับอมาลฟี่โคสต์” แผนที่ออนไลน์ในจอแท็บแล็ตถูกซูมให้เห็นจุดนัดพบ
อมาลฟี่โคสต์ ก็เลยซอเรนโตลงไปอีกหน่อย... ผมนึกในใจ
“ซากาเรีย?”
หมอพึมพำคล้ายชื่อนั้นไปสะกิดบางอย่างในใจเข้า
“เงื่อนไขตอนนี้มีเพียงข้อเดียวคือ
มันต้องการให้บอสไปเป็นคนเจรจาเอง”
“อ๊ะ หรือว่านี่จะเป็นรักสามเศร้า?
น้ำเน่าอย่างกะทไวไลท์”
“หุบปากน่า” มานะหันไปดุมาร์กี้ที่ชักมีไอเดียไม่เข้าท่า
“มันต้องการให้บอสเข้าไปคนเดียว
คนคุ้มกันห้ามเข้าใกล้เกิน 200 เมตร”
“เดี๋ยวสิ
เมื่อวานพวกมึงก็พูดไม่ใช่เหรอว่าศัตรูอาจเป็นคนที่แค้นฟ้าอยู่
แล้วถ้าให้ฟ้าไปคนเดียวแบบนั้นไม่เท่ากับส่งฟ้าไปตายเหรอ?” ผมท้วง
“ถูกต้องเลย ฮิเดโกะจัง”
“ฮิเดโก...คึ!”
ผมหันไปทำตาเขียวใส่ไอ้เจ้ามาร์กี้ที่ทำท่าจะพูดชื่อนั้นออกมา
“แต่คุณคิดว่าไงล่ะ ถ้าบ๊จจังไม่ไป
ก็ช่วยคุณพี่ชายไม่ได้นะ แต่ถ้าบ๊จจังไป เขาก็อาจจะตายก็ได้ งั้นควรเลือกอะไรดีล่ะ
หัวใจ? หรือว่าลมหายใจ? ยากจังน้า~”
“.......”
ผมกำหมัดแน่น แต่ผมไม่ได้โกรธหมอ ที่เขาพูดเป็นความจริงทุกอย่าง
ผมกำลังโกรธตัวเอง ที่ไม่สามารถตัดใจเลือกอะไรได้
เรื่องนี้เกี่ยวพันธ์กับความเป็นตายของคนที่ผมรักทั้งสองคน
ผมจะตัดใจทิ้งคนหนึ่งคนใดไปได้ยังไงกัน?
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงจะเลือกซินได้อย่างไม่ลังเล และด้วยนิสัยร้ายกาจของผม
ผมก็อาจจะบอกให้ฟ้าไปตายโดยที่ไม่เสียเวลาคิดเลยก็ได้
แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมยกให้ฟ้าขึ้นมาอยู่จุดเดียวกับซิน
พวกเขามีความสำคัญกับผมไม่ต่างกัน พวกเขาเปรียบดั่งหัวใจ เปรียบดั่งลมหายใจของผม
ผมไม่อาจเสียคนหนึ่งคนใดไปได้ ผมเคยเห็นแก่ตัวยังไงผมก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่อย่างนั้น
ผมต้องการให้พวกเขาทั้งคู่อยู่กับผมต่อไป ผม...
“ถึงฟ้าจะไป
ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าซินเซียร์จะได้กลับมาอย่างปลอดภัย
ดีไม่ดีพวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมาทั้งคู่เลยก็ได้”
“ ! ”
ที่มานะพูด ถึงแม้จะฟังเหมือนดับความหวังของพวกเรา แต่ก็เป็นความจริงทุกประการ
ไม่มีใครรับประกันได้ว่าทั้งซินทั้งฟ้าจะปลอดภัยกลับมา
“โธ่ ซิน...”
สกายทรุดนั่งอย่างทุกข์ใจ ซอลลี่ก็นั่งลงข้างๆ กัน
“เราถึงต้องการแผน” ฟ้าพูดขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน
“ผมคิดไว้บ้างแล้วครับ” ลาซโล่เสนอตัว
“ว่ามาสิ” ฟ้าอนุญาต
“ตอนนี้ผมให้ลูกน้องไปเฝ้าสังเกตการณ์อยู่แถวนั้นแล้ว
ถ้าพวกมันมีความเคลื่อนไหวอะไรพวกนั้นจะคอยแจ้งให้ทราบ ผมมีสายอยู่ในกลุ่มของฮาร์รี่ด้วย...”
“เดี๋ยวนะ สายเหรอ? ก่อนนี้ไม่เห็นเคยพูดถึงเลย” มาร์กี้ถามแทรก
“ก็ฉันเพิ่งจะติดต่อเขาได้” ลาซโล่หันไปตอบ แล้วกลับมาพูดกับฟ้าต่อ
“มารี...คือผมหมายถึงสายคนนั้นน่ะ
เขาบอกผมว่าฝ่ายฮาร์รี่เองไม่ได้มีคนมาก แต่อาศัยชำนาญพื้นที่กับมีอาวุธหนักครบมือ
และตัวฮาร์รี่เองก็เหมือนว่ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับบอสจริงๆ
เพราะงั้นมันจะไม่ลงมือทันทีที่คุณเข้าไปหรอก แต่มันจะลงมือแน่เมื่อเสร็จธุระ
เราจะอาศัยช่วงที่มันอยากคุยกับบอสเข้าเคลียร์พื้นที่รอบนอกอย่างเงียบๆ
ส่วนมารีจะเป็นคนเคลียร์ภายในเอง
รวมทั้งเขาจะคอยคุ้มกันบอสความปลอดภัยของบอสให้ด้วย
ถึงตอนนั้นเราก็น่าจะคุมสถานการณ์ไว้ได้”
“แผนหยาบมาก” มานะวิจารณ์ทันทีที่ฟังจบ
“แล้วนายมีแผนที่ดีกว่านี้หรือไง?”
“ฉันกำลังพูดถึงแผนของนายอยู่ นายไว้ใจสายคนของนายเกินไป
หมอนั่นจะทำทั้งหมดนั่นได้ยังไงโดยที่ไม่ถูกจัดการไปก่อน?
ไหนยังต้องคุ้มครองบอสอีก”
“แต่เขาทำได้” ลาซโล่ยืนยัน
มานะส่งเสียง ‘เฮอะ’
ขึ้นจมูก “มันเป็นซุปเปอร์แมนหรือไง?”
“ผมเห็นด้วยกับลูกพี่มานะ
ทำไมเราถึงต้องเอาชีวิตของบอสไปฝากไว้กับใครก็ไม่รู้ แถมยังมีชื่อหน่อมแน้มอย่าง ‘มารี’ อีก ไม่คูลเลย”
“ฉันถึงได้ถามว่าพวกแกมีแผนที่ดีกว่านี้หรือไงเล่า?” ลาซโล่หันไปเปิดฉากเถียงกับมานะและมาร์กี้
โดยมีมาโคยืนหน้านิ่งคั่นกลางระหว่างพวกเขาไว้
“ไหนๆ มารีของพี่ก็เป็นซุปเปอร์แมนอยู่แล้ว
ทำไมไม่ให้เขาพาตัวประกันออกมาจากนั่นซะเลยล่ะ?”
มาร์กี้เสนอ
แต่ออกแนวประชดมากกว่า
“ไม่ใช่มารีของฉันเว้ย!”
“ดีมากเจ้าหนูมาร์กี้
แบบนั้นบอสก็ไม่ต้องไปเสี่ยงด้วย ว่าไงล่ะ ลาซโล่?”
“มันทำไม่ได้เว้ย!”
“งั้นแล้ว...”
“พอ!”
เสียงหงุดหงิดของฟ้าทำให้ทุกคนหุบปากทันควัน
“เราจะใช้แผนของลาซโล่” เขาสรุป
“แต่บอส...” มานะจะค้าน
แต่ฟ้ายกมือห้าม เขาหันไปถามมาโคที่ยืนฟังอย่างเดียวมาตลอด
“คิดว่าไง?”
มาโคพยักหน้าเป็นสัญญาณตอบว่าเห็นด้วย
“นายก็ด้วยเรอะ มาโค?” มานะหันไปถาม
คนถูกถามหันมามองมานะ เหมือนมีอะไรจะพูด แต่แต่ก็ไม่
หรือหมอนี่จะพูดไม่ได้?
ตั้งแต่มาผมก็ยังไม่เคยเห็นเขาพูดสักครั้งเลย
“มีอะไรก็พูดมาเซ่!” มานะชักเม้ง
สรุปคือพูดได้เหรอ?
“.......”
เงียบ...
หรือจะพูดไม่ได้? อะไรของมันวะไอ้หมอนั่น?
“พอเหอะมานะ เอาตามนั้นแหล่ะ” ฟ้าตัดบท
ลาซโล่หันไปยิ้มเยาะมานะที่ดูจะหงิดหงิดกว่าทุกคน
“แถวนั้นไม่มีตึกสูงหรือภูเขาล้อมลอบ
อย่างน้อยก็หายห่วงเรื่องที่อาจจะถูกสไนเปอร์ซุ่มรอเจาะรูบนหัวบ๊จจังล่ะนะ” หมอเคอิว่า
“ดูคุณจะคุ้นเคยกับแถวนั้นดีนะ หมอ” มาร์กี้แซะ
“ก็เพราะผมอยู่มานานแล้วไง
ไม่ใช่เพิ่งจะหัดตั้งไข่เมื่อไม่กี่ปีก่อนอย่างเธอ”
“ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ช่วยทำตัวให้มันสมกับเป็นผู้ใหญ่หน่อย” มานะเหน็บหมอ
แล้วหันไปพูดกับฟ้าต่อ
“แต่ผมว่าพวกท่านผู้เฒ่าคง...”
“เรื่องคืนนี้เราจะรู้กันแค่คนที่อยู่ในห้องนี้”
“เอาจริงเหรอบอส?” มาร์กี้
“แบบนั้นเราจะมีคนไม่พอนะ” มานะ
“ผมจะพาลูกน้องทั้งหมดของผมไป
พวกนั้นอยู่ข้างนอกตลอดอยู่แล้ว
ไม่ต้องห่วงว่าปฏิบัติการคืนนี้ของเราจะถูกนำมาแพร่งพรายให้คนในทราบ” ลาซโล่
“.......”
มาโคยกนิ้วโป้งให้ฟ้าเป็นเชิงบอกว่าเขายอมรับแผนนี้ได้
มีเพียงมานะคนเดียวที่ดูจะไม่พอใจ ฟ้าเองก็คงสังเกตเห็นข้อนี้
“มารีนั่น เป็นชื่อจริงหรือเปล่า?” เขาถามลาซโล่
“เป็นชื่อเล่นของเขาครับ”
“มาจากใต้ดินใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
ได้ยินคำตอบฟ้าก็หันไปมองมานะ
ที่ตอนแรกมองตอบกลับไปอย่างงุนงง แต่จู่ๆ ท่าทีหมอนั่นก็เปลี่ยนไป
มันเหมือนกับนึกอะไรออก แต่ก็รู้กันแค่สองคนกับฟ้า
“งั้นเราจะเชื่อใจเขา” ฟ้าสรุปเป็นครั้งสุดท้าย
“ไปเตรียมคนกับอาวุธให้พร้อม
คืนนี้เราจะไปตามนัด”
“ครับ บอส!”
ลูกน้องของเขารับคำพร้อมกัน แล้วทยอยออกจากห้องไป
“เดี๋ยวก่อน มาร์กี้”
คนถูกเรียกชะงัก แล้วเดินถอยหลังกลับมา “คร้าบ~ บอส”
“เรื่องที่ให้ไปทำล่ะ?”
“แหะๆ ผมยังหาไม่เจอเลยบอส ผมหาทั้งคืนเลยนะ
ยังไม่ได้นอนเลยเนี่ย”
มาร์กี้ชี้ตาหมีแพนด้าของตัวเอง ฟ้าเลยโบกมือไล่มันออกไป
“มึงจะไปจริงเหรอฟ้า?”
ผมก้าวเข้าไปหา ถามเขาอย่างเป็นห่วง
“สัญญาแล้วนี่ว่าจะพาฝักข้าวโพดกลับมา”
“ฝักข้าวโพด?”
ซอลลี่เพิ่งเคยได้ยินชื่อเล่นซินครั้งแรก
“ขอบใจนะ ฟ้าประทาน”
สกายพูดจากใจ
“กูทำเพราะอยากทำ ไม่ต้องขอบใจหรอก”
“แล้วมารีอะไรนั่น ทำไมมึงถึงไว้ใจเขาล่ะ
หรือว่ามึงเคยรู้จักเขา?” ผมถาม
“มึงก็รู้จัก”
“กู?”
“แต่มึงคงไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่...”
เขาหมายความว่ายังไงน่ะ?
โปรดติดตามตอนต่อไป.......
โอยยย ลุ้นๆๆๆ มีแต่เครื่องหมาย???กับตอนนี้ ฮ่าๆๆ ซันนี่ตอนนี้แลดูอ่อนไหวง่ายจัง เอาใจช่วยบอสฟา สู้ๆ
ตอบลบอยากให้ซันนี่เป็นมาดามที่เข้มแข็งเร็วๆ และหวังว่าพี่ซินจะไม่เป็นไรมากเพราะถ้าพี่ซินเป็นไรไปอีกกลัวซันนี่จะทำอะไรร้ายๆกับฟ้าโดยควบคุมตัวเองไม่ได้ซ้ำอีกเหมือนภาค 1
ตอบลบฮื่อออ รู้สึกลุ้นไปหมด จนต้องเปิดเข้ามาดูทุกวันเลย พยายามจะเม้นตั้งแต่ตอนทร่ลงตอน 1 ใหม่ๆ แต่เหมือนจะไม่ซัพพอร์ทกับการอ่านจากมือถือ
ยังไงไวท์สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้และรอคอยอยู่เสมอออ จุ๊บ <3
มารี????
ตอบลบ