MADAME MAFIA
chapter 9.1
“เชิญนั่งก่อนสิ”
มาดามวาเนสซา แบร์ลุสโคนี ผายมือไปทางโซฟาเดี่ยวตัวถัดจากของเธอ
“ต้องขอโทษด้วยที่รบกวนให้คุณมาพบทั้งที่บาดเจ็บแบบนี้
ความจริงแล้วฉันควรจะเป็นฝ่ายไปเยี่ยมคุณมากกว่า”
ใช่ ตอนนี้ผมมาอยู่ที่ห้องของเธอบนปีกตึกตะวันตก
ถ้าใครกำลังสงสัยนะ ก่อนหน้านี้สักสิบนาทีมีพ่อบ้าน(ซึ่งไม่ใช่ เมรันดรี)ไปหาผมที่ห้องพัก
แล้วบอกว่า มาดามวาเนสซาอยากพบผม นึกไม่ออกจริงๆ
ว่าเธออยากจะพบผมไปทำไม เราไม่เคยคุยกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนด้วย
หรือจะเป็นเรื่องฟ้า? หรือจะเป็นเรื่องคืนก่อน?
‘หรือนี่จะเป็นปฐมบทดราม่าแม่ผัวกับลูกสะใภ้?’
นั่นเป็นความคิดไม่เข้าท่าของซิน
ผมเลยตบฝักข้าวโพดของมันไปทีนึง
จะเรื่องอะไรไม่รู้หรอก แต่ผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว
“ไม่รบกวนหรอกครับ
ที่จริงผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากอยู่แล้ว”
ผมก้มมองแขนขวาที่พันผ้าพันแผลไว้
และใช้ผ้าคล้องคอช่วยรองแขนกันกระเทือนอีกที ความจริงแล้วกระสุนก็แค่ถากไป
ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เห็น แต่ก็ทำให้คนถนัดขวาอย่างผมใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้นนิดนึงแหล่ะ
ส่วนที่บาดเจ็บบริเวณอื่นก็มีแค่รอยฟกช้ำบนใบหน้าตอนที่สู้ตัวต่อตัวกับคนร้ายเท่านั้น
“ได้ยินว่ามาดามอยากพบผม ไม่ทราบว่า...?”
ผมตรงเข้าประเด็น เพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดใจกับสายตาของอีกฝ่าย
“แขนเป็นยังไงบ้างคะ?”
แต่เธอกลับเลี่ยงมาให้ความสนใจแขนผมแทน ซึ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเข้าไปใหญ่
มันชัดเจนว่าเธอจงใจซื้อเวลา เหมือนกับว่าเธอไม่ต้องการจะพูดถึงมัน
แต่ที่อุตส่าห์ให้คนไปตามผมมาที่นี่ก็เพราะว่ามีเรื่องอยากจะพูดไม่ใช่เหรอ
หรือว่าเธอกำลังลำบากใจที่จะพูดกับผม?
“กระสุนแค่ถากไป ไม่ได้ร้ายแรงอะไร...” ผมลูบแขนตัวเองเบาๆ
ถ้าเรื่องที่เธอต้องการจะพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับฟ้าล่ะ?
เธอรู้แล้ว...?
‘หรือนี่จะเป็นปฐมบทดราม่าแม่ผัวกับลูกสะใภ้?’ ...ไม่ๆๆ ผมไล่ความคิดไม่เข้าท่าของซินออกไป
แต่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวผมอีก ให้ตายสิ!
“โชคดีจริงๆ
พี่ชายฝาแฝดของคุณก็ปลอดภัยดีสินะ”
“ฮะ ...ครับ”
แล้วจากนั้นก็เกิดอาการเดดแอร์กันทั้งสองฝ่าย จู่ๆ
ผมก็รู้สึกเหมือนอุณหภูมิในห้องนี้มันเริ่มลดลง ขณะที่ฝ่ามือผมกลับชื้นไปด้วยเหงื่อ
“.......”
ไม่เอาน่า ตะวันฉาย!
แรงกดดันแค่นี้ทำอะไรแกไม่ได้หรอก ใจเย็นไว้...
“จริงสิ ไม่รู้ว่าคุณจะชอบดื่มชาหรือเปล่า
นี่เป็นชาดาร์จีลิ่งที่มิเลส์เอากลับมาจากอินเดียเมื่อเดือนก่อน รสชาติดีทีเดียว” คนพูดรินชาให้ผม
ผมจึงต้องรับมาดื่มอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่มันก็ดีกว่านั่นเกร็งอยู่เฉยๆ ล่ะมั้ง
“เป็นไง ถูกปากบ้างไหม?”
“ครับ” ผมพยักหน้า
แล้วค่อยๆ ละเลียดชาชั้นดีต่อ กลิ่นหอมของมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย
“ที่จริง...” มาดามเกริ่นด้วยท่าทางลำบากใจ
ไม่อยากจะบอกว่าเมื่อกี๊ผมใจหายแว้บเลย ดีนะไม่เผลอปล่อยถ้วยชาหล่นแตก
ท่าทางจะราคาแพงมากซะด้วยสิ งั้นวางลงก่อนดีกว่า...
“เมื่อวานบอสฟามาหาฉันที่ห้อง... เขาบอกฉันว่าเขาให้แหวนกับคุณไป...”
“แหวน?” ผมเผลอจับสร้อยที่คอตัวเอง
“ขอฉันดูหน่อยได้หรือเปล่า?” เธอโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย
“เอ่อ...” ผมลังเล
แต่สุดท้ายก็ยอมดึงสร้อยออกมาจากคอเสื้อเชิ้ต
ตอนแรกคิดว่าแค่นั้นก็คงจะพอ แต่เพราะอีกฝ่ายแบมือออกมา
ผมเลยจำใจต้องถอดสร้อยส่งให้เธอ
“เด็กคนนั้นไม่ได้ล้อเล่นสินะ
แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไงดี...”
มาดามวาเนสซาพึมพำอย่างหนักใจระหว่างมองแหวนในมือ
“.......”
“ฉันควรจะอธิบายกับญาติคนอื่นๆ ว่ายังไง ที่ลูกชายของฉันต้องการจะแต่งงานกับผู้ชายอีกคน...
อ่า เรื่องนี้มันน่าปวดหัวจริงๆ”
“อะ..อะไรนะฮะ?”
ผมกำลังช็อคมากกว่าจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“คุณรับแหวนประจำตระกูลของเราไว้
ก็แปลว่าคุณตัดสินใจแล้วว่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเรา ...ไม่ใช่เหรอ?”
“คือผม...ผมไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น
ผมก็แค่...รับปากว่าจะอยู่ข้างๆ เขา”
ผมยอมรับว่านาทีนี้ผมไปต่อไม่เป็นเลยจริงๆ
มาดามมองหน้าผมอย่างชั่งใจ
“คุณคิดว่า คุณที่เป็นคนแปลกหน้า
จะสามารถเข้ามาในบ้านของคนอื่น แล้วหยิบเอาของสำคัญของพวกเขาออกไป โดยที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยได้งั้นเหรอ?”
ผมรู้ว่าเธอกำลังหมายถึงอะไร แต่...
“แบบนั้นจะต่างอะไรจากขโมยล่ะ?”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง?
คุณก็รู้นี่ว่าผมเป็นผู้ชาย คุณเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะอธิบายกับญาติๆ ว่ายังไง
มันไม่ดีกว่าเหรอที่จะปล่อยเราเอาไว้เงียบๆ น่ะ?”
ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น แต่จู่ๆ
ความประหม่าของผมก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์โกรธขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมทำให้อีกฝ่ายนิ่งชะงักไป
แล้วก็มานั่งนึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดไป โอ๊ยยย! อยากตบปากตัวเองนักเชียว
“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?”
มาดามหรี่ตามองผมอย่างไม่ชอบใจ
รู้อนาคตตัวเองเลยว่าผมคงจะไม่ใช่สะใภ้(..เอิ่ม
ก็อะไรทำนองนั้นล่ะ)คนโปรดของเธอแน่ๆ (ที่ซินพูดไว้มันเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าจริงอีกนี่หว่า!)
“ผม... ผมก็แค่คิดอย่างอื่นไม่ออก”
ผมเผลอสารภาพเมื่อถูกกดดันด้วยตาสีทองคู่นั้น
“ฉันนึกว่าคุณจะฉลาดกว่านี้เสียอีก
เห็นว่าเป็นน้องชายของซอลฟา ก็เลยแอบคาดหวังในตัวคุณไว้สูงเกินไปหน่อย”
นี่ผมกำลังถูกหาว่า ‘โง่’ อยู่สินะ...
“บอกตามตรงว่าฉันไม่เห็นด้วยเรื่องของคุณกับบอสฟา
ต่อให้ตัดเรื่องที่เป็นผู้ชายออกไปฉันก็ยังไม่เห็นว่าคุณจะเหมาะสมกับเขาตรงไหน
คุณขาดคุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นมาดามแบร์ลุสโคนีแทบทุกข้อ
นอกจากจะไม่ช่วยส่งเสริมเขาในทุกด้านแล้ว คุณยังมีแน้วโน้มว่าอาจจะสร้างปัญหาให้เขาในอนาคตอีกด้วย”
สรุปคือผมมันไม่มีอะไรดีเลย... เกินไปไหม? อย่างน้อยผมก็หน้าตาดีนะ!
“แต่บอสฟาดูท่าจะปักใจกับคุณมาก
ต่อให้ฉันห้ามไปก็คงจะไม่มีประโยชน์ เพราะงั้นเราน่าจะมาตกลงกันสักหน่อยดีไหมคะ?”
มาแล้วไง หวังว่าจะไม่ใช่สัญญาเมียทาสนะ
“ฉันสัญญาว่าจะไม่กีดกันคุณกับบอสฟา
ถ้าคุณให้สัญญาว่าจะไม่ขัดขวางการหมั้นหมายระหว่างเขากับเลดี้ที่ทางครอบครัวเลือกให้”
“คุณหมายความว่า... จะให้ผมเป็น ‘เมียเก็บ’ ของลูกชายคุณ...?”
ถ้าผมรับปากผมก็คงจะเสียสติไปแล้วแน่ๆ ใครจะยอม!
“ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอก
ครั้งหนึ่งแม่ของบอสฟาก็เคยอยู่ในฐานะนั้นเหมือนกัน
แล้วเธอก็ดูจะมีความสุขกว่าฉันที่เป็นภรรยาออกหน้าออกตาซะอีก”
ผมหรี่ตามองผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจบ้าง
“แต่เธอก็อายุสั้นกว่าคุณ”
แม่ของฟ้าต้องประสบชะตากรรมที่น่าเศร้าก็เพราะเรื่องการเมืองภายในตระกูลแบร์ลุสโคนี
โดยสามีที่เธอรักมากจนถึงขนาดยอมทิ้งศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงไปไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้เลย
ผมไม่ได้อยากจบแบบนั้นหรอกนะ
“ฉันไม่รังเกียจหรอกถ้าสามารถแลกชีวิตกับเธอได้”
“ ? ”
มาดาม... แม้เพียงแว้บเดียว
แต่ผมก็เห็นแววตาที่ดูหม่นเศร้าของเธอ
หรือบางทีผมอาจจะมองผู้หญิงคนนี้ผิดไป? ภายนอกเธออาจดูเหมือนคนที่สวมมงกุฎนั่งเชิดหน้าอยู่บนบรรลังก์สูงศักดิ์
ผู้หญิงที่กำชัยชนะเหนือผู้หญิงทุกคน แต่ภายในเธออาจจะเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
ซึ่งเฝ้าคอยความเห็นใจจากสามีที่ไม่เคยมีใจรักให้ กระทั่งเขาตายจากไป ก็เป็นได้...
“เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่างเถอะ แต่คุณเองก็ไม่มีทางเลือกมากนักหรอก
คิดว่าลำพังบอสฟาคนเดียวจะเอาชนะที่ประชุมตระกูลยังไง เขาจะทำยังไงให้คนพวกนั้นไม่ต่อต้านการมีตัวตนของคุณ?
ดีไม่ดีพวกนั้นอาจจะคิดกำจัดคุณให้พ้นทางก็ได้”
กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงกันเถอะ ผมเองก็พอจะรู้เรื่องนั้นเหมือนกันล่ะน่า
มันคงไม่ง่ายนักหรอกที่ผมจะอยู่ได้อย่างสงบสุข
หากยังดึงดันจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับไปฟ้าไปเรื่อยๆ ...แต่เมื่อกี๊เธอพูดว่า ที่ประชุมตระกูล...สินะ?
เคยได้ยินว่าแบร์ลุสโคนีมีตระกูลสาขาซึ่งเป็นทั้งเครือญาติและหุ้นส่วนกันอีกหลายตระกูล
ที่โดดเด่นและดูเหมือนจะเป็นสองคานอำนาจกันก็ ตระกูลเวนโดลา ของมาดามวาเนสซา กับตระกูลคาวัวร์
ของมาริโอ คาวัวร์ ไอ้ชาติชั่วที่ผมยังมีเรื่องต้องสะสางกับมันอยู่
พูดถึงแล้วก็หงุดหงิด
ผมได้ยินว่าหมอนั่นถูกโคเนโร(พี่ชายของฟ้า)บีบให้ออกไปอยู่วงนอกตั้งแต่คดีเมื่อสี่ปีก่อน
แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลับเข้ามาอีกครั้งแล้ว!
“แต่ฉันช่วยคุณได้ ฉันจะให้ความคุ้มครองแก่คุณเอง
ขอเพียงคุณยอมรับปากฉัน”
ป้านี่ก็มีความพยายามซะจริง...
“แต่ผมก็มีศักดิ์ศรีของผม” ผมพูดตรงๆ
“งั้นศักดิ์ศรีของคุณก็สำคัญกว่าความรักของคุณกับบอสฟาสินะ?”
“.......”
ยอมรับว่าเจอมุขนี้ผมก็มีสะอึกเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกกับบอสฟาไปไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ ! ”
“คุณก็จะได้นอนกอดศักดิ์ศรีหลับได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะครหา
ส่วนบอสฟาก็จะได้ภรรยาที่ช่วยส่งเสริมทั้งธุรกิจและสถานะทางสังคมของเขาให้มั่นคงได้
ฉันกับคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาอาจจะไม่มีทายาทให้เราอีก สรุปเรื่องก็จะจบลงที่ความพอใจของทุกฝ่าย
แบบนั้นก็ฟังเข้าท่าดีนะ?”
“.......”
มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น
ทางออกที่ง่ายที่สุดก็คือผมยอมถอยไปซะ แค่ผมถอยคนเดียวก็จะทำให้ทุกฝ่ายได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ใช่ ทุกฝ่าย... ยกเว้นฟ้า
ผมน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุด...
“ผมทำไม่ได้หรอก” ผมพูดเรียบๆ
“ตกลงคุณจะเลือกความรัก หรือว่าเลือกศักดิ์ศรีกันแน่?”
“ผมจะเลือกทั้งสองอย่าง”
“หืม... ไม่โลภมากไปหน่อยเหรอ?” มาดามยิ้มนิดๆ
เป็นรอยยิ้มที่ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเธอกำลังพอใจ
หรือไม่พอใจกันแน่
“ผมก็เป็นคนแบบนั้นล่ะ”
“ฮ่ะ...ฮ่ะฮ่ะ...ฮ่ะๆๆๆๆ”
จู่ๆ มาดามวาเนสซาก็หัวเราะออกมาเหมือนมีอะไรให้ขำนักหนา
เล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกเลย ...หรือเธอจะโกรธจนสติแตกไปแล้ว?
“ขอให้นั่นไม่ใช่แค่ความอวดดีก็แล้วกัน”
“.......”
ไม่หรอก นั่นน่ะความอวดดี 2000% เลยล่ะ!
ผมพูดไปตอนอารมณ์กรุ่นๆ มาคิดอีกทีตอนนี้ผมแทบอยากจะยกเท้าขึ้นมากุมขมับ
ผมบอกไปว่าจะเลือกทั้งสองอย่าง ทั้งศักดิ์ศรีและความรักผมจะเก็บแม่มให้หมด!
แต่พูดก็พูดเถอะ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเอาปัญญาที่ไหนไปทำแบบนั้น
งือออ... ปากพาจนอีกแล้วหรือเปล่าวะ ตะวันฉาย?
“ฉันคาดหวังในตัวคุณนะ”
เอ๊ะ...
“นี่แหวนของคุณ”
“ขอบคุณฮะ...” ผมรับแหวนพร้อมสร้อยคืนมาอย่างงงๆ
“แต่ขอฉันเตือนอะไรคุณไว้สักอย่างแล้วกัน ทางที่คุณเลือกมันไม่มีกลีบกุหลาบโปรยไว้ให้เดินหรอกนะ
จะมีก็แค่หนามกุหลาบที่ทั้งแหลมทั้งคมเท่านั้น”
“ผมทราบดีครับ”
ผมไม่ได้คิดว่าเส้นทางที่เลือกมันจะราบรื่นอยู่แล้ว
มันชัดเจนตั้งแต่สามวันแรกที่ผมมาที่นี่แล้วล่ะ
ไม่งั้นซินเซียร์ก็คงจะไม่ถูกคนร้ายจับตัวไป...
“ก็ดี...” มาดามพยักหน้าช้าๆ ขณะที่พูด
ดวงตาสีทองยังคงจับจ้องมาที่ใบหน้าผม โดยที่ผมอ่านอะไรไม่ได้เลย
แม้เฉไฉไปสนใจการใส่สร้อยคืนให้ตัวเอง ก็ยังคงรู้สึกถึงดวงตาคู่นั้นอยู่ดี
“นี่ ตะวันฉาย”
“ฮะ...ครับ?”
“คุณรักบอสฟาใช่ไหม?”
ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มาดามวาเนสซาถึงอยากรู้เรื่องนั้น
แต่ผมก็ให้คำตอบเธอไปอย่างจริงใจที่สุด
“ครับ”
“แล้วรักขนาดยอมตายแทนเขาได้เลยหรือเปล่า?”
“ผมไม่ทราบเรื่องนั้นหรอกครับ”
บางทีผมอาจจะเอาตัวรอด
หรือบางทีผมอาจจะยอมตายแทนเขาก็ได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจจริงๆ
เราคงจะได้รู้กัน... พูดไปตอนนี้ก็เป็นแค่เพียงลมปาก
“แล้วแผลนั่น ได้มายังไงล่ะ?”
“.......”
“ฮิ๊~ เด~ โก๊ะ~”
!?...
ผมสะดุ้งสุดตัวที่จู่ๆ ก็มีคนมาจับไหล่ เลยหันกลับไปปล่อยหมัดขวาใส่ตามสัญชาตญาณ
โดยลืมไปสนิทเลยว่าแขนพิการอยู่
แปะ! ...หมัดป้อแป้ของผมตรงเข้าฝ่ามือหมอเคอิพอดี
“อั้ก...” ถึงกับน้ำตาเล็ดสิครับงานนี้
“โอะยะๆ”
ผมทรุดนั่งกุมแผลด้วยความเจ็บปวด ...เจ็บปวดเอี้ยๆ โอยๆๆ
“คนป่วยไม่ควรจะหักโหมนะครับ ด้วยความปรารถนาดีจาก คุณหมอ”
หมอนั่งยองๆ มองผมอย่างบันเทิงใจ ผมล่ะเกลียดมันจริงๆ !!
ฮือออ...
“ถ้าหวังดีจริงๆ ก็อย่าเข้ามาข้างหลังเงียบๆ แบบนี้เซ่!”
“ผมเรียกคุณตั้งหลายรอบแล้วนา แต่คุณเหม่อเองต่างหาก”
ผมก็แค่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ...นิดหน่อย
“ผมกลัวว่าคุณจะเดินชนเสานั่นเข้า ก็เลยรีบมาจับไว้...ฮัดชิ่วว!”
จู่ๆ เขาก็จาม แล้วทำจมูกขยุกขยิก
แต่ผมว่าเมื่อเช้าผมก็อาบน้ำแล้วนะ
“ผมไม่ได้เซ่อขนาดที่จะเดินชนเสาหรอก”
“ดูสิว่าใครพูด~
เมื่อกี๊ยังจะใช้แขนที่เจ็บจู่โจมผมอยู่เลย”
“นั่นก็เพราะคุณทำให้ผมตกใจต่างหาก!”
“แหมๆ งั้นผมก็ขอโทษด้วยแล้วกัน อ้ะนี่ ฟิล์มเอกซเรย์กับผลตรวจร่างกายอย่างละเอียด
ผมตรวจดูให้อีกรอบแล้วล่ะ ทั้งคุณทั้งคุณพี่ชายแข็งแรงดีกันทั้งคู่”
เมื่อวานผมกับซินไปตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลมา
มันความต้องการของซอลลี่ที่อยากจะแน่ใจว่าพวกเราไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
พอกลับมาก็นอนแบ็บอยู่ในห้องกันทั้งวันเพราะความอ่อนเพลีย(70%
ของความเพลียสะสมของผมมาจากฟ้า ไม่เกี่ยวกับคนร้ายเลยจริงๆ) แต่พอวันนี้ตื่นมาผมก็พบว่าซินกับสกาย
ออกไปจ็อกกิ้งกันตั้งแต่เช้ามืดแล้ว อะไรจะฟิตขนาดนั้นก็ไม่รู้
“ขอบคุณฮะ...” ผมรับซองเอกสารทั้งน้อยใหญ่มาจากหมอ
“ด้วยความยินดีครับ ว่าแต่... คุณไปพบมาดามแบร์ลุสโคนีมาเหรอ?”
หมอมองไปทางที่ผมเพิ่งจะเดินมา
“ก็...ฮะ”
“แล้วเธอยอมยกบ๊จจังให้คุณหรือเปล่า?” เขาทำกระซิบกระซาบ
“ผมไม่ได้ไปสู่ขอฟ้าสักหน่อย คิดอะไรของคุณเนี่ย?”
พูดก็พูดเถอะ ผมเองก็ยังงงๆ อยู่เลย
ตกลงมาดามแกเกลียดผมหรือไม่ได้เกลียดผมกันแน่
แล้วไอ้ที่บอกว่าคาดหวังในตัวผม กับที่ถามผมตอนท้ายมันหมายความว่ายังไง?
“บู่ๆ ไม่เห็นสนุกเลย” หมอพูดเอาแต่ใจ
“คุณเป็นเด็กหรือไง?”
นี่ก็อีก ผมล่ะไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้จริงๆ ยิ่งคิดถึงวีรกรรมเมื่อคืนก่อนของเขาผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง?
“หมอ ทำไมคืนนั้นคุณถึงไปอยู่ที่นั่นล่ะ?” นึกแล้วก็ถามเจ้าตัวซะเลย
“หืม... อ๋อ ผมหลงทางไปน่ะ” ตาใสมาก...
“คุณเห็นผมเป็นลิงหรือไง?”
“แหม ล้อเล่นนิดหน่อยก็ไม่ได้
เด็กสมัยนี้ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”
“เพราะมุขของคุณมันไม่แป๊กสนิทต่างหาก”
“ร้ายกาจ!”
“เอาจริงๆ หมอ” ผมชักจะหมดความอดทน
“ผมไม่อยากคุยกับฮิเดโกะแล้ว ฮิเดโกะทำร้ายจิตใจผม ไปล่ะ~
..ฮัดชิ่ว!”
แล้วเขาก็ชิ่งหนีผมไปหน้าด้านๆ เลย อ้าว เฮ้ย...!?
“เดี๋ยวสิ หมอ... เฮ้ย หมอ!?”
คนงี้ก็มี? เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเจอ
“.......”
แต่แบบนี้ก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
แล้วคืนนี้ผมจะนอนหลับไหมล่ะเนี่ย? มันอยากรู้อ่ะ...
โปรดติดตามตอนต่อไป.......
อยากรู้อ่าา ว่าซันนี่ตอบมาดามไปว่าอะไรเกี่ยวกับแผลนั่น 55555
ตอบลบ