MADAME MAFIA
chapter 6
บ่ายคล้อยวันเดียวกัน
ผมกับฟ้าออกมาเดินเล่นสำรวจรอบเกาะแฝดทั้งสองที่ตั้งเคียงคู่กัน
เกาะที่มีบ้านฟ้าอยู่เขาตั้งชื่อเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ‘เกาะซ้าย’ ส่วนเกาะที่มีทุ่งดอกไม้คือ ‘เกาะขวา’ เกาะซ้ายเป็นเกาะเดียวที่มีบันไดหินไว้ใช้ขึ้น-ลงเกาะ และท่าเรือก็อยู่ที่นี่
ส่วนเกาะขวานั้นเป็นหน้าผารอบด้าน กะความสูงคร่าวๆ
จากผิวน้ำ(ทะเล)ถึงพื้นเกาะก็น่าจะประมาณตึก 3 ชั้น(หรือราวๆ
10 กว่าเมตรนิดๆ) พวกเราเดินข้ามจากเกาะซ้ายไปเกาะขวาด้วยสะพานหินโบราณทรงโค้ง(ตอนข้ามมารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโดโรธีที่กำลังข้ามสะพานสายรุ้งยังไงชอบกล)
คล้ายกับเส้นสายรุ้ง กว้างไม่ถึงเมตรและยาวไม่เกิน 20 เมตร
เกาะนี้มีพื้นที่น้อยกว่าอีกเกาะพอสมควร
แล้วทั้งเกาะก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งดอกไม้อย่างที่ฟ้าเคยบอกไว้
มันเป็นดอกไม้พันธุ์เล็กที่มีกลีบดอกสีขาว เกสรสีเหลืองโดดเด่น ลำต้นและใบสีเขียวของมันปกคลุมหน้าดินเกือบทั้งหมดของเกาะไว้
พวกเราต้องเดินลัดเลาะไปตามซอกหินเพื่อที่จะไม่ต้องเหยียบทำลายมัน แอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่ผมไม่มีโทรศัพท์หรือกล้องติดตัวมาเลย
ไม่งั้นก็อยากจะเซลฟี่คู่กับฟ้าไว้เป็นที่ระลึกสักภาพสองภาพ ฮ่ะๆ
“เหมือนมานะจะเคยบอกว่ามันชื่อดอกอะไรสักอย่าง...”
ฟ้ายืนมองทุ่งดอกไม้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด แต่ผมไม่ต้องคิดเลย
ผมรู้จักมันดี
“Wind flower”
ที่ผมจำได้เพราะดอกไม้ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของบริษัทดอกไม้ของซิน ทั้งยังเป็นชื่อของบริษัทด้วย
และยิ่งไปกว่านั้น ภาษาดอกไม้ของมันยังแปลว่า ‘Sincere’ ความหมายเดียวกับชื่อของซินอีก แบบนี้จะให้ผมลืมมันไปได้ยังไง
“ไม่ใช่...” ฟ้าพึมพำ ยังครุ่นคิดไม่เลิก
“ใช่ดิ” ผมยืนยัน
ชื่อ ‘Wind flower’ มีที่มาจากกลีบดอกบอบบางของมัน ที่พอถูกลมพัดแรงหน่อยมก็จะหลุดปลิวไปกับสายลม
เหมือนภาพที่ผมกำลังมองตอนนี้ไงล่ะ
“อาเนโมเน่...อาเนโมเน่...เนโม..เนโม...”
“Anemone
nemorosa” ผมช่วยบอกให้
“อ้า! ...อาเนโมเน่ เนโมโรซ่า” ฟ้าชี้มาทางผมอย่างคนเพิ่งนึกออก
“ก็ดอกเดียวกันนั่นแหล่ะ”
แต่ Wind flower จะเป็นการเรียกรวมๆ ของกลุ่มดอกไม้ลักษณะนี้ที่มีหลายสีหลายพันธุ์ ส่วน Anemone
nemorosa น่าจะเป็นชื่อที่เจาะจงเรียกดอกนี้สีนี้เลย
“แล้วซันนี่รู้หรือเปล่าว่าภาษาดอกไม้ของมันคืออะไร?”
“ความจริงใจ” ผมไม่ลังเล
“อืม...” แต่ฟ้ากลับดูลังเล
“ไม่ใช่เหรอ?”
จนผมเริ่มลังเลบ้าง
“จำได้ว่าในป่าหลังคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีก็มีทุ่งดอกไม้แบบนี้อยู่เหมือนกัน”
“เหรอ แล้ว...?” ผมแปลกใจ
แต่ก็ยังไม่เห็นว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังคุยกันตรงไหน
“ตอนเด็กๆ เคยเดินหลงไปกับโคเน่ครั้งนึง...”
โคเนโร?
การได้ยินว่าพวกเขาพี่น้องเคยเดินไปไหนมาไหนด้วยกันนี่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ผมทีเดียวนะ
ถึงจะเป็นการเดินหลงทางก็เถอะ
“ตอนที่คิดว่าเราจะได้เจอทางออกจากป่า เรากลับเจอทุ่งดอกไม้แทน
แล้วโคเน่ก็พูดว่า ‘รู้หรือเปล่าว่าดอกนี่มีภาษาดอกไม้ว่าอะไร? ‘ความหวังที่ร่วงโรย’
เหมือนกับพวกเราตอนนี้ไง’ ...นั่นล่ะ
สุดท้ายเราก็นั่งอยู่ที่นั่นเกือบเช้าถึงมีคนมาเจอ”
“โห...” ผมทึ่งกับประวัติการผจญภัย(?)ของพวกเขา
“แล้วพวกมึงเข้าไปทำอะไรกันในป่าแต่แรกอ่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
เขาตอบหน้าตาเฉย
“เอ๊า?” ...ไอ้นี่
“มันนานแล้วอ่ะ
แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงจำตอนอยู่ที่ทุ่งดอกไม้ได้”
“คงเป็นความประทับใจล่ะมั้ง”
ผมพูดไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ฟ้ากลับทำหน้าเหมือนคนท้องผูกมาทั้งวีคก็ไม่ปาน
...เขาคงต่อต้านความคิดนี้น่าดูเลยสิเนี่ย ฮ่ะๆๆ
“โอเค... นั่นก็อาจจะเป็นภาษาดอกไม้แบบอิตาเลียนก็ได้
ส่วนของกูก็เป็นแบบอังกฤษ
ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าภาษาของมันจะต่างกันไปตามสถานที่ปลูก”
ผมกลับเข้าเรื่องเดิมก่อนที่บรรยากาศดีๆ มันจะเสียไปซะก่อน
“คงงั้น...” ฟ้าเห็นด้วย
“โอ๊ะ ข้างล่างนี่มีซากอารยะธรรมอยู่จริงๆ ด้วย”
ผมคุกเข่าแล้วชะโงกลงไปมองสำรวจทะเลเบื้องล่าง
เห็นพวกเศษของสิ่งก่อสร้างแตกหักกับพวกรูปปั้นเทพเจ้าของคนโบราณนอนนิ่งอยู่ใต้น้ำที่ไม่ลึกมาก
“เหมือนจะไม่ลึก แต่ก็ลึกอยู่นะ”
ฟ้าบอก
“เล่นน้ำกันไหม?” ผมหันไปชวนอย่างนึกสนุก
“เอาสิ เดี๋ยวไปเอากางเกงว่ายน้ำ...”
“ไม่ต้องๆ” ผมพูดแทรก
แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเองออก
“ซันนี่?”
“มึงก็ถอดดิ”
ผมเร่งเขาที่เอาแต่ยืนดูเฉย
หลังจากเหลือแค่กางเกงในคนละตัว ผมก็ขยับไปยืนริมหน้าผา แล้วชะโงกหน้าไปดูข้างล่างอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโขดหินอยู่แถวนั้น
“ซันนี่ ระวัง”
ฟ้าจับแขนผมไว้ด้วยห่วงว่าผมจะตกลงไป
แต่ถ้าเราไม่ ‘ตก’ ลงไป แล้วเราจะมายืนแก้ผ้าทำหอก’ไรตรงนี้ล่ะครับ? หึหึ
“งั้นมึงลงไปก่อนแล้วกัน”
ผมดึงแขนฟ้าที่ไม่ทันระวังตัว แล้วเหวี่ยงเขาลงจากหน้าผาไปแบบนั้นเลย
“ซัน...!” เขาส่งเสียงได้แค่นั้นแหล่ะ ฮ่าๆๆ
“วู้ววววว!” ผมติดตามผล
พลางตะโกนร้องด้วยความสะใจ
ฟ้าตกใส่น้ำเสียงดังตูมใหญ่ น้ำกระจายกลายเป็นคลื่นลูกย่อมๆ เลยล่ะ
“ซันนี่!!!”
หลังจมหายไปอึดใจนึง เขาก็โผล่ขึ้นมาพร้อมนิ้วกลางกับน้ำเสียงเจ็บใจ
“ฮ่าๆๆๆๆ”
หัวเราะลั่นเกาะครับงานนี้ ก็มันสะใจอ่ะ นานๆ จะเห็นมึนแตกสักที
ฮ่าๆๆๆ
“เอาล่ะ!”
ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เอามือบีบจมูกไว้ แล้วทิ้งตัวลงจากผาบ้าง
“เฮือกก...อั้ก!”
แต่ตอนขึ้นจากน้ำ ยังไม่ทันได้หายใจเอาอากาศเข้า ผมก็ถูกไอ้คนใจแคบ
ไอ้แค้นฝังหุ่นมันตามมาเอาคืน มันกดหัวผมให้จมลงไปในอีกรอบ
ผมต้องสู้จนสุดเกิดกว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือมารของมันมาได้ นี่มันกะเอาจริงเลยนี่หว่า!
“มึงคิดจะฆ่ากูเรอะ?”
ผมพูดทั้งที่หอบฮัก
“ก็มึงคิดจะฆ่ากูก่อนอ่ะ”
หน้าเขามึน แต่ตาเขาอ่ะ โคตรมาดร้ายเลย แต่จะให้นึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปก็คงจะสายไปแล้ว
เพราะงั้น... ถ้าอยากรอด ผมก็ต้องชิงลงมือก่อน!
“งั้นก็ตายซะเถอะ!”
ผมเปิดฉากกระโจนเข้าใส่ฟ้า แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน
เราปลุกปล้ำประลองกำลังกันอยู่พักใหญ่ ผลัดกันไล่ ผลัดกันหนี
มีเสียงตะโกนด่าทอ(ส่วนใหญ่เป็นผม)สลับกับเสียงหัวเราะสะใจเป็นระยะ
จนกระทั่งเสียงพวกนั้นค่อยๆ เงียบหายไป เหลือไว้แค่เสียงเหนื่อยหอบของคนสองคน
“เหนื่อยโคตร...”
ผมตะเกียกตะกายขึ้นมานอนแผ่หลาบนโขดหินก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ใต้เงาของเกาะข้างบนพอดี
...สงสัยจะประเมินตัวเองสูงไปหน่อยแฮะ แค่นี้ก็หมดแรงแล้ว
“ซันนี่...ถึก...”
ฟ้าทิ้งตัวนอนลงข้างๆ ลมหายใจของเขาขาดเป็นห้วงไม่ต่างจากผม
“ไม่อยากถูกคนที่คึกตลอดทั้งคืนอย่างมึงว่าเลย” ผมแย้บเบาๆ
“ถ้าซันนี่จู่โจมอย่างเมื่อคืนจะไม่บ่นสักคำ...” เขาสวนด้วยหมัดฮุกเลย
“เมื่อคืน... กูแค่ละเมอ”
แถซึ่งหน้าเลยผม
รู้สึกร้อนหูร้อนหน้าเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
แน่นอนว่าผมไม่ใช่สาว
น้อยเวอร์จิ้นที่จะมาอายกับเรื่องเซ็กส์อะไรแบบนี้
แต่... ที่ผมทำไปเมื่อคืนมันก็... เกินกว่าที่ผมเคยคิดเคยฝันว่าตัวเอง ในฐานะ [ผู้ชาย] จะกล้าทำไปไกลหลายขุมนัก
ชั่วชีวิตนี้ ผมคงไปเป็นเจ้าบ่าวของใครไม่ได้อีกแล้ว ฮือออ...
“ละเมอแบบนี้คงไม่กล้าปล่อยไปนอนที่อื่นแล้วล่ะ”
ฟ้าพลิกตัวนอนตะแคง เขามองผมด้วยแววตาขบขันล้อเลียน
“แล้วมึงจะขังกูไว้บนเกาะนี้หรือไง?”
“ใช่ เราจะอยู่ด้วยกันนี่ที่ไปจนตายเลย”
เขาพูดเรื่อยๆ
“กูให้เดือนเดียว...ไม่ๆ สองเดือน”
“หือ?”
“ไม่เกินสองเดือน มึงจะต้องบ่นว่าเหม็นเบื่อกู
แล้วก็อยากขึ้นฝั่งแน่ๆ”
“อืม...” ฟ้าครุ่นคิด
แต่ผมเดาไม่ออกจริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไร
ระหว่างกำลังนึกเดาใจเขาไปต่างๆ นานา จู่ๆ
ฟ้าก็ลุกมาเท้าแขนคร่อมผมผมไว้ ก่อนจะเร่มไซร้ไปตามลำคอ
“เฮ้! จู่ๆ ก็...”
ผมขยุ้มผมเขาดึงให้เงยหน้าขึ้น
“ก็จะลองดมว่าซันนี่เริ่มมีกลิ่นตุๆ แล้วยัง”
เขาพูดหน้าตาย... ไม่ คือผมหมายถึง ‘น่าตาย’
มากกว่า ...ไอ้นี่!
จับหัวซุกจั๊กกะแร้ แม่มมม!!
“ฮ่าๆๆๆๆ ไงล่ะ! ได้กลิ่นยัง?”
ผมเอาขารัดตัวเขาไว้ไม่ให้หนีด้วย
แต่ดูเหมือนว่าผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยสักนิด
เพราะนอกจากเขาจะไม่ได้คิดหนีแล้ว เขายังจงใจดมรักแร้ผม แถมยังเลียมันอีก
“อ๊ะ..!” ผมเผลอครางเบาๆ เพราะความสยิว
ก่อนจะรีบผลักเขาออก
“โรคจิต” ผมว่า
“ของแท้เลยล่ะ”
เขายอมรับอีกแน่ะ
“ไอ้บ้า...” ผมกึ่งขำกึ่งยอมแพ้
ผมปล่อยให้เขานัวเนียกับร่างกายผมตามใจ ส่วนตัวเองก็นอนมองฟ้า
ฟังเสียงคลื่นไปอย่างเพลิดเพลินใจ ...ทะเลสีเขียว ฟ้าสีคราว เฮ้อออ สวรรค์แท้ๆ
หือ...
“ฟ้า..?”
ผมผงกหัวขึ้นมองเพราะรู้สึกว่าปากของเขาชักจะพรมจูบต่ำลงไปทุกที
“จะ ‘เอาท์-ดอร์’ อีกหรือไง?”
“ไม่ได้เหรอ?” เขาอ้อนซึ่งหน้า
“จะบ้าเหรอ? เกิดมีใครผ่านมา...”
ผมหันซ้ายหันขวา
ก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้พวกเราอยู่กลางทะเลนี่หว่า
ครั้นจะอ้างว่ากลัวคนบนฝั่งจะส่องเห็น
พวกเราก็ดันอยู่อีกฟากของเกาะที่เห็นแต่ทะเลสุดลูกหูลูกตา
“ก็.. อาจจะมีใครขับเรือผ่านมาก็ได้”
ผมพยายามแถให้ถึงที่สุด
“ซันนี่...”
เขาไม่เอาเหตุผลมายันกับผม ใช้แต่ลูกอ้อนอย่างเดียวเลย
แล้วไอ้ผมก็ดันใจอ่อนกับสายตาออดอ้อนของเขาด้วยสิ ...แย่จริง
“ตรงนั้น...”
ผมชี้ไปทางซอกระหว่างเกาะซ้ายกับขวาที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ
แบบว่า...ถ้าเป็นตรงนั้น....ก็พอได้... (ฮ่ะๆๆ)
“งั้นไปกัน”
ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก
ฟ้าเข้าใจทันทีว่าผมต้องการที่ที่ลับตาหน่อย
ตอนที่สไลด์ตัวกลับลงน้ำผมก็ยังคิดอยู่เลยนะว่า ‘มันจะดีเหรอ?’ ตอนที่ว่ายน้ำมาก็ยังไม่เลิกคิด แต่ตอนที่ปีนขึ้นไปบนแผ่นหินในซอก
แล้วก็ถูกฟ้ารวบเอวไปกอด สัมผัสผมอย่างเร่าร้อน ป้อนจูบแสนร้อนแรงยิ่งกว่าแดดของซอเรนโตให้...
เหตุผลใดๆ ที่จะใช้ปฏิเสธเขาผมก็ลืมไปหมดสิ้นแล้ว
“อื้มมม..อือ...ฟ้า...”
ฟ้ายกตัวผมลอย ผมใช้ขาเกี่ยวรอบเอวเขาไว้ เขาพาผมเดินไปหาโขดหินอีกก้อน
ปล่อยผมกึ่งยืนกึ่งพิงหิน แล้วคุกเข่าพร้อมกับรูดกางเกงที่เหลือเพียงตัวเดียวของผมลงจนพ้นขา
ก่อนจะเข้าเล่นงาน ‘ซันนี่’ ของผมอย่างหิวกระหาย
“..อา...อืม...ฟ้า..ฟ้า...อ๊ะ...”
ผมระบายอารมณ์ด้วยการขยุ้มกลุ่มผมสีน้ำตาลเทาของเขา เชิดหน้าสูดปากอย่างเสียวซ่านกับเทคนิคของเขา
กดหัวเขาสลับกับเด้งเอวเบาๆ ระหว่างที่ถูกเขาใช้ปากปรนเปรอให้ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนผมจำไม่ได้แล้วล่ะ
“ซันนี่ หันหลังมา”
ฟ้ากำกับท่าทางให้ผมเพื่อที่เขาจะเตรียมช่องทางผมให้พร้อมใช้งาน
“อือ...อือ...อืมม...”
ผมกัดปากตัวเองไว้เพราะไม่อยากจะส่งเสียงดังไปมากกว่านี้
มือหนึ่งยันหินไว้ อีกมือจับก้นตัวเองช่วยให้ความร่วมมือกับเขาเต็มที่
ฟ้าเริ่มรุกรานด้วยลิ้นก่อน จากนั้นก็เป็นนิ้ว
จากหนึ่งนิ้วเป็นสองนิ้ว แล้วเป็นสามนิ้ว เพราะเราไม่มีตัวช่วยอย่างเจลหล่อลื่นเขาก็เลยต้องเตรียมให้ผมนานหน่อย
แต่ขาของผมนี่สิ มันเสียวจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว
“ฟ้า...~”
ผมหันกลับไปเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเว้าวอนมากกว่าที่ตัวเองตั้งใจไว้ซะอีก
ผมสัมผัสแก้มเขา รั้งเขาเข้ามาแรกจูบดื่มด่ำ...
“..อ่าาาา...”
ฟ้าค่อยๆ ผลักดันตัวเข้ามาในตัวผม
ถึงเราจะทำกันมาหลายครั้งตั้งแต่เมื่อคืน
แต่ทุกครั้งที่เขาแทรกผ่านเข้ามาในตอนแรกมันก็ยังสร้างความเจ็บให้ผมอยู่ดี
แต่แน่นอน ผมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นั้นหรอก(คนกำลังหื่น ฮ่ะๆๆ)
“อะ..อ๊ะ..อ๊ะ...”
ฟ้าเริ่มขยับตัว จากเนิบๆ แล้วค่อยเร่งจังหวะขึ้น เขาจับเอวผมไว้
รั้งให้ขยับสวนรับกับแรงส่งของเขา เราจูบกันเป็นพักๆ
ผมอยากจะจูบเขามากกว่านี้แต่ติดที่ท่านี้มันทำให้จูบลำบาก ฟ้าเลยให้ผมนอนบนโขดหิน
เขาสอดแขนไว้ใต้ขาพับผม ยกก้นผมลอยแล้วเขาก็เริ่มบรรเลงเพลงรักต่อ แต่มันก็เวิร์คได้ไม่นานนัก
เพราะกระดูกสันหลังของผมต้องเสียดสีกับหินที่ครั้งที่เขากระแทก และมันทำให้ผมเจ็บ
เขาก็เลยเอามือผมไปกอดคอเขาไว้ จากนั้นก็ยกอุ้มตัวผมทั้งที่เรายังเชื่อมต่อกัน
“อืมม..อือออ...”
ผมจูบเขาและเป็นคนขยับสะโพกเอง โดยมีเขาคอยช่วยประคองไว้
ผมไม่เคยทำด้วยท่านี้มาก่อน ก็เลยไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะเสียวได้ขนาดนี้
“อื้อ...อื้มม...ฟ้า..!”
พอเริ่มเมื่อย ฟ้าก็เปลี่ยนไปนั่งบนโขดหินซะเอง แล้วให้ผม ‘Ride’ เขาอย่างที่เขาชอบ
โดยเขาใช้สองมือยันหินด้านหลังไว้ แล้วปล่อยทีเหลือให้ผมจัดการเองทุกอย่าง
ผมรั้งคอเขาไว้เพื่อพยุงตัวมือหนึ่ง แล้วคอยช่วยตัวเองอีกมือหนึ่ง ร่างกายขยับไปตามแรงตัณหาอย่างที่อะไรก็ไม่สามารถมาหยุดยั้งผมได้ในนาทีนี้
ยิ่งคิดว่าอาจจะมีใครสักคนผ่านมาเห็นเราทำอะไรกันในที่โล่งโจ้งแบบนี้ก็ได้ ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดควบคู่ไปกับความรู้สึกตื่นเต้น
จนในที่สุดความกดดันทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นสายน้ำขาวขุ่นสาดพ่นใส่หน้าอกและหน้าท้องของฟ้าจะเปรอะไปทั่ว
“..ฮ่า...ฮ่า...ฟ้า...ฟ้า..!..มะ..อ๊ะ...อ๊าาาา...!!!”
“อืมมม...ซันนี่...”
ผมยังขยับสะโพกต่อไปด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายยังคงตามผมมาไม่ทัน จนกระทั่งฟ้าบอกให้ผมพอ
เขาถอดถอนออกจากตัวผม แล้วขอให้ผมช่วยใช้ปากส่งเขาให้ถึงฝัน
“..ซันนี่...ซันนี่...อึก...!”
เขาปล่อยทั้งหมดเข้ามาในปากผม มีเผลอกลืนไปบ้าง ทีเหลือผมคายทิ้งออกมา
เขาดึงผมกลับขึ้นไปแลกลิ้น เราจูบพลางลูบคลำเนื้อตัวกันอยู่อีกหลายนาที
จนกระทั่งลมหายใจกลับเป็นปกติ จึงผละออกมานั่งมองพระอาทิตย์ตกทะเลด้วยกัน
มันเป็นทิวทัศน์ที่สวยมาก อีกทั้งบรรยากาศ อารมณ์ของผม
และตัวเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ ถ้าสวรรค์มีจริง สำหรับผมอาจเป็นที่นี่ก็ได้
อยากจะหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้จริงๆ
ผมเอนหัวไปพิงไหล่ฟ้า เขาขยับตัวเล็กน้อยก่อนส่งเสียงเนิบๆ
“ที่จริง...”
“หืม?”
“ซันนี่ก็ชอบ ‘เอาท์-ดอร์’ ใช่มะ...โอ๊ะ”
เขาร้องเพราะถูกผมหยิกพุงไปที (ไอ้นี่มันตัวทำลายบรรยากาศซะจริง ฮึ่ม!)
“กูไม่ได้โรคจิตเหมือนมึง”
“จริงเร้อ...โอ๊ะ”
คงไม่ต้องให้บอกอีกนะว่าเขาร้องทำไม
“ซันนี่...”
เงียบไปสักพักเขาก็ส่งเสียงอีก
“อะไร?” คราวนี้ผมขานรับห้วนๆ
“พรุ่งนี้ไปขับเรือเล่นกันไหม? ที่ใกล้ๆ นี่มีหมู่บ้านชาวประมงอยู่”
หมู่บ้านชาวประมงเหรอ... ฟังน่าสนใจดีแฮะ
“ที่นั่นมีร้านอาหารทะเลอร่อยๆ ด้วย”
“ก็ไปสิ...”
“ซันนี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
จริงๆ ผมกินอะไรก็ได้นะ แค่ไม่ใช่เห็ดหรือของที่หวานมากก็พอ
“ที่จริงล็อบเตอร์นึ่งร้านที่เคยไปครั้งก่อนอร่อยมากล่ะ”
ดูเหมือนฟ้าจะมีเมนูในใจอยู่แล้ว ผมก็ไม่ขัดหรอก เขาอยากจะกินล็อบเตอร์หรือปลากระเบนก็สั่งมาเถอะ
เวลาแบบนี้อะไรก็อร่อยหมดล่ะ ถ้าได้กินกับเขา..
โครกกกกกก...~
ท้องผมทำขายขี้หน้าอีกแล้ว ให้ตายสิ
“ซันนี่?”
“ก็เพราะมึงพูดเรื่องของกินขึ้นมานั่นแหล่ะ” ผมป้ายความผิดซึ่งหน้า
“หึหึหึ งั้นกลับบ้านไปหา’ไรกินกันดีกว่า”
เขาสไลด์ลงน้ำก่อน แล้วหันกลับมาส่งมือให้ผม
“อืม”
“My heart is
pierced by Cupid, I disdain all glittering gold, There is nothing can console
me but my jolly sailor bold....~”
ผมยืนฮัมเพลงไปทอดปลาแซลม่อนไปอย่างอารมณ์ดี
เย็นนี้ผมจะทำสเต็กแซลม่อนล่ะ แต่กระเพาะหลุมดำอย่างฟ้าประทาน
ผมก็คงต้องทอดหลายชิ้นหน่อย
โอ้... อย่าๆ อย่ามองผมด้วยสายตาชื่นชมขนาดนั้น ที่จริงผมไม่ได้ทำอาหารเก่งอะไรหรอก
ผมไม่ใช่มืออาชีพอย่างไอ้ยูริ เทียบกับสกายก็ยังห่างชั้นนัก ขนาดซินก็ยังทำเมนูง่ายๆ
ได้หลากหลายกว่าผมอีก ผมก็แค่ดีกว่าซอลลี่ที่ทำอะไรไม่เป็นเลยนิดหน่อยเอง
เมนูที่ผมพอทำได้ก็โคตรจะพื้นฐานสุดๆ เรียกว่าทำเพื่อกินกันตายเท่านั้น
อย่างเมนูนี้ผมก็แค่เอาแซลม่อนมาคลุกเกลือกับพริกไทยดำ
แล้วทอดในน้ำมันมะกอก แค่เนี้ย
ส่วนน้ำซอสผมก็แค่ใช้น้ำสลัดสำเร็จรูปขวดที่กินเมื่อเช้าแหล่ะ เอามาใส่พริกไทยดำ
แล้วก็บีบมะนาวใส่อีกหน่อย ก็เป็นอันใช้ได้
ผมว่าจะเสิร์ฟพร้อมเฟร้นฟรายกับแอปเปิลเขียวล่ะ เห็นมะ? ง่ายจะตาย
แค่นี้ก็รอดไปได้อีกมื้อ
“ทำอะไรอยู่?”
ฟ้าเข้าครัวมาก็กอดเอวผมหมับ หอมแก้มอีกฟอด
เขาอาบน้ำทีหลังผมก็เลยเพิ่งจะลงมา ตอนแรกเขาก็ขออาบพร้อมผม แต่จอมหื่นอย่างเขาน่ะเหรอจะจบแค่อาบน้ำอย่างเดียวได้
คราวนี้ ‘ไม่’ ก็เลยคือ ‘ไม่’ ผมยื่นคำขาด
“สเต็กแซลม่อน กินไหม?”
ผมเอี้ยวหน้าไปจุ๊บแก้มเขาคืน
“ได้ทั้งนั้น” เขาไม่ปฏิเสธ (..ก็ลองปฏิเสธสิ
เขาคงต้องอดมื้อเย็นแล้วล่ะ)
นอกจากไม่ปฏิเสธแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเอวผมด้วย ยังคงจุ๊บตรงนั้นหอมตรงนี้ไปเรื่อยจนกระทั่งผมทอดปลาเสร็จ
ว่าไปแล้วพวกเรานี่ก็ทำตัวอย่างกับพวกข้าวใหม่ปลามันเลยนะ ตัวติดกันได้ทั้งวัน
สวีทกันได้ทั้งวัน แล้วก็มีเซ็กส์กันได้ไม่รู้เบื่อ ช่วงโปรโมชั่นสุดๆ ฮ่ะๆๆ
“เพลงอะไรเหรอ?”
ผมคงเผลอฮัมเพลงออกมาอีก ฟ้าถึงได้ยิน
“ไม่รู้เหมือนกัน แค่ทำนองกับเนื้อร้องของมันติดอยู่ในหัว”
ผมตักปลาใส่จาน แล้วย้ายที่ไปยืนแต่งจานด้วยเครื่องเคียงที่เตรียมไว้ให้พร้อมเสิร์ม
ระหว่างนั้นฟ้าก็ไม่เคยอยู่ห่างจากผมเช่นเดิม ผมหยุดมือเมื่อนึกถึงท่อนหนึ่งของเพลงขึ้นมาได้
แล้วหันไปประจันหน้ากับเขาด้วยสีหน้าอมยิ้ม
“His hair it
has in ringlets, his eyes as black as cole.”
ผมเริ่มร้องเพลง ยื่นมือออกไปลูบผมหยักศกของเขา จ้องตาสีดำเป็นถ่านของเขาที่เหมือนกับในเนื้อเพลง
ด้วยสายตาสุดแสนรักใคร่
เขาก็คือ กะลาสีผู้กล้าหาญของผม...
“My happiness
attend him wherever he may go.”
“From Tower
Hill to Blackwall, I wander, weep and moan.”
“All for my
jolly sailor, until he sails home.”
“ร้องต่อสิ” ฟ้ากระซิบ
เขายกตัวผมขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์
ใบหน้าของเราใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจ
“My heart is
pierced by Cupid, I disdain all glittering gold, There is nothing can console
me but my jolly sailor bold... ..อืมมม...”
เขามอบจูบหวานล้ำให้ผมเป็นรางวัลที่ร้องเพลงให้ฟัง
“ขอกินซันนี่ก่อนแซลม่อนได้ไหม?”
เขาอ้อน
“ไม่เบื่อบ้างหรือไง?”
ผมหัวเราะพลางจับผมเขาทัดหูไว้
“จานนี้กินได้ทั้งปีแหล่ะ”
“ปีเดียวเองเหรอ?”
“อืมม... 70 ปี” เขามีแอบคิดนิดนึงด้วย ฮ่ะๆๆ
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
ผมถามยิ้มๆ
จากนี้อีก 70 ปี พวกเราก็คงอายุ 95 กันแล้ว
ถึงตอนนั้นแค่เหลือแรงยกช้อนกินข้าวก็บุญโขแล้วล่ะ ผมว่า อย่าไปอาจหาญคิดเรื่องทะลึ่งเลย
ฮ่ะๆๆ
“เราคงต้องนอนจับมือกันเฉยๆ”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ผลทำนายอนาคตของฟ้าทำผมหัวเราะก๊ากเลยล่ะ
“ซันนี่~”
เขาส่งเสียงออดอ้อนอีก คราวนี้มาทั้งหน้าทั้งตา
แถมยังเบียดตัวให้แนบชิดกับผมมากยิ่งขึ้น
เมื่อผมยังไม่ได้ตอบรับคำขอ(กินก่อนแซลม่อน)ของเขาสักที
“เพื่ออนาคตอีก 70 ปี...”
ผมยกจานสเต็กแซลม่อนมาคั่นกลางระหว่างเรา
“เราควรจะให้ความสำคัญกับสุขภาพก่อนนะ” ผมพูดยิ้มๆ
“ซันนี่อ่ะ” เขาทำหน้าผิดหวัง
แต่ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ผมหิวจนแสบไส้ไปหมดแล้ว
ไว้ท้องอิ่มค่อยว่ากันอีกที
“ฮ่ะๆๆ ป่ะ ดินเนอร์กันดีกว่า”
ผมโดดลงจากเคาน์เตอร์แล้วยกจานเดินนำไปที่โต๊ะทานอาหาร
“ซันนี่...~”
“ฮ่ะๆๆๆ”
“อา...อืม..ฟ้า...ดี...ดะ..อืมม...”
หลังจบมื้อคำ
เราก็ขึ้นมาทำกิจกรรมที่จะช่วยเบิร์นแคลอรี่ด้วยกันบนเตียง
ต่อ
พอจบไปหนึ่งรอบฟ้าก็ขอต่อรอบสองทันที
ผมไม่ขัดข้องแต่ต้องให้เขาสัญญาก่อนว่ารอบนี้จะเป็นรอบสุดท้ายของวันนี้แล้ว
ผมคิดว่าพวกเราทำกันมามากพอแล้ว เขาตกลงอย่างอิดออด
ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงร็อคของเขาต่ออย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ไม่รู้ว่าผมคิดถูกหรือคิดผิดที่ให้เขาทำสัญญาแบบนั้น
เพราะพอเขารู้ว่านี่จะเป็นเพลงสุดท้าย เขาก็ขนมาใส่แม่งมันทุกคอร์ด
ทุกคอร์ดยากคอร์ดง่าย ทั้งคลาสสิค ทั้งฮาร์ดคอร์ เมทัล จนผมเสียไปแล้วน้ำนึง
เขายังไม่ยอมจบอีก(จะอึดไปไหน)
รู้งี้รอให้เขาทำจนเสร็จแล้วค่อยบอกว่ารอบสุดท้ายก็ดี
ซี้ดดด...โอยยยๆๆ
“อ๊ะ..!”
ฟ้าจับผมพลิกตะแคงข้างทั้งที่ร่างกายเรายังเชื่อมติดกัน เขาค่อมขาข้างหนึ่งของผมไว้
แล้วจับอีกข้างพาดกับบ่าของเขา แล้วเริ่มโยกต่อ
“...อ้า..อ้า...ฟ้า...อื๊ออ...อ้า..!”
เพราะท่านี้มันทำให้เขาเข้ามาลึกกว่าทุกที
ผมจึงไม่สามารถหยุดปากร้องได้ทุกครั้งที่เขากระทุ้งโดนจุดเสียว
ผมกำผ้าปูที่นอนไว้แน่นพอๆ กับที่พยายามกุมสติของตัวเองเอาไว้
เพราะถ้าผมทิ้งสามัญสำนึกไปเมื่อไหร่
ผมก็คงจะทำอะไรตามสัญชาตญาณดิบไม่ต่างจากสัตว์ หิวกระหาย ร่านราคะ ไร้ยางอาย
ผมไม่อยากให้ฟ้าเห็นส่วนที่น่าเกลียดนั่น...
“อืมม.. ซันนี่” ฟ้าครางลึกในลำคอ
จังหวะของเขาช้าลง แต่อัดเข้ามาแบบเน้นๆ เลย อูยยย.. ซี้ดดด
เขาจิกนิ้วลงบนต้นขาผมเป็นการระบายอารมณ์
กัดขาพับด้านในของผมในตอนที่เขาเสร็จ
แต่ทั้งความเจ็บและความเสียวที่ได้รับมาก็ทำให้ผมไล่ตามเขาไปติดๆ
“..ฟะ..อ๊ะ...ฮ่า!”
เฮ้อออ จบสักที... ผมปล่อยตัวนอนแผ่หลาอย่างหมดเรี่ยวแรง
หือ...
ความรู้สึกอุ่นวาบข้างในตัวมันก็กวนใจจนผมต้องฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้
“ฟ้า... มึงปล่อยข้างใน..?”
ผมก้มมองน้ำสีขุ่นที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากก้นของตัวเอง แม้มีปริมาณไม่เยอะนักเมื่อคิดถึงว่ามันถูกใช้ออกมาหลายครั้งแล้ว
แต่มันก็ไม่ควรเข้าไปในนั้นอยู่ดี!
“โทษที... เอาออกไม่ทันน่ะ”
เขาสารภาพ
“มันล้างยากนะ รู้มั่งสิ”
ผมตำหนิ พลางทิ้งตัวนอนแผ่ตามเดิม
“เดี๋ยวช่วยล้างให้”
ฟ้าล้มตัวตาม เขากอดผมไว้หลวมๆ
“ไม่ต้องเลย มึงมีแต่จะทำให้มันเปื้อนอีก”
“ก็ซันนี่เซ็กซี่...”
“แล้วถ้านี่กูท้องขึ้นมาจะว่าไง?”
ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
“ก็ต้องรับผิดชอบเต็มที่อยู่แล้ว”
ฟ้าหัวเราะลงคออย่างชอบใจ แถมยังมีจินตนาการบรรเจิดต่ออีก
“ลูกคนแรกของเราจะให้ชื่อว่าอะไรดี ...โซล...ดีไหม?”
“Sol ที่แปลว่า พระอาทิตย์ น่ะเหรอ?”
“จะได้คล้องกับซันนี่ไง”
“งั้นคนที่สองก็ต้องให้ชื่อ เซลี”
“หืม ท้องฟ้า?”
“เหมือนมึงไง”
“ฉลาดมาก แล้วคนที่สาม...”
“มึงจะเอาไปตั้งทีมตะกร้อเรอะ?”
“อยากได้เป็นทีมฟุตบอลเลย”
“ไอ้บ้า ฮ่ะๆๆ หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว กูไม่มีมดลูก! กูท้องได้ซะที่ไหน”
ผมเสียใจที่ต้องดับฝันของเขา แต่มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ฮ่ะๆๆ
“เรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้นซันนี่ไม่เห็นต้องใส่ใจ”
เขาอยากมีลูกเป็นทีมฟุตบอลทั้งที่ผมท้องให้ไม่ได้เนี่ยนะ เรื่องหยุมหยิม?
ก็คิดได้ ฮ่ะฮ่ะ..ฮ่ะ... จู่ๆ ความคิดด้านมืดก็เข้ามาทำให้เสียงหัวเราะในใจของผมค่อยๆ
หายไป.. ไม่! อย่าไปคิดถึงมันน่า.. ผมพยายามห้ามตัวเอง แต่..
แล้วถ้าฟ้าอยากจะมีลูกจริงๆ ล่ะ?
ผมรู้ว่าเขาชอบเด็ก(แม้ว่าเด็กจะไม่ค่อยชอบเขา)
แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของเขาได้ แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง...
สมมุตินะ ถ้าวันหนึ่งเขาอยากจะไปหาคนที่สามารถเติมเต็มความฝันของเขาได้ล่ะ...?
ถ้าเขาไปหาผู้หญิงจริงๆ ที่สามารถตั้งท้องลูกของเขาได้...
“ซันนี่”
“ห๊ะ.. หือ?”
ผมหันไปหาเจ้าของเสียง ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาลุกจากเตียงไปตอนไหน
แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้วและกำลังนั่งลงข้างๆ ผม พร้อมกำอะไรบางอย่างไว้ในมือ
“ลุกก่อนสิ”
เขาช่วยพยุงผมลุกขึ้นนั่ง
จากนั้นก็เอาสร้อยเส้นหนึ่งมาใส่รอบคอผม
ตอนแรกมันก็ดูเหมือนเป็นแค่สร้อยหนังธรรมดา ก่อนผมจะสังเกตเห็นว่ามันมีแหวนวงหนึ่งติดมาด้วย
“นี่มัน...”
ผมหยิบแหวนขึ้นมาดู ที่หัวของมันมีรูปสลักคล้ายกับตราสัญลักษณ์ที่ผมเคยเห็นอยู่ตรงเหนือประตูรั้วคฤหาสน์แบร์ลุสโคนีเลย
อย่าบอกนะว่า...
“แหวนประจำตระกูลน่ะ”
ฟ้าเฉลยในสิ่งที่ผมกำลังข้องใจพอดี
“แล้วทำไม...”
“ซันนี่จะช่วยเก็บรักษามันไว้ได้หรือเปล่า?”
เขาถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งสีหน้าและแววตาก็ดูจริงจัง
จนผมไม่กล้าคิดเป็นอย่างอื่น นอกจากเขากำลังขอให้ผมอยู่ข้างๆ เขา
“หมายความว่า...”
“มาเป็นมาดามของฟ้านะ”
เขาพูดหนักแน่น กุมมือทั้งสองข้างของผมไว้อย่างรอคอยคำด้วย
“มึง.. แน่ใจเหรอ?”
ผมมองหน้าเขา แล้วก้มมองแหวนอีกที
“อืม ถ้าไม่ใช่ซันนี่ก็ไม่ได้”
“แต่กูมีลูกให้มึงไม่ได้หรอกนะ”
ผมต้องย้ำความจริงกับเขา
ถึงผมจะรักเขามาก แต่ผมก็มาสามารถเติมเต็มความปรารถนาของเขาได้
“ไม่เป็นไร แค่มีซันนี่ก็พอ...”
เขายกมือผมขึ้นจูบ
“แค่มีซันนี่ก็ไม่ต้องการใครอีกแล้ว”
“.......”
“ซันนี่?”
คงเพราะผมเงียบไปนาน ฟ้าจึงเริ่มมีสีหน้ากังวลใจ
“ซัน...!”
“วันไหนกลับคำ มึงต้องกลืนเข็มพันเล่มด้วย!”
ผมโถมเข้าไปกอดเขาทั้งตัว
ทำให้เขาที่นั่งหมิ่นเหม่ขอบเตียงอยู่แล้วหงายหลังไถลตกจากเตียงพร้อมกับผ้าห่ม
และมีผมทับอยู่บนตัวอีกที
“โอ๊ะ..โอ๊ะ..”
เขาร้องเพราะหัวโดนกระแทก แต่เจ้าตัวดูจะไม่ใส่ใจนัก
เขารีบโงหัวขึ้นมาถามหาเรื่องที่ยังอยากได้รับคำยืนยันจากผมก่อน
“เดี๋ยว..เดี๋ยว! งั้นก็แปลว่า...ซันนี่?”
“ตกลง! ตกลงที่สุด! โคตรรรรรร ตกลงเลย!”
ผมตอบให้เขาชื่นใจ แล้วจูบหน้าผากเขาไปอีกจ๊วบใหญ่
“อะ..ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ให้มันได้แบบนี้สิ!”
ฟ้าหัวเราะได้เสียงดังที่สุดตั้งแต่เรามาที่เกาะนี้กันเลยล่ะ
เขาจูบผม พลิกตัวกลับมาคร่อมผม แล้วก็จูบผมอีก ดื่มด่ำ หวานล้ำ
ราวกับเป็นคำสาบานรักในพิธีแต่งงานของพวกเรา...
“ฟ้า...”
“หืม?”
เขายันตัวขึ้นมามองหน้าผม
โดยที่ขาของผมกวัดเกี่ยวรัดเอวของเขาไว้แน่นเหมือนกลัวเขาจะเปลี่ยนใจแล้วลุกหนีไป(มันเป็นรีแอคชั่นน่ะ
ผมไม่ได้ตั้งใจ ฮ่ะๆๆ)
“กูแถมให้อีกรอบเอาไหม?” ผมหลิ่วตาให้เขาอย่างรู้กัน
เขาเปิดปากยิ้มกว้าง ซึ่งผมก็รู้คำตอบอยู่แล้ว...
“ไม่เอาก็โง่แล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ”
เช้าวันต่อมา เราขับเรือไปที่หมู่บ้านชาวประมง ตามแพลนที่วางไว้ตั้งแต่แดดยังไม่แรง(...ถึงเมื่อคืนจะจัดหนักจัดเต็ม
แต่เช้ามาผมก็ยังประปรี้กระเปร่าดี ก็นะ คนมันอินเลิฟจัดอ่ะ
อะไรก็สดชื่นสีชมพูดูกระฉับกระเฉงไปหมดแหล่ะ ฮ่าๆๆ)
เราได้เดินเที่ยวชมวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านที่เป็นมิตรซะจนน่าตกใจ
จากนั้นก็ไปทานอาหารร้านอร่อยที่ฟ้าแนะนำ ต่อด้วยร้านไอศกรีมอีกหนึ่งของโปรดของเขา
แล้วก็ได้ไปลองนั่งตกปลากับนักตกปลามืออาชีพแถวนั้น ก่อนกลับยังแวะซื้ออาหารทะเลสด
และส้มของดีท้องถิ่นซอเรนโตติดมือมาด้วย กว่าพวกเราจะถึงบ้านก็ปาไปเกือบสี่โมงเย็นแล้ว
คราวนี้ล่ะหมดแรงของจริง ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย แดดวันนี้แรงเช้าจรดเย็น ร่างกายที่อ่อนล้าสะสมมาตั้งแต่เมื่อคืนก็เลยเริ่มแผงฤทธิ์
“ข้างนอกร้อนชะมัด 40 องศาเซลเซียสได้ล่ะมั้ง นี่ยุโรปจริงๆ เรอะ...”
ผมเข้าบ้านได้ก็โยนหมวกทิ้ง แล้วนอนแผ่กลางบ้านอย่างหมดสภาพ
“มานี มานี เปิดแอร์ให้เย็นกว่านี้ได้หรือเปล่า?”
ร้องเรียกหาสาวมานีผู้ใจดีที่เปิดแอร์ไว้คอยท่าเราอยู่ก่อนแล้ว
แต่มันก็ยังไม่เย็นพอสำหรับผม ตอนนี้ถ้ามีน้ำแข็ง ผมก็ขอน้ำแข็งล่ะ โอยยย
ร้อนเอี้ยๆ
ผมไม่ได้เจอความร้อนสุดโหดขนาดนี้มานานแล้ว เกือบเผลอนึกว่าตัวเองอยู่เมืองไทยซะอีก
ร้อนจริงๆ อิตาลีตอนใต้เนี่ย ที่ลอนดอน ช่วง กรกฎ-สิงหา
แบบนี้ก็เป็นช่วงที่ร้อนสุดของปีเหมือนกัน แต่มันก็แทบไม่เคยเกิน 20 องศาฯ(อาจมีบ้างบางปีที่แตะถึง
30 องศาฯ แต่มักจะมาในรูปแบบของคลื่นความร้อน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกิดบ่อยๆ) แต่ที่นี่ ตอนนี้ ผมสงสัยว่าอุณหภูมิมันทะลุ 40 องศาฯไปแล้วหรือเปล่า?
[มีอะไรให้รับใช้คะ?]
เสียงนางฟ้าผู้ใจดีของผมตอบกลับมา
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจคำสั่งเท่าไหร่
ผมเลยต้องคิดคำที่มันชัดเจนกว่านี้ขึ้นมาใหม่
“ลดอุณหภูมิห้องลงอีก 5 องศาเซลเซส”
[แบบนั้นจะทำให้ห้องเย็นเกินไป คุณแน่ใจที่จะให้ดำเนินการ?]
[กรุณายืนยันคำสั่งอีกครั้ง]
“ยืนยันคำสั่ง”
[รับทราบ]
อืม เป็นผู้หญิงที่หัวแข็งเหมือนกันนะ มานีเนี่ย~
เฮ้อออ.. ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เอาจริงๆ อากาศร้อนนี่มันทำให้ผมเพลียกว่ามีเซ็กส์กับฟ้าซะอีกนะ
ยอมแพ้เลย...
“กินส้มไหม ซันนี่?”
หลังเอาข้าวของที่ช็อปปิ้งมาไปเก็บ(ตามที่ผมบอก)
ฟ้าก็เดินถือถุงส้มมานั่งบนพื้นกับผม โดยเขานั่งเอาหลังพิงโซฟาไว้ เหยียดขาออกมาข้างหนึ่ง
“เอามาดิ”
ผมกระดื๊บๆ ตัวไปใกล้ แล้วใช้ขาของเขาหนุนต่างหมอนซะเลย
“อ้ะ”
เขายื่นส้มมาให้ผมทั้งลูกเลย
เอิ่ม... มึงจะไม่ปอกให้กูสักหน่อยเหรอ? ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็รับลูกส้มมา
แล้วลุกขึ้นนั่งแกะเปลือกออกเองแบบเซ็งๆ ...ก็นึกว่าจะป้อน ชิ!
“อ้า...”
ตอนที่ผมกำลังจะโยนกลีบส้มใส่ปากตัวเอง
ผมก็เห็นเขาอ้าปากและส่งเสียงแบบนั้น เออดี
สรุปที่มาชวนกินส้มนี่คือหาคนแกะให้กินสินะ ไอ้คุณหนูเอ๊ย!
“มึงเป็นลูกนกเหรอ?”
“อ้า...” เขาไม่เถียง
แถมยังส่งเสียงแบบเดิมอีก
“อ้อ กูลืมไป มึงมันลูกเป็ด”
ถึงจะว่า แต่สุดท้ายผมก็นั่งป้อนส้มให้เขาอยู่ดี รู้สึกคล้ายกับเดจาวู
เหมือนเมื่อก่อนผมก็เลยนั่งป้อนของกินให้เขาแบบนี้เหมือนกัน
“หวานไหม?”
“ไม่เท่าซันนี่”
“งั้นก็คงไม่ได้ครึ่งปากหวานๆ ของมึงนี่เหมือนกัน”
ผมดึงจงอยปากเขาอย่างหมั่นเขี้ยว เข้าใจประจบกินนะ ไอ้หน้ามึน ฮ่ะๆๆ
“เจ็บ...” เขาทำหน้ายู่
ผมอดใจไม่ไหวก็เลยจุ๊บปากเขาไปทีนึง ก่อนจะป้อนส้มให้เขาต่อ
ติ๊ง!
หือ... มานีเหรอ?
[บอสฟา มีสัญญาณแจ้งเหตุฉุกเฉินระดับ 3 จาก มานะ]
[ต้องการการตอบกลับทันที]
เอ๊ะ เหตุฉุกเฉิน?
“แป๊บนะ ซันนี่”
ฟ้าผละจากผม เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ปิดเครื่องไว้มาเปิดเครื่อง
จากนั้นก็โทรหาใครสักคนซึ่งผมเดาว่าคงไม่พ้น มานะ
“มีอะไร?”
ฟ้ากรอกเสียงลงไปตามสาย
เขาหยุดฟังทางนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับ
“เข้าใจละ เดี๋ยวจะกลับไป”
หลังวางสาย ฟ้าก็เดินกลับมา บางอย่างในท่าทางของเขาทำให้ผมอดกังวลไปด้วยไม่ได้
พวกเขากำลังมีปัญหาอะไรกัน? เรื่องครอบครัวหรือเรื่องงาน?
ถึงผมอาจจะช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยผมก็ช่วยรับฟังปัญหาของเขาได้นะ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ผมลุกไปหา
แต่เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรเลย นอกจากมองหน้าผมอย่างเดียว
“ฟ้า?” ผมแตะแขนเขาด้วยใจคอที่เริ่มไม่สู้ดี
หรือจริงๆ แล้ว ‘ปัญหา’ นั้นจะเกี่ยวข้องกับผม?
พูดอะไรสักอย่างสิ...
“ยังไม่แน่ชัด...”
ในที่สุดเขาก็เริ่มพูด ด้วยท่าทางที่ดูลำบากใจ
“แต่เหมือนไอ้ฝักข้าวโพดจะถูกลักพาตัวไป”
ซิน...!?
โปรดติดตามตอนต่อไป........
จงตอบคำถามต่อไปนี้(10คะแนน)
จริงๆ แล้วฟ้าชอบให้ซันนี่ 'Ride' หรือซันนี่ชอบ 'Ride' ฟ้า?
(สามารถใช้ข้อมูลในภาคแรกร่วมประกอบการตัดสินใจได้ ฮา..)
ซันนี่ชอบคร๊าาาา ^9^
ตอบลบตอบถูกทุกข้อได้ป่าว ซันนี่ชอบขี่และฟ้าก็ชอบให้ขี่ อร๊ายยยยยย 😤
ตอบลบถูกทุกข้อได้ไหม 555
ตอบลบ