MADAME MAFIA
chapter 8.1
“เคยใช้มาก่อนหรือเปล่า?”
มาร์กี้ยื่นปืนพกสั้น ด้ามปืนสลักอักษร Sig Sauer
มาให้ผมกระบอกหนึ่ง ขณะที่ฟ้ากับลูกน้องคนอื่นๆ
กำลังทบทวนแผนอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
ผมส่ายหัวรัวๆ ตอบหมอนั่นอย่างจริงใจที่สุด ผมแค่เคยเห็น
แต่ไม่เคยจับ นี่เป็นการสัมผัสปืนจริงๆ ครั้งแรกของผม มันหนักกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก(เกือบกิโลฯมั้ง)
ทั้งที่อันเล็กแค่ฝ่ามือเอง (เล็กกว่าที่ผมเห็นมาร์กี้หรือการ์ดคนอื่นพกเกือบครึ่ง)
และที่ผมต้องมาจับปืนแบบนี้ก็เพราะผมยืนกรานว่าจะตามฟ้าไปด้วย
ทีแรกก็ทั้งผมทั้งสกายนั่นล่ะ แต่ฟ้าไม่อนุญาต บอกว่ารอฟังข่าวอยู่ที่คฤหาสน์แบร์ลุสโคนีดีที่สุด
แต่ผมไม่ยอม ผมตื๊อจะไปด้วยให้ได้ ผมไม่ยอมให้เขาไปเสี่ยงคนเดียวหรอก จนในที่สุดฟ้าก็ใจอ่อน
เขาบอกจะไปก็ได้ แต่ไม่รับประกันว่าฝ่ายตรงข้ามจะให้ผมเข้าไปได้ใกล้แค่ไหนนะ
ผมบอกไม่มีปัญหา ขอแค่ได้ไปก็พอ แต่ซอลลี่มีปัญหา เขาไม่ยอมให้ผมไป เขาบอกไม่อยากเสียน้องชายไปพร้อมกันทั้งสองคน...หากเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดน่ะ
แต่ผมจะไป ผมรั้น ผมไม่ฟังใครทั้งนั้นแหล่ะ!
สุดท้ายของท้ายสุด ทุกคนต้องยอมผม(เย้!)
ตอนนี้ผมก็เลยมาอยู่ที่ฐานชั่วคราวกับฟ้าและกลุ่มของเขาที่อมาลฟี่(เป็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ในป่า)
เพื่อรอเวลาไปยังจุดนัดพบ คืนนี้ตีสอง ...ซึ่งก็ใกล้เข้ามาทุกที
ผมได้ยินมาร์กี้ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง พอมองก็พบกับสายตาเหมือนกำลังสงสารหรือสมเพชผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ไอ้เด็กนี่...
“นี่มาดาม คุณแน่ใจจริงๆ เหรอว่าจะไปกับพวกบอสน่ะ?”
“แน่ใจดิ ไม่งั้นคงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก แล้วก็ช่วยเลิกเรียกฉันแบบนั้นด้วย”
ผมไม่ชอบใจ ถึงผมจะยอมรับปากฟ้าว่าจะเป็น ‘มาดาม’ ของเขา แต่ก็แค่กับเขาคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคน!
“หรือคุณจะให้ผมเรียกว่า ‘ฮิเดโกะ’ แบบตาลุงคนนั้นล่ะ?”
ผมยกปืนที่เพิ่งจะได้มาหยกๆ จ่อกลางหน้าผากไอ้เด็กปากผี
“ถึงจะไม่เคยยิง แต่ฉันก็พอจะรู้นะว่ามันต้องยิงยังไง” ผมพูดเสียงเย็น
“ก็ลองยิงดูสิ”
นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้ว มันยังกล้าท้าทายผมด้วย!
คิดว่าผมไม่กล้าหรือไง!?
“.......”
โอเค ผมไม่กล้า...
นี่มันคนนะเฮ้ย! คนเป็นๆ ด้วย! แล้วผมจะไปกล้ายิงได้ยังไงเล่า!?
“งั้นผมยิงเอง”
หือ...
จู่ๆ ปืนในมือผมก็ถูกมาร์กี้แย่งไป แถมปากกระบอกปืนก็ชี้ตรงมาที่ผมด้วย
“ !? ”
ผมหลับตาปี๋ตอนที่เห็นนิ้วหมอนั่นแตะไก
แต่หลับอยู่พักใหญ่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เลยค่อยๆ
เปิดตามองทีละข้างก่อน
“...?...”
ผมไม่เห็นปืนแล้ว เห็นแต่มาร์กี้ยืนเอาหลังมือปิดปาก
เสหน้ามองทางอื่นแบบเก้อๆ ผมกระพริบตาปริบๆ มองมันอย่างสงสัย มันเลยหันกลับมา
“เมื่อกี๊คุณทำหน้าน่าจูบมากเลย...โอ๊ย!”
มันร้องลั่นเพราะถูกผมเตะเจาะหน้าแข็งไปเต็มแรง
“ทะลึ่งแล้ว!
เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไง ไอ้เด็กเปรต!?”
ผมโมโหเลยเตะไปอีกหลายที มันกระโดดหนีหยองแหยงสลับขาซ้ายขวา
“โอ๊ยยๆๆ พอแล้วๆๆ ผมขอโทษๆ ผมแค่ล้อเล่นเอง
โธ่...”
ผมฮึดฮัดหัวเสีย ที่เอาปืนมาจ่อเมื่อกี๊นี้ผมกลัวจริงๆ
นะ ไอ้บ้าเอ๊ย!!
“จะล้อเล่นก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย” ผมบอกเคืองๆ
“ผมก็ขอโทษแล้วไง ที่ผมทำเมื่อกี๊ ผมแค่อยากจะให้คุณเห็นว่า
คุณยิงใครไม่ได้หรอก ถ้ายังไม่ได้ปลดเซฟ ...ตรงนี้” มันชี้ให้ผมดูตรงส่วนที่เป็นเซฟฟตี้ของปืน
“ไอ้นี่มีไว้เพื่อกันไม่ให้มันลั่นโป้งป้างโดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะใช้มัน
แต่ถ้าคุณพร้อมที่จะใช้ ก็แค่เอามันลง แล้วกระชากสไลด์แบบนี้ ทีนี้แหล่ะ
ปืนก็จะเป็นปืน”
มาร์กี้อธิบายพร้อมทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
“เอาแบบหยาบๆ ไปก่อนนะ ผมไม่มีเวลาพอมาสอนคุณแบบละเอียด”
จู่ๆ ก็เข้าโหมดจริงจัง
ผมที่ยังปรับอารมณ์ตามไม่ทันก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
“นี่เป็นแม็กกาซีนกระสุน ใส่เข้า-ถอดออกแบบนี้
แม็กฯนี่เป็นแบบแถวเดียว เป็นปืนพกซ่อนเลยเน้นความบางเป็นหลัก จุได้แค่ 8 นัด
ใช้อย่างระวังด้วยล่ะ ผมหมายถึง...ถ้ามีโอกาสได้ใช้น่ะ แต่เห็นเล็กๆ แบบนี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มอาวุธสงครามเหมือนกัน
เพราะใช้กระสุนขนาด 9 มม.ได้ และเพราะไอ้เจ้า 9 มม. นี่ล่ะ เลยทำให้แรงรีคอยล์ตอนยิงสูงตามไปด้วย เป็นเรื่องสำคัญนะ
ยิ่งกับคนที่ไม่เคยยิงมาก่อนก็อาจจะทำให้ตกใจจนปืนแกว่งได้ เพราะงั้นก็ต้องระวัง...”
“เดี๋ยวนะ” ผมยกมือเหมือนขออนุญาตอาจารย์ในชั้นเรียน
“ว่า?”
“อะไรมันหดมันถอย..หรือ..คืออะไร...ไม่เข้าใจอ่ะ?” ผมถามซื่อๆ ได้ยินว่า Recoil แต่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
“แรงถีบของปืนน่ะ
ปืนนี่เป็นระบบรีคอยล์ซึ่งจะมีการถีบกลับทุกครั้งที่ยิง”
อ้อ ก็ไม่พูดให้มันฟังง่ายตั้งแต่แรก
งั้นก็เข้าใจไปนานแล้ว ชิ
“อะไรเล่า
นายต้องเห็นใจมือใหม่อย่างฉันบ้างสิ”
ผมเห็นมาร์กี้มันมองด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว ก็เลยขอแก้ตัวสักนิดนึง
“ผมเห็นใจคุณสุดๆ ไปเลยล่ะ ผมถึงได้อยากแนะนำว่าคุณอย่าไปดีกว่า”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก...”
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับซินและฟ้า ผมคงอยู่ต่อไม่ได้
แบบนั้นสู้ตายไปพร้อมกับพวกเขาเลยยังจะดีกว่า ผมตัดสินใจแล้วล่ะ
อะไรก็ไม่สามารถมาเปลี่ยนใจผมได้
“คุณจะทำให้บอสห่วงหน้าพะวงหลังนะ”
ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่มาร์กี้พูด
แต่ผมก็มีเหตุผลของผมอย่างที่บอกไป
“ฉันจะดูแลตัวเอง”
“หัวแข็งชะมัด” หมอนั่นพึมพำ ก่อนจะเริ่มสอนต่อ
“มาถึงวิธียิง... อ้อ ลืมบอกอีกอย่าง ก่อนเข้าไปในเขตของพวกมัน
คุณควรปลดเซฟเข้าไปเลย แล้วลดนกลงมาครึ่งทางหรือ half-cock
ไว้แบบนี้ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้พร้อมใช้งานเลย เอาล่ะ ทีนี้มาลองยิงกันดู”
มาร์กี้คืนปืนให้ แล้วบอกให้ผมใช้ต้นไม้ใหญ่นอกหน้าต่างเป็นเป้าซ้อม
“มือหนึ่งจับที่ด้าม อีกมือก็รองมือจับด้ามเอาไว้อีกที
เอาให้กระชับมือ ยืนดีๆ อย่าปล่อยไหล่ให้หลวมเกินไป ใช่ แบบนั้นแหล่ะ เล็งไปที่จุดเลเซอร์สีแดงที่ผมชี้นะ
แล้วลองยิงดูเลย”
จุดที่มาร์กี้ชี้ห่างออกไปประมาณ 30 เมตร
ผมทำใจ ตั้งสมาธิ เมื่อคิดว่าพร้อมที่สุดจึงลั่นไกยิงนัดแรกออกไป
ปังงงง!
อั้ก.. เจ้าตัวเล็กนี่ถีบแรงเอาเรื่องเลย
ไหล่ผมสะเทือนไปตั้งหลายวิฯแน่ะ
“เฮ้~ คุณมีพรสวรรค์นี่นา มาดาม!”
มาร์กี้ดูจะชอบใจในผลงานผม
ทั้งที่ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ายิงไปโดนตรงไหน
“บอกว่าอย่าเรียกแบบนั้น”
“แล้วผมควรเรียกยังไงล่ะ?”
“ซันชายน์”
“แบบนั้นจะดูตีสนิทเกินไปหรือเปล่า
ก็คุณเป็นแฟนบอสนี่นา...โอ๊ย!”
เจ้าปากเปาะนั่นกระโดดหนีอีกรอบเพราะถูกผมเหยียบเท้า
“ที่นี่ไม่ได้มีแค่นายนะ
หัดปากมีหูรูดซะบ้าง”
ถึงหมอนี่จะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับฟ้า แต่ก็มีอีกตั้งหลายคนที่นี่ที่ยังไม่รู้
และผมก็ไม่ต้องการให้ใครมามองฟ้าไม่ดีเพราะรสนิยมของเขา(..ไม่ใช่ว่ารสนิยมเขาไม่ดีนะ
แน่นอนว่าเทสเขาดีมาก ไม่งั้นเขาคงไม่มาเลือกผม) โดยเฉพาะกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอง
ผมก็เลยอดสั่งสอนเจ้ามาร์กี้ปากมากไม่ได้
“อือฮึ” หมอนั่นส่งเสียงอืออาพร้อมทำท่ารูดซิปปาก
“โอเค งั้นฝึกยิงหมดแม็กฯนี่คุณก็เทิร์นโปรฯได้แล้วล่ะ
ซันชายน์”
“เออ”
“เปลี่ยนแผนฉุกเฉิน!?”
มีเสียงพึมพำดังไปรอบห้องเมื่อจู่ๆ
ลาซโลก็เข้ามาบอกทุกคนว่าคงใช้แผนเดิมไม่ได้แล้ว สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่มาเปลี่ยนเอาตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ!?
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” มานะเป็นคนแรกที่ถาม
ทั้งหมอนี่และการ์ดคนอื่นๆ
ตอนนี้เปลี่ยนไปใส่ชุดปฏิบัติการสีดำตั้งแต่เท้าจรดหัว ทั้งถุงมือ ทั้งหมวกไอ้โม่ง
ทั้งแว่นอินฟาเรดสำหรับมองกลางคืน ทั้งติดอุปกรณ์สื่อสารไว้พร้อม
ส่วนอาวุธก็ครบมืออย่างไม่ต้องพูดถึง
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่กลางสนามรบเลย
“สายแจ้งมาว่าตัวประกันหายไป
ตอนนี้ทางนั้นกำลังตามหาตัวกันให้วุ่น”
“ซินหายไป...!? หายไปได้ยังไง?
ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ผมถามเป็นชุด
“ตั้งแต่ตอนห้าทุ่มครึ่ง ดูเหมือนเจ้าตัวจะหนีออกไปเองช่วงที่ยามเผลอ”
“ว้าว พี่ชายคุณเจ๋งใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย” มาร์กี้พูดกับผมอย่างประทับใจ
“ว่าแต่ งานนี้มารีของพี่มีส่วนเอี่ยวด้วยหรือเปล่า
ลาซโล?”
“บอกว่าไม่ใช่มารีของฉันไงเว้ย
เขาบอกว่าเรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมาย”
“ขอ ว้าว อีกที
ซุปเปอร์แมนของพี่พลาดตั้งแต่แผนยังไม่เริ่มเลยอ่ะ”
“ไอ้มาร์กี้!”
“อย่าเพิ่งกัดกัน” มานะปราม แล้วดูนาฬิกาข้อมือ
“ห้าทุ่มครึ่ง... ผ่านมาเกือบชั่วโมงแล้ว แบบนี้ไม่ดีแน่”
ผมชักร้อนใจ ตอนแรกก็ดีใจที่ได้ยินว่าซินหนีออกมาจากที่นั่นได้แล้ว
แต่ท่าทางกังวลของมานะทำให้ผมเริ่มคิดว่าตัวเองอาจคิดง่ายเกินไป
“แต่นี่ก็ถือเป็นโอกาสของเราด้วย” ฟ้าทำให้ความหวังผมกลับมาอีกรอบ
มานะรีบหยิบแท็บเล็ตมาเปิดแอพฯแผนที่แล้วซูมเข้าให้เห็นพื้นที่รอบคฤหาสน์ซากาเรียชัดๆ
ก่อนวางลงบนโต๊ะให้ทุกคนได้เห็น
“ด้านหนึ่งเป็นชายหาด อีกสามด้านเป็นป่า เป็นนายจะหนีไปไหน
มาร์กี้?”
“ป่าอยู่แล้ว มีโอกาสรอดเยอะกว่า
ถึงจะเสี่ยงถูกยิงกว่าด้วยก็เถอะ”
“แต่ปัญหาคือเขาจะไปทางไหนของป่านี่สิ” ลาซโล่ครุ่นคิด
“เราจะหามันทุกด้านนั่นแหล่ะ” ฟ้าว่า
“แต่แบบนั้นมันจะเสียเวลามากเลยนะบอส
ฝั่งโน้นอาจจะหาเจอก่อนเรา”
“เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ต้องทำอย่างที่บอสว่านั่นล่ะ เราจะปูพรมหาทุกด้าน มาโคพาคนไปด้านนี้ ลาซโล
แกกับฉันไปด้านนี้...”
“เอ๋ ผมก็อยากไปกับลูกพี่มานะด้วยนะ”
“แกไปด้านนี้” มานะกำหนดจุดรับผิดชอบโดยไม่ฟังเสียงงอแงของเจ้าตัว
“แล้วทำไมฉันต้องไปกับแกด้วยวะ?” ลาซโลบ่นพึมพำ
“เอ๋ คนไร้ความสามารถอย่างฉันอุตส่าห์หวังพึ่งพาหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนนะเนี่ย
แย่จริง แต่สงสัยคงต้อง...”
มานะทำเสียงผิดหวังที่ดูก็รู้ว่าแสดง
“ฉันจะดูแลแกเอง เชื่อใจได้เลย!” ...แต่มีคนดูไม่รู้ด้วยแฮะ
ลาซโลยกนิ้วโป้งให้ หลังถูกลูกยอยัดก้นไปนิดหน่อย
“แล้วบอส...” มานะหันมาทางฟ้าบ้าง
“ไปด้วย” เขาบอกแบบนั้น
“งั้นบอสไปกับมาร์กี้ มาร์กี้!
แกคอยคุ้มกันบอสด้วย ถ้าเขามีรอยขีดข่วนกลับมาแม้แต่ปลายเล็บ แกเจ็บหนัก เข้าใจนะ?”
“ไหงงั้นล่ะ ผมต้องหาคน แล้วยังต้องคอยคุ้มกันบอสด้วยเนี่ยนะ?”
“เสร็จงานนี้แล้วฉันจะพาไปเลี้ยงข้าว”
“สู้ตายครับ!” มาร์กี้ตะเบ๊ะ
ไอ้เด็กนี่มันซื่อ หรือแค่ตะกละดูไม่ออกเลย... แต่ท่าทางมันปลื้มมานะน่าดู
มานะนี่ก็รู้จักวิธีจัดการคนดีจัง แต่ตอนแรกผมนึกว่ามันจะไปคุ้มกันฟ้าเองซะอีก
เพราะมันน่าจะเป็นคนที่ห่วงความปลอดภัยของฟ้าที่สุดแล้ว แถมเมื่อกี๊ยังเรียกตัวเองว่า
‘คนไร้ความสามารถ’ ด้วย น่าแปลกจริงๆ
“คงต้องเกิดการปะทะกันด้านนอกแน่
แต่ความปลอดภัยของตัวประกันสำคัญที่สุด เราต้องหาเขาให้เจอก่อนฝ่ายตรงข้าม
แยกย้ายกันไปเตรียมพร้อมได้”
“รับทราบ!”
ทุกคนขานรับก่อนแยกย้าย
“กูจะไปด้วย”
ผมพูดกับฟ้าที่กำลังตรวจเช็คปืนพกสั้นทั้งสองกระบอกของตัวเอง
“มันอันตราย”
“แต่ตอนแรกมึงก็บอกจะให้กูไปด้วยนี่”
“สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ไปตอนนี้จะไม่มีการเจรจา
เจอหน้าก็คงต้องปะทะกันเลย... แล้วมันก็เป็นกลางคืน แถมยังในป่า... มันอันตราย”
“แต่ซินก็กำลังตกอยู่ในอันตราย กูรออยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก”
เขาบรรจุกระสุนใส่แม็กกาซีนสำรองโดยไม่ตอบอะไร
“ฟ้า กูขอร้องล่ะ นะ? กูดูแลตัวเองได้
กูยิงปืนเป็นแล้วด้วย”
“แล้วมึงยิงคนเป็นหรือเปล่า?”
คำถามของเขาทำให้ผมชะงักไป ผมต้องยิงคนด้วยเหรอ?
“ซันนี่ เข้าใจหรือเปล่า
เราอยู่ในสถานการณ์ที่ถ้าไม่ยิงก็ต้องถูกยิงนะ?”
เขาใช้ทั้งคำพูดทั้งสายตากดดันผม
“กูจะยิง!” ผมโพล่งออกไป
“ใครที่ทำร้ายซินกูจะยิงทิ้งให้หมดเลย!”
ฟ้ามองหน้าผมนิ่ง ผมก็มองตอบเขาอย่างไม่ยอมแพ้
สุดท้ายเขาก็ถอนใจ
“มาร์กี้
ไปเอาเสื้อเกราะกับแว่นอินฟาเรดมาให้เขาที”
เขาสั่งมาร์กี้ที่เดินมาพอดี หมอนั่นชะงักเท้า
มองที่ผมอย่างไม่เชื่อสายตา
“อย่าบอกนะว่าคุณอ้อนขอบอสไปด้วย?”
“เออ มีปัญหาหรือไง?”
“มีสิคุณ ผมต้องคุ้มกันบอสนะ
แล้วนี่ยังต้องมาคอยดูแลคุณอีกเหรอ?”
“ฉันดูแลตัวเองได้” ผมยืนยันอย่างหัวแข็ง
มาร์กี้เลยหันไปหาฟ้าแทน “คุณแน่ใจนะ บอส?”
“ไปทำตามที่บอกเหอะ”
“คุณนี่ตามใจแฟนชะมัดเลย” มาร์กี้เป็นอีกคนที่ถอนหายใจ
ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกการ์ดอีกคน แล้วสั่งให้หมอนั่นไปหาชุดมาให้ผมอีกที
“ช่วยไม่ได้ ก็เขาเป็นคนเอาแต่ใจ...”
ฟ้าพูดเอื่อยๆ ขณะเก็บปืนใส่ซองสะพายไหล่
ซ่อนไว้ข้างลำตัวกระบอกนึง เหน็บไว้ที่ด้านหลังของเอวอีกกระบอกนึง
แล้วยังเอามีดพกสั้นไปซ่อนไว้ที่ข้อเท้าอีก
“ผมไม่สงสัยเรื่องนั้นเลยล่ะ ฮ่ะๆๆ”
ผมมองพวกมันตาขวาง แต่พอดีพวกมันไม่ได้มองผม เลยยังไม่รู้ตัว
“รู้ไหม มาร์กี้...” ฟ้ากอดคอมาร์กี้ แล้วซุบซิบกัน
“ที่ประเทศไทยน่ะ เขาเชื่อกันว่า ผู้ชายที่เชื่อฟังเมียจะเจริญทุกคนล่ะ”
“จริงดิ บอส!?”
“มานะบอกมางี้นะ ถ้าเมียบอกให้ซ้าย
แกก็ต้องซ้าย ให้ขวา แกก็ต้องขวา ถ้าเขาชี้ไม้แล้วบอกว่านั่น ‘นก’ แกก็ต้องบอกว่านั่น ‘นก’ ...”
“แล้วถ้าผมบอกว่านั่น ‘ไม้’ ล่ะ?”
ผั้วะ! ผั้วะ!
ผมตบกะโหลกมันทั้งสองคนด้วยความอดรนทนฟังไม่ได้อีกต่อไป
ในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ยังจะมามัวคุยเรื่องไร้สาระกันอีก
“แกก็จะโดนแบบนี้แหล่ะ”
ฟ้าลูบหัวตัวเองป้อยๆ ไม่ต่างจากลูกน้องตัวดีของเขา
“ผมจะจำใส่ใจไว้ครับบอส” ยัง มันยังไม่เลิก...
ผั้วะ!!
คราวนี้ตบชิ่งทีเดียวสองกะโหลกเลย แม่ง!
“เจ็บ...”
ปังๆๆๆๆๆ !!!
มีเสียงปืนดังขึ้นรัวๆ มาจากทางด้านทิศใต้ เพียงแค่ไม่ถึง
5 นาที ที่ผมเข้ามาในพื้นที่เป้าหมาย
กลุ่มของผมกับฟ้า(และมาร์กี้กับการ์ดอีก 2
คน)มาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย
เรารับผิดชอบค้นหาในป่าฝั่งทิศตะวันออกซึ่งตอนนี้ยังไม่เจอสิ่งมีชีวิตอื่นเลย
“ใครปะทะ...รายงาน...ด้วย..”
เสียงมานะดังซ่าๆ มาตามวิทยุสื่อสาร
“หน่วยมาโค...เจอศัตรูสามคน...พกอาวุธหนักครบมือ”
ใครสักคนรายงานตอบมา(..ซึ่งไม่ใช่ตัวมาโคเองแน่ๆ) ท่ามกลางเสียงปืน
“ศัตรูล้มไปหนึ่งคนแล้ว...สองคนแล้ว...อีกคนวิ่งกลับไปทางฐาน”
“ไม่ต้องรีบตามไป...ให้เดินหน้าค้นหาไปเรื่อยๆ...ทำตามแผนเดิม”
“.......”
ผมกำลังอยู่ในสนามรบจริงๆ สินะ
นี่เป็นเรื่องจริงสินะ...
“กลัวเหรอ?”
ฟ้าที่อยู่ข้างๆ ถาม
ตอนนี้กลุ่มของเราก็กำลังเดินหน้าคุมโซนเพื่อค้นหาซินเหมือนกับกลุ่มอื่น
“เปล่า...
กูแค่รู้สึกเหมือนมันยังไม่ใช่เรื่องจริงจนกระทั่งเมื่อกี๊...”
ผมกระชับปืนในมือ ทุกประสาทสัมผัสตื่นตัวเต็มที่
“ตอนนี้พวกมันคงรู้ตัวแล้วว่าเรามา...ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมเข้าปะทะ...พยายามจับเป็น
ถ้าทำได้...และระวังตัวประกันไว้ด้วย” เสียงมานะกำชับมาอีก
“หน่วยลาซโล...มีบางอย่างกำลังวิ่งมาทางนี้...”
ไม่ทันไรก็มีเสียงวิทยสื่อสารดังอีกระรอก
“ศัตรู!...ศัตรู!...”
ปังๆๆๆๆๆๆๆ !!!!
ตอนนี้เสียงปืนดังระงมไปทั่วป่าจนไม่สามารถบอกได้แล้วว่ามาจากทิศไหน
“.......”
ซิน... มึงไปอยู่ที่ไหนนะ
ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งร้อนใจ
ป่านนี้แล้วยังไม่มีใครเจอวี่แววของซินเลย
“ทำไมป่าเรามันเงียบกริบแบบนี้เนี่ย...”
เดินกันมาอีกสักพักผมก็ได้ยินมาร์กี้ที่อยู่ไม่ห่างออกไปบ่นพึมพำ
แต่แค่ไม่กี่วินาทีถัดมาหมอนั่นก็ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนหยุดเดินก่อน แล้วย่อตัวหมอบลง
“หน่วยมาร์กี้...พบศัตรูหนึ่งคนที่สิบนาฬิกา...มันยังไม่รู้ตัว..ให้คอยก่อน”
ผมกับฟ้าหลบหลังพุ่มไม้ใกล้ๆ
ศัตรูมีแค่ไฟฉายติดปลายปืนในการช่วยมอง คงจะไม่ทันสังเกตเห็นเราที่อาศัยความมืดช่วยพลางตัว
“...ศัตรูเพิ่มเป็นสาม...ไม่ใช่
หนึ่งในนั้นเป็นตัวประกัน...เจอตัวประกันแล้ว”
“ !! ”
ในที่สุดเราก็เจอซิน!
ถึงฝ่ายนั้นจะเจอก่อน แต่ตอนนี้พวกมันมีกันแค่สองคน
แถมยังไม่ทันระวังตัว เป็นโอกาสของพวกเราล่ะ!
พวกมันมัดปากซิน แล้วก็มัดแขนซินไพล่หลัง คนหนึ่งใช้ปากกระบอกปืนรุนหลังให้ซินเดิน
ส่วนอีกคนเดินนำทางอยู่ข้างหน้า
ตู้มมม !!!!
...!?
จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นลั่นป่า
“...อะ..ไร...ขึ้น...?”
เสียงวิทยุสื่อสารดังซ่าจนแทบไม่ได้ยิน
“เสียงมาจากทางคฤหาสน์ร้าง...คาดว่าน่าจะเป็นระเบิด...”
“ไม่ใช่ฝีมือ...ฝ่ายเรา...ทุกคนระวังตัวด้วย”
ตู้มมมม !!!!
ตู้มที่สองตามมาติดๆ
ผมเห็นซินใช้จังหวะที่ศัตรูกำลังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่จู่โจมคนที่คุมข้างหลังด้วยการเอาหัวพุ่งชน
ก่อนจะวิ่งหนีไปอีกทาง
“ซิน!” ผมออกวิ่งตามไม่คิดชีวิต
ปัง! ปัง!
มีเสียงปืนไล่หลังมา ผมไม่รู้ว่าใครยิง และมันไม่ได้โดนผม
ผมจึงไม่ได้สนใจอะไรนอกจากต้องตามซินให้ทัน
แต่ข้างหน้าผมยังมีคนร้ายอีกคนที่ตามซินเหมือนกัน
ปังๆๆๆ
มันหันกลับมายิงใส่มั่วๆ แล้ววิ่งต่อ
พอมันไปผมก็ออกจากหลังต้นไม้ที่ใช้กำบังแล้ววิ่งตามต่อเหมือนกัน
แต่ผมไม่เห็นมันแล้ว แย่กว่านั้นคือผมไม่รู้ว่าซินไปทางไหนด้วย
“บ้าเอ๊ย!” ผมสบถอย่างหัวเสีย
แต่แล้วผมก็ถูกใครบางคนจู่โจมใส่จากทางด้านข้าง
“อั้ก..”
เราล้มกลิ้งไปด้วยกัน ผมทำปืนหลุดมือ แถมแว่นอินฟาเรดยังกระเด็นตกไป
ทำให้มองเห็นคนร้ายได้ไม่ถนัด ผมถูกชกหน้าสองหมัดรัวๆ กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วปาก
กว่าจะตั้งตัวได้ก็ตอนมันง้างจะชกหมัดที่สาม ผมยกแขนกันไว้ทันแล้วพลิกตัวขึ้นมาเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนบ้าง
ถึงผมจะไม่ถนัดใช้หมัดเท่าถนัดใช้เท้า แต่หมัดผมก็หนักอยู่เหมือนกัน
ผมชัดมันคืนได้สองหมัด(ไม่ขาดทุนล่ะ) ก่อนที่มันจะพลิกสถานการณ์ได้อีกรอบ
แต่คราวนี้มันชกผมไม่ได้ง่ายเหมือนครั้งแรกแล้ว เราปลุกปล้ำกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
มันหยิบปืนพกขึ้นมาได้ ผมรีบแย่งไว้ก่อนที่มันจะลั่นไกใส่ เรากลิ้งไปด้วยกันอีกรอบ
ในตอนที่ผมพลาดพลั้งกลับมาอยู่ด้านล่าง...
ปัง!
ผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นใกล้ๆ ...ใกล้เกินไปจนหูอื้อไปหมด
“.......”
ปัง!
มีเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ผมเห็นฟ้า แต่ภาพของเขาก็ช่างเลือนลางเหลือเกิน
“ซันนี่!?
“ฟ้า...”
แล้วทุกอย่างก็ดับมืดไป...
โปรดติดตามตอนต่อไป......
อ่าาา ซันนี่ถูกยิงรึเปล่า...แต่เสื้อกันกระสุนคงไม่เป็นไรเนาะ T T
ตอบลบ